ตอนที่ 869 แพ้ใจคน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 869 แพ้ใจคน

ดังนั้นกองทัพผิงหยางต้องสู้จนตัวตาย จะถอยหลังกลับไม่ได้เด็ดขาด!

เมื่อแม่ทัพหวังเหมิ่งเห็นว่าทหารในกองทัพเริ่มเสียขวัญทันทีที่เห็นธงสัญลักษณ์ของกองทัพไป๋จึงตะโกนเสียงดังลั่น “ทหารทุกคน! ฝ่าบาททรงประทับอยู่ในวังหลวง หากพวกเราถอยทัพหนีตอนนี้ เมืองหลวงต้องถูกตีแตกแน่นอน พวกเราคือปราการด่านสุดท้ายของแคว้นต้าจิ้น! พวกเราจะไม่ถอยแม้ตัวตาย! องค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา หากทุกคนรบชนะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพวกเราจะกลายเป็นทหารที่ล้มเทพแห่งสงครามผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสงครามในทันที! กองทัพของพวกเราจะกลายเป็นกองทัพที่เอาชนะเทพสงครามได้! พวกเราต้องรีบบุกเข้าไปในเมืองหลวงให้ได้โดยเร็วที่สุด บุก!”

เมื่อจี้ถิงอวี๋ที่ยืนอยู่บนกำแพงได้ยินเสียงตะโกนของแม่ทัพหวังเหมิ่ง แววตานิ่งขรึมของเขาส่อแววสังหารขึ้นมาทันที เขาชูแขนขึ้นสูง “พลธนูเตรียมพร้อม!”

ลูกธนูมากมายพุ่งลงมาจากกำแพงเมืองราวกับสายฝน ทหารกองทัพผิงหยางที่หลบเข้าไปในโล่ไม่ทันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

รองแม่ทัพของหวังเหมิ่งขี่ม้าทะยานไปต้านทานกองทัพใหญ่ของไป๋ชิงเหยียนทางด้านหลัง ทว่า ผู้ใดจะคิดว่าเขาทำได้เพียงยกคันธนูขึ้นเท่านั้น ยังไม่ทันเล็งยิงไปทางไป๋ชิงเหยียน ลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่งกลับพุ่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ทันตั้งสติได้ก็ถูกธนูแทงทะลุลำคอเสียก่อน

รองแม่ทัพของหวังเหมิ่งกระอักเลือดออกมาทันที เขารู้สึกว่าก้อนเลือดจำนวนมากจุกที่อยู่ลำคอของตัวเอง จากนั้นร่างจึงเซล้มไปทางด้านหลัง

“ท่านแม่ทัพ!”

“ท่านแม่ทัพ!”

“นั่น…องค์หญิงเจิ้นกั๋ว” ทหารกองทัพผิงหยางคนหนึ่งตะโกนขึ้น

ธนูเซ่อรื้อ ลูกธนูที่แม่นยำราวกับจับวาง หากยิงออกมาเมื่อใด…ล้วนแทงทะลุลำคอทุกครั้ง ในแคว้นต้าจิ้นแห่งนี้มีเพียงฝีมือการยิงธนูขององค์หญิงเจิ้นกั๋วคนเดียวเท่านั้นที่น่าสะพรึงถึงเพียงนี้

ธงสัญลักษณ์เฮยฟานไป๋หมั่งของกองทัพไป๋สะบัดพลิ้วไปตามแรงลมท่ามกลางท้องฟ้าสีเหลืองนวลจากดวงตะวันที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้า พลทหารในชุดเกราะสีดำพกอาวุธ ชูหอกยาวเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้ราวกับน้ำป่าที่ไหลทะลัก เสียงฆ่าฟันดังสนั่นไปทั่วบริเวณจนคนที่ได้ยินถึงกับหูอื้อ

ทหารกองทัพผิงหยางซึ่งอยู่ไกลออกไปจนไม่ได้ยินเสียงคำสั่งของแม่ทัพหวังเหมิ่งขยับหมวกเกราะของตัวเอง มองดูลูกธนูที่ยิงเข้ามาราวกับสายฝนอย่างงงงวย “องค์หญิงเจิ้นกั๋วโจมตีผิดฝ่ายหรือไม่”

ทหารอีกคนรีบกระชากตัวสหายกลับมาหลบในโล่กำบัง จากนั้นตวาดลั่น “ผิดบ้าอันใดกัน! ผู้ที่อยู่ในเมืองหลวงคือน้องสาวขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว เจ้าคิดว่านางจะโจมตีผิดฝ่ายอย่างนั้นหรือ!”

“ทว่า นั่นคือองค์หญิงเจิ้นกั๋วนะ ตระกูลไป๋จงรักภักดีต่อราชวงศ์มากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น!”

