บทที่ 911 ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนราย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 911 ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนราย

“พี่เต้า ทำไมเจ้าเงียบไปล่ะ”

เจียงอี้มองเต้าจื้อจุนที่อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยถาม แต่พอเห็น สีหน้าเขาพลันตื่นตระหนก

เห็นเพียงว่าเต้าจื้อจุนที่หลับตาอยู่ ขมวดคิ้วแน่น หว่างคิ้วมีไอชั่วร้ายไหลเวียน ท่าทางแปลกไป

จ้าวเซวียนหยวนและเหล่าตานหันไปมอง สังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเช่นกัน

เหล่าตานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเต้าจื้อจุนทันที ยกมือแตะร่างของเต้าจื้อจุน แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังอย่างไร เต้าจื้อจุนก็ไม่ตื่นขึ้นมาเลย

จ้าวเซวียนหยวนถามด้วยความกระวนกระวาย “คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องกับเขากระมัง”

พวกเขาล้วนเป็นอริยะเสรีแล้ว ไม่ประสบสถานการณ์ประเภทนี้มาเนิ่นนานมากแล้ว

เหล่าตานเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด “ผิดปกติ ผิดปกติเกินไปแล้ว เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดเลย ในร่างก็ไม่มีพลังเวทที่ผิดแผกไป วิญญาณก็ยังอยู่ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”

หลังจากเขาเดินวนรอบตัวเต้าจื้อจุน ก็ตรวจสอบดูภายในร่างเขาต่อ

ในเวลานี้เอง

เต้าจื้อจุนลืมตาขึ้น ลุกพรวดขึ้นมา เตะเหล่าตานกระเด็นออกไป หายลับไปในหมอกหนา

จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ตกใจยิ่ง ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที

เต้าจื้อจุนหันไปมองพวกเขา เวลานี้ดวงตาสองข้างของเต้าจื้อจุนเปลี่ยนไป ตาดำดูราวกับงูดำสองตัวกินหัวกินหางกัน ดูแปลกประหลาดน่าผวา

“พี่เต้า เจ้าเป็นอะไรไป”

จ้าวเซวียนหยวนถามอย่างเคร่งเครียด สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เจียงอี้เอ่ยว่า “หรือว่าเขาจะถูกอะไรบางอย่างเข้ายึดครองเจตจำนง”

เต้าจื้อจุนยิ้มอย่างชั่วร้ายเอ่ยว่า “เด็กน้อยทั้งสอง คุณสมบัติไม่เลวเลย ข้าต้องการทาสรับใช้ที่เป็นสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลอยู่พอดี”

เวลานี้เอง เหล่าตานปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าพวกจ้าวเซวียนหยวนทั้งสอง เขาจ้องมองเต้าจื้อจุนแล้วเอ่ยถาม “ท่านผู้สูงศักดิ์เป็นใคร ไยต้องมายึดครองกายเนื้อของศิษย์หลานข้าด้วย”

เต้าจื้อจุนบิดคอเล็กน้อย เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำร้ายเขาแน่นอน หากว่าพวกเจ้ายอมสยบต่อข้า วันหน้าจะได้รับโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ พวกเจ้าเคยได้ยินตำนานของแดนบรรพกาลหรือไม่”

ตำนานแดนบรรพกาลหรือ

เหล่าตานขมวดคิ้วแน่น จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้สบตากันแวบหนึ่ง พวกเขากำลังคิดว่าจะรับมืออย่างไรดี

เต้าจื้อจุนเอ่ยว่า “ข้าคือดวงจิตบรรพกาล นับจากนี้ไปจะระดมมารมรรคาและวิญญาณร้ายที่ก้นบึ้งฟ้าบุพกาลมากมายไร้สิ้นสุดมา เข้าถล่มฟ้าบุพกาลพร้อมกัน หากพวกเจ้ามาเข้าสวามิภักดิ์กับข้าล่วงหน้า จะรอดพ้นจากความตาย ทั้งยังได้รับตำแหน่งที่สูงส่งในฟ้าบุพกาลยุคใหม่ด้วย”

เหล่าตานเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ “คำพูดนี้ของเจ้าชวนให้คนหวั่นไหวโดยแท้ แต่เจ้าเข้าใจในฟ้าบุพกาลจริงๆ น่ะหรือ คิดจะทำลายล้างฟ้าบุพกาลเช่นนั้นหรือ อาศัยสิ่งใดเล่า ก่อนหน้านี้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นรายเข้ารุกรานมรรคาสวรรค์ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มีพลังเทียบเท่าอริยะมหามรรค ซ้ำยังเป็นอริยะมหามรรคชั้นแนวหน้าด้วย!”

