บทที่ 877 คุณย่าซูใจดีมาก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 877 คุณย่าซูใจดีมาก

บทที่ 877 คุณย่าซูใจดีมาก

วันที่ 29 เดือน 12 ทุกคนยังยุ่งหัวหมุนอยู่เช่นเดิม แต่วันนี้ต่างจากวันก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง วันนี้หน้าที่หลักของเราคือเตรียมทำอาหารเย็นในวันส่งท้ายปีเก่า และอาหารสำหรับปีใหม่

บ้านเรามีเนื้อเยอะมาก คุณย่าซูเพิ่งให้เหล่าซานไปซื้อมาสองร้อยกว่าจินเมื่อหลายวันก่อน ส่วนหนึ่งเราแบ่งเอามาทำเป็นไส้ในเกี๊ยวเป็นอาหารปีใหม่ ที่เหลือก็ทำพวกหมูตุ๋น หมูหมักทอด หมูก้อนทอดอะไรพวกนี้

แต่ว่าอาหารส่งท้ายปีก็อร่อยไม่แพ้กันนะ นอกจากเนื้อหมูเรายังมีเนื้อแกะ เนื้อวัว และไก่ที่ต้องจัดการให้เสร็จก่อนล่วงหน้าเพื่อที่จะได้ทันการ

เมื่อได้เห็นโลกของตระกูลซู สามสาวก็ตกใจกลัว แค่ช่วงปีใหม่ คนบ้านนี้มีเนื้อเกือบสามร้อยจิน บ้านเรารวมทั้งปีกินไม่ถึงยี่สิบจินด้วยซ้ำ บ้านซูฐานะดีจริง ๆ ถึงได้ทำแบบนี้ได้

“ทำหมูก้อนทอดเพิ่มอีกหน่อยนะ พรุ่งนี้จะได้เอาไปส่งให้บ้านเด็กกำพร้า เด็ก ๆ ต้องชอบแน่นอน” คุณย่าซูบอกเหล่าซานและหลานชายอีกสามคน

“แค่นี้ก็พอแล้วแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก” เหล่าซานตอบไปด้วยสับเนื้อไปด้วย

เราใช้เนื้อสามสิบกว่าจินทำไส้ โดยสิบจินเอามาทำเกี๊ยว ที่เหลือทำเป็นหมูก้อนทอดแค่นี้ก็พอแล้ว ไหนจะมีส่วนผสมอื่น ๆ ในการทำหมูก้อนอีก แถมต้องใช้หม้อใบใหญ่ในการทอดด้วย

“เราต้องส่งปลากับกุ้งไปด้วยนะ แม่คิดว่าเด็ก ๆ น่าจะชอบเนื้อหน้าหนาวนะ ส่วนเนื้อเผ็ดพวกเขากินไม่ได้ ต้องลดปริมาณลง…” คุณย่าพูดพร่ำไม่หยุด

ฉีเสี่ยวฟางนิ่งค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น คนบ้านนี้ใจป้ำมากเลย ถ้าเป็นเธอคงไม่ยอมให้ขนาดนี้หรอก

เมื่อมีคนเยอะพละกำลังยิ่งมาก เราใช้เวลาวันเดียวจัดการทุกอย่างจนสำเร็จ เนื้อที่จะเอามาทำก็จัดการเรียบร้อยแล้ว

“เมื่อก่อนเวลาจะทำเนื้อหมัก ต้องรอปีใหม่เพื่อเชือดหมูสักตัวตลอดเลย นอกจากจะเอาไว้กินในปีใหม่แล้ว ส่วนที่เหลือก็หมักไว้กินช่วงเดือนหกเดือนเจ็ดของอีกปีนู่นเลย” คุณย่าซูเอ่ย

“ถ้าแม่อยากกินเราไปซื้อกลับมาหมักอีกสักหน่อยก็ได้นะ” เหล่าซานแนะนำ

แต่มันกลับทำให้คนเป็นแม่หันมามองด้วยสายตาว่างเปล่า

“โง่หรือเปล่า กว่าจะถึงตอนนั้นคงไม่มีให้กินแล้ว ตอนนี้เรามีของสดให้กินก็กินสิ อย่างน้อยก็ควรมีตู้เย็นไว้แช่ไม่ใช่หรือไง?”

เนื้อหมักอร่อยก็จริงแต่ไม่ดีเท่าเนื้อที่ได้มาสด ๆ หรอก ถึงจะใช้ทำผัด ทำเกี๊ยวได้แต่มันอร่อยไม่เท่าน่ะ

เหล่าซานถูจมูก ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

เขาชินแล้วล่ะ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจแม่ทั้งนั้น ไม่เหมือนเด็ก ๆ พูดอะไรไปแม่ก็ว่าใช่ตลอด

เหลียงซิ่วมองสามีแล้วยิ้มขบขัน ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้มาจากลูกบ้างล่ะ ดูลูกสิว่าเข้าใจนิสัยแม่ตัวเองขนาดไหนน่ะ ไม่ว่าจะพูดอะไรแกก็ชอบทั้งนั้น

หลังเสร็จงานก็ถึงเวลาเตรียมอาหารเย็น

“ย่าจำได้ว่าพ่อรองแม่รองหลานจะมานี่ กลุ่มอาใหญ่ด้วย พวกเขาน่าจะออกเดินทางเวลาเดียวกัน แต่ไม่รู้ทันข้าวเย็นหรือเปล่า”