สิ้นเสียงของทหารกองทัพผิงหยางผู้นั้น เขาก็ได้ยินเสียง ‘ฟิ้ว!’ ของฝนธนูลอยผ่านใบหูของเขาไปอย่างเฉียดฉิว รอบกายเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดของเหล่าทหาร แขนที่ยกโล่ขึ้นกำบังรับรู้ถึงแรงกระแทกอย่างมหาศาลของฝนธนูที่พุ่งโจมตีมาอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างของเขาชาวาบไปทั้งร่าง

พลทหารม้าเหล็กที่ชูธงเฮยฟานไป๋หมั่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่เริ่มสั่นสะเทือนแรงขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนก้อนหินที่อยู่บนพื้นแทบจะลอยขึ้นบนอากาศ กองทัพเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วจนใจของทหารกองทัพผิงหยางเต้นรัวตามอย่างอดไม่ได้

เมื่อฝนธนูหยุดลง ทหารกองทัพผิงหยางจึงโผล่หน้าออกมาจากโล่เหล็กถูกธนูแทงจนเป็นรูพรุนหลายรู พวกเขาเห็นร่างๆ หนึ่งในชุดเกราะสีเงิน มือถือหอกยาวหงอิงสีเงินที่นั่งอยู่บนหลังม้าศึกสีขาวกระโดดผ่านศีรษะพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ผ้าคลุมกันลมสีแดงที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่คลี่สยายกลางอากาศตามแรงลม แสงสีเงินของอาวุธคมเคลื่อนผ่านลำคอไปอย่างรวดเร็ว เลือดสดกระจายทั่วบริเวณในทันที

พลทหารม้าเหล็กในชุดเกราะสีเงินบุกเข้าไปกลางวงล้อมของพลทหารโล่ของกองทัพผิงหยาง จากนั้นลงมือสังหารอย่างรวดเร็ว

ไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าบุกเข้าไปกลางวงล้อมของกองทัพผิงหยางเป็นคนแรก หอกยาวหงอิงพุ่งไปที่ใดล้วนปลิดชีพคนตรงนั้นได้ทันที เกราะเงินเปื้อนไปด้วยเลือดราวกับปีศาจที่โผล่ออกมาจากขุมนรก ม้าศึกยกเท้าหน้าขึ้นสูงอย่างเกรี้ยวกราด รอบกายเต็มไปด้วยไอสังหาร

ไป๋จิ่นซิ่วยืนเล็งธนูไปรอบกายไป๋ชิงเหยียนอยู่บนกำแพงเมืองสูงเพราะกลัวว่าจะมีคนลอบทำร้ายพี่หญิงใหญ่ของตน

หญิงสาวมองไปทางพี่หญิงใหญ่ที่รอบกายเต็มไปด้วยไอสังหารและความองอาจทะนง ขอบตาของนางร้อนผ่าวขึ้นทันที นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นพี่หญิงใหญ่ยืนอยู่ในสนามรบอีกครั้ง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นเสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋สู้รบสังหารศัตรูในสนามรบอีกครั้ง

ถึงแม้รอบกายของไป๋ชิงเหยียนจะเต็มไปด้วยศัตรู ทว่า รัศมีและไอสังหารรอบตัวของหญิงสาวที่ได้มาจากการออกรบในสนามรบจริงทำให้ศัตรูหวาดเกรงและไม่กล้าเข้าใกล้นาง หอกเงินยาวหงอิงของนางตวัดไปที่ใด ศัตรูล้วนเสียชีวิตลงทันที

จี้ถิงอวี๋ที่นำทัพบุกออกมาจากประตูเมืองขี่ม้าพากองทัพเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่วลดธนูในมือลง จากนั้นกล่าวกับแม่ทัพกองทัพหย่วนผิงทุกคนเสียงดังลั่น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วมาถึงแล้ว กองทัพผิงหยางต้องพ่ายแพ้แน่! แม่ทัพทุกท่าน พวกเราจะบุกทำลายวังหลวง จับตัวเหลียงอ๋องและยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้โดยเร็วที่สุด!”

