บทที่ 912 มุ่งทะลวงระดับ เกิดมรสุม

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 912 มุ่งทะลวงระดับ เกิดมรสุม

“โชคดีเท่านั้น ชิงลงมือก่อนที่สองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะลงมือ ดังนั้นถึงทำลายล้างพวกเขาได้ในคราวเดียว”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม หานฮวงฟังแล้วกระจ่างขึ้นมาในทันใด

แค่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เพียงรายเดียวก็มากพอจะทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นคงได้แล้ว สองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่แห่มาพร้อมกัน เช่นนั้นจะเป็นฉากที่น่าพรั่นพรึงถึงเพียงใดเล่า

หานฮวงเอ่ยถาม “เช่นนั้นท่านจะไปช่วยเหล่าศิษย์หรือไม่ขอรับ พวกเขาล้