เต้าจื้อจุนยิ้มแปลกพิกล เอ่ยว่า “ข้าย่อมทราบเรื่องนี้ดี ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็มีความมั่นใจเต็มที่ อีกอย่างมรรคาสวรรค์แห่งนั้นก็คือเป้าหมายที่ข้าต้องการบดขยี้”

พอเอ่ยออกมา หมอกหนารอบข้างพลันปั่นป่วน ราวกับมังกรตัวแล้วตัวเล่าม้วนตัวบิดเลื้อย ฉากที่ปรากฏในขณะนี้ น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

เหล่าตานหรี่ตามอง สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำเข้าหากัน

เต้าจื้อจุนค่อยๆ ลอยขึ้นไป กางสองแขนออก เอ่ยด้วยรอยยิ้มคลุ้มคลั่ง “พวกเจ้าควรรู้ไว้ว่าอริยะมหามรรคคือระดับเบิกฟ้ามหามรรค และเหนือจากระดับเบิกฟ้ามหามรรคนี้ขึ้นไปยังมีระดับยอดมหามรรคอยู่!”

พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั้งสามต่างมีสีหน้าตกตะลึง

เจียงอี้ถามเสียงขรึม “หรือว่าท่านผู้สูงศักดิ์ก็คือยอดมหามรรค”

เต้าจื้อจุนหัวเราะอย่างจองหอง เสียงหัวเราะเปี่ยมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าก้าวข้ามยอดมหามรรคไปนานแล้ว บรรลุถึงระดับที่เหนือกว่า! อริยะมหามรรคเมื่อเผชิญหน้ากับข้าก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา ต่อให้มีจำนวนมากแล้วอย่างไรเล่า อริยะสวรรค์เกรียงไกรทำลายล้างขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นรายได้ ทว่าข้าทำลายล้างขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนรายได้!”

จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตานล้วนตกตะลึง

แม้แต่เหล่าตานก็ไม่ทราบเลยว่าเหนือยอดมหามรรคขึ้นไปยังมีระดับอื่นอีก

ถึงอย่างไรร่างต้นของเขาก็หยุดนิ่งอยู่ที่ยอดมหามรรคเท่านั้น

หากว่าสิ่งที่คนผู้นี้กล่าวมาเป็นความจริง เช่นนั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงฟ้าบุพกาลได้จริงๆ!

เจียงอี้ถามอย่างโกรธเกรี้ยว “เหตุใดเจ้าต้องบดขยี้มรรคาสวรรค์ด้วย ผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลอย่างพวกเจ้าสมองมีปัญหากันหรืออย่างไร เอะอะก็จะหาเรื่องมรรคาสวรรค์ตลอด!”

เต้าจื้อจุนมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น จิตสังหารอันน่าหวาดหวั่นสะกดเขาไว้ ทำให้เขาหนาวเหน็บไปทั้งร่าง ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

แม้ว่าจะหวาดกลัว ทว่าด้วยความเย่อหยิ่งของเจียงอี้ยังคงทำให้เขาจ้องมองเต้าจื้อจุนอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่

ในมรรคาสวรรค์ เจียงอี้ก็เคยเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเช่นกัน

จู่ๆ เต้าจื้อจุนก็หัวเราะออกมา “เฮอะ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นชนรุ่นหลัง จะไม่ถือสาเจ้าแล้วกัน เหตุใดมรรคาสวรรค์ถึงเผชิญวิบากกรรมมากมายน่ะหรือ นั่นเป็นเพราะมรรคาสวรรค์เคยก่อกรรมไว้มากเกินไป! บรรพชนแกล้งหายสาบสูญไป คิดว่าจะลบเลือนทุกอย่างไปได้จริงๆ หรือ เป็นไปไม่ได้! รอจนข้าบดขยี้มรรคาสวรรค์จนราบคาบ มาดูกันว่าบรรพชนเต๋าจะยังนั่งติดที่อยู่หรือไม่!”

เหล่าตานถามด้วยความฉงน “เจ้าพูดกับพวกข้ามากมายขนาดนี้ เพราะเห็นแววในตัวพวกเราจริงๆ น่ะหรือ”

เต้าจื้อจุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เห็นแววในตัวพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ เพียงให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้งเท่านั้น เจตจำนงของข้ามีนับพันล้าน แยกย้ายกระจายไปตามโลกต่างๆ ข้าเปลืองน้ำลายมาคุยกับพวกเจ้า ก็ไม่ได้เสียเวลาสักเท่าไรเลย เข้าใจหรือไม่”

“พวกเจ้าหนีไม่รอดแล้ว ยอมจำนนต่อข้าซะ หรือไม่ก็ตาย!”