“ฮูหยินฉินสั่งมาได้เลยขอรับ” แม่ทัพใหญ่ของกองทัพหย่วนผิงกำหมัดรับคำ

เมื่อธงเฮยฟานไป๋หมั่งปรากฏขึ้น เหล่าทหารมีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันที ยิ่งเมื่อเห็นเทพแห่งสงครามองค์หญิงเจิ้นกั๋วบุกเข้าไปโจมตีกลางกองทัพผิงหยางโดยฝ่ายศัตรูไม่อาจต้านทานได้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเลือดร้อน เลือดพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง แทบอยากบุกเข้าไปสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์หญิงเจิ้นกั๋วทันที

นอกเมืองหลวง กองทัพใหญ่ของไป๋ชิงเหยียนกำลังสู้รบกับกองทัพผิงหยางอย่างดุเดือด

ในเมืองหลวง กองทัพหย่วนผิงภายใต้การนำของไป๋จิ่นซิ่วกำลังบุกโจมตีวังหลวง

กองทัพผิงหยางค่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ กระทั่งมีทหารที่ฉลาดบางคนเริ่มยอมจำนนเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง

ความพ่ายแพ้ของกองทัพผิงหยางเกิดขึ้นเร็วกว่าที่แม่ทัพหวังเหมิ่งคาดการณ์ไว้มาก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามแม่ทัพหวังเหมิ่งและทหารในกองทัพผิงหยางที่เหลืออยู่ก็ถูกหวังสี่ผิงนำทหารมาล้อมเอาไว้

หวังเหมิ่งกำดาบโค้งในมือแน่น ร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือด เขาถูกธนูยิงเข้าที่หน้าอกดอกหนึ่งจนลูกน้องต้องช่วยประคองร่างไว้เขาถึงฝืนร่างกายยืนอยู่ต่อไปไหว

แม้ตู้ซานเป่าจะเป็นทหารของต้าจิ้น ทว่า เขาไม่เคยรู้จักแม่ทัพหวังเหมิ่งเป็นการส่วนตัวมาก่อน เวลาลงมือจึงไม่ได้ออมมือแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าหวังเหมิ่งได้รับบาดเจ็บหนักแล้วยังไม่ยอมจำนน เขาใช้มือปาดคราบเลือดที่กระเด็นโดนใบหน้าออกแล้วชี้นิ้วไปทางหวังเหมิ่ง “เป็นบุรุษอกสามศอกที่แท้จริง! หากท่านยอมจำนนพวกเรายังสามารถเป็นสหายร่วมรบกันได้ ทว่า ท่านกลับไม่ยอมจำนน เห็นแก่ที่เราเป็นคนแคว้นต้าจิ้นเหมือนกันข้าจะส่งท่านไปอย่างสงบก็แล้วกัน!”

กล่าวจบตู้ซานเป่าก็เงื้อดาบในมือขึ้น ทว่า เขาได้ยินเสียงตะโกนของจี้ถิงอวี๋ดังมาจากทางด้านหลังเสียก่อน “หยุดเดี๋ยวนี้!”

ตู้ซานเป่าหันกลับไปมอง เขาเห็นไป๋ชิงเหยียนลงมาจากหลังม้าจึงรีบลดดาบในมือลงและแหวกทางให้หญิงสาว

ไป๋ชิงเหยียนโยนหอกเงินหงอิงที่เปื้อนไปด้วยเลือดให้จี้ถิงอวี๋ จากนั้นเดินเข้าไปหาแม่ทัพหวังเหมิ่ง หวังสี่ผิงเดินหอบหายใจตามไปติดๆ

หวังเหมิ่งมองดูไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาหาตนด้วยท่าทีองอาจ เขารู้สึกว่าข่าวลือก่อนหน้านี้ช่างไร้สาระสิ้นดี…

องค์หญิงเจิ้นกั๋วในตอนนี้ดูเหมือนคนป่วยออดแอดใกล้สิ้นใจอย่างนั้นหรือ!

คนป่วยอ่อนแอคนใดสามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะตวัดหอกยาวไปทางใดทหารก็พากันล้มตายเป็นขบวนเช่นนี้!

ผู้ใดสามารถทำได้กัน!

นี่มันคือเสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋ที่ไม่เคยรบพ่ายแพ้ในสนามรบคนนั้นชัดๆ ไม่สิ…องค์หญิงเจิ้นกั๋วในตอนนี้ดูดุดันกว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ในตอนนั้นมากนัก

หวังเหมิ่งน้ำตาคลอ ข่าวลือที่ว่าหญิงสาวป่วยใกล้ตายล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ!

“แม่ทัพหวัง!” ไป๋ชิงเหยียนยกมือคารวะหวังเหมิ่ง

หวังเหมิ่งฝืนยืดกายตรง จากนั้นยกมือคารวะไป๋ชิงเหยียน “ก่อนหน้านี้กระหม่อมโชคดีที่ได้มีโอกาสร่วมรบกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วและกองทัพไป๋ กระหม่อมทราบดีว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วมีฝีมือการรบที่ไร้เทียมทาน บัดนี้กระหม่อมพ่ายแพ้ต่อองค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างไม่มีข้อกังขาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้ที่เอาชนะแม่ทัพหวังได้ไม่ใช่ไป๋ชิงเหยียน ทว่า คือใจคนต่างหาก”