“เราเตรียมตัวกันครับย่า เดี๋ยวเขามาจะทำไม่ทันเอา” ซานกงแนะนำ

“จริงด้วย ใกล้จะกินข้าวเย็นแล้ว เดี๋ยวเตรียมเพิ่มอีกหน่อยแล้วกัน พอพวกเขามาจะได้ลงมือผัดได้เลย” หญิงชราพยักหน้า

“ย่า หนูเลี่ยนมากเลย ไม่อยากกินแล้ว”

คงเพราะกลิ่นของเนื้อเลยทำให้เธอหมดความอยากอาหาร ถึงเนื้อจะเป็นของดี แต่ให้กินทั้งวันก็ไม่ไหวหรอกนะ

“ได้สิ เดี๋ยวย่าทำของกินตัดเลี่ยนให้อีกสองจานไหม?” คุณย่าซูรีบบอก

เสี่ยวเถียนเห็นแกเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จะให้เหนื่อยเพิ่มเพราะตัวเองอีกไม่ได้

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูกินนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ”

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน ไม่ว่าตอนไหนการกินข้าวก็สำคัญนะ” ทว่าคุณย่าซูยังยืนกรานจะทำอาหารแก้เลี่ยงให้เสี่ยวเถียน

เหลียงซิ่วยิ้ม “ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ ให้หลานกินผลไม้สักหน่อยก็หายแล้ว”

เด็กคนนี้โดนตามใจจนเคยตัวแล้ว แต่เธอไม่กล้าพูดออกไปแบบนั้นหรอก เลยทำได้แค่ขยิบตาให้ลูกแทน

เสี่ยวเถียนยิ้มร่าแล้วกอดแขนคุณย่า “แม่พูดถูกนะคุณย่า หนูกินผลไม้แล้วเอากลับไปกินกับเพื่อน ๆ ที่ห้องดีกว่า”

คุณย่าซูไม่ปฏิเสธ

ฉีเสี่ยวฟางและเฉียนเสี่ยวเป่ยรู้สึกขัดเขิน จึงช่วยทำอาหารอีกแรง

“ไม่มีอะไรให้ทำแล้วลูก เนื้อเตรียมเสร็จหมดแล้ว ไปเล่นกันเถอะ”

คุณย่าซูเอ็นดูทั้งหลานสาวและเพื่อนของหลานด้วย

ขณะกำลังสนทนา ครอบครัวหม่านซิ่วพร้อมด้วยกลุ่มซื่อเลี่ยงก็เดินทางมาถึง

หญิงชราลืมเรื่องที่จะให้เด็ก ๆ ไปพักผ่อนไปเลย แกรีบเรียกลูกหลานเข้ามาพักระหว่างรออาหารเย็น

“ไม่ได้บอกรอบรถไฟกันก่อน ไม่งั้นจะได้ไปรับ”

หม่านซิ่ววางกระเป๋าลงบนเตียงเตา “พวกเรามีกันตั้งหลายคน ใช่ว่าจะหากันไม่เจอสักหน่อย ไม่เห็นต้องไปรับเลย”

แกเมินลูกสาว แล้วหันไปกอดไปหอมหลานชายอยู่หลายที เด็กชายโตขึ้นมาก น่ารักจริง ๆ เลยแต่ไม่ว่าทุกคนจะชอบเขาแค่ไหน เจ้าตัวก็จะอยู่กับเสี่ยวเถียนเท่านั้น ไม่ว่าพี่สาวจะไปไหน เขาก็จะตามไปราวกับเป็นหาง

เหลียงซิ่วรีบไปเตรียมอาหารเย็นไว้ให้หลังจากเห็นแม่สามีคุยกับลูกสาว ส่วนเพื่อน ๆ เสี่ยวเถียนรู้สึกละอายใจ จึงเข้าไปช่วยด้วยอีกแรง

เมื่อเห็นที่บ้านมีหลานสาวเพิ่มหลายคน หม่านซิ่วก็คิดว่าเป็นว่าที่ภรรยาของหลานชายที่บ้านหลังจากเอ่ยถามด้วยความไม่รู้ก็พบว่าพวกเธอเป็นเพื่อนเสี่ยวเถียนนั่นเอง

“แม่ ฉันว่าสาว ๆ ใช้ได้เลยนะ คงจะดีถ้าเข้ากับซื่อเลี่ยงได้”

หม่านซิ่วถูกใจพวกเธอตั้งแต่ครั้งแรก จึงแอบบอกมารดาให้รู้ หลานชายอายุเยอะแล้ว โดยเฉพาะซื่อเลี่ยงกับซานกงที่เรียนจบมาปีกว่า และตอนนี้ก็ถึงวัยที่ควรจะแต่งงานเสียที

“ไม่ต้องห่วงเรื่องเด็ก ๆ หรอก ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

“แต่แม่ตาดีนะคะ ดูพี่สะใภ้บ้านเราสิ”

ได้ยินเช่นนั้น คุณย่าก็มองลูกสาว

เรื่องสะใภ้เธอเก่งจริง ๆ แต่กับลูกเขยเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น

โชคดีที่หม่านซิ่วยังมีชีวิตอยู่

แต่น่าเสียดายที่หม่านเซียง…

แกไม่อยากคิดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจอีกต่อไป บางอย่างมันก็เป็นอดีตไปแล้ว

ไม่ว่าจะเสียใจแค่ไหน หม่านเซียงก็เสียไปนานแล้วละ