เขาพลันเหลือบมองจ้าวเซวียนหยวน แววตาวูบไหว

เวลานี้จิตนึกคิดของจ้าวเซวียนหยวนเข้าสู่หมื่นโลกาฉายชัด

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! มรรคาสวรรค์จะถูกคุกคามอีกแล้ว! พวกเราสามพี่น้องถูกคนจับตัวไว้!”

จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน เวลานี้ในหมื่นโลกาฉายชัดมีคนหรอมแหรมบางตา ในบรรดานั้นมีไก่คุกรัตติกาลอยู่ด้วย

ไก่คุกรัตติกาลหาวคราหนึ่ง เอ่ยว่า “จะขอความช่วยเหลือก็พูดมาสิ อย่าเล่นใหญ่ไปเลย พวกเราไม่สามารถออกไปช่วยพวกเจ้าได้ ไปหานายท่านเพื่อขอความช่วยเหลือเถอะ”

จ้าวเซวียนหยวนกัดฟันเอ่ย “อีกฝ่ายมาจากแดนบรรพกาล อ้างว่าสามารถสังหารขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนรายได้ ข้าไม่กล้าผลีผลามไปแจ้งท่านอาจารย์!”

ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนราย!

ไก่คุกรัตติกาลตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม ขนไก่ส่ายไหว

มันยังไม่ทันอ้าปากพูด จู่ๆ จ้าวเซวียนหยวนก็หายตัวไป

ไก่คุกรัตติกาลออกจากหมื่นโลกาฉายชัด เรียกรวมตัวเทพมารฟ้าบุพกาล ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่นี้ของจ้าวเซวียนหยวน

มู่หรงฉี่ขมวดคิ้ว “ฟ้าบุพกาลจะเกิดภัยพิบัติอีกแล้วหรือ”

กวนปู้ไป้แค่นเสียง “นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้ขอบเขต ประกอบกับอยู่มานานนม ผู้ทรงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ย่อมมีมากนับไม่ถ้วน”

เทพมารที่เหลือล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด

ในแบบจำลองการทดสอบก็มีขุนพลศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเข้ามาแล้ว พวกเขาล้วนเคยไปท้าประลองขุนพลศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครสู้ได้เลยสักคน ล้วนถูกสังหารในเสี้ยววินาที

“รอให้อาจารย์มาเยือนอาณาเขตเต๋าแล้วค่อยว่ากันเถอะ หรือไม่ก็ให้อาจารย์หญิงแจ้งต่อเขา”

สวินฉางอันเอ่ยอย่างใช้ความคิด ความเห็นของเขาได้รับความเห็นชอบจากเหล่าเทพมาร

ตอนนี้ พวกเขายังไม่มีพลังพอจะต่อกรกับยอดมหามรรค

เทพมารขุนพลสวรรค์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อัตราความก้าวหน้าของพวกเรายังช้าเกินไป ภายในล้านปีนี้ต้องมีเทพมารพิสูจน์มหามรรคให้ได้อย่างน้อยสามตน เข้าใจหรือไม่”

เขากวาดตามองคนอื่นๆ คนส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าสบตาด้วย

มหามรรคมิใช่สิ่งที่จะพิสูจน์กันได้ง่ายๆ!

ต่อให้เป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน!

….

เพียงพริบตาเดียว ผ่านไปหนึ่งแสนปีแล้ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ปล่อยให้สิงหงเสวียนและหานฮวงที่อยู่นอกอารามเต๋าเข้ามา

“ท่านพี่ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! มรรคาสวรรค์มีภัยอีกแล้วเจ้าค่ะ! ศิษย์ของท่านถูกคนจับตัวไป!”

สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน หานฮวงที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจกลับสนใจใคร่รู้ยิ่ง

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ค่อยๆ เล่ามา พูดให้กระจ่าง”

ขณะเดียวกัน เขานับนิ้วทำนาย พบว่าบ่วงกรรมของพวกเต้าจื้อจุนทั้งสามหายไปแล้วจริงๆ

เขาเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมา รูปประจำตัวของทั้งสามยังอยู่

สิงหงเสวียนเล่าเรื่องที่ทราบมาจากไก่คุกรัตติกาลออกมาอีกรอบ

สามารถทำลายล้างขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนรายได้

มาจากแดนบรรพกาล

ดวงจิตบรรพกาล!

ไม่คิดเลยว่าจะเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้!

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ารับรู้แล้ว ข้าจะคิดหาทางจัดการ”

หานฮวงอดถามไม่ได้ “ท่านพ่อ ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งต่อสู้เสมอกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งราย ท่านสามารถพิฆาตสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ในกระบี่เดียวจริงๆ หรือขอรับ”

………………………………………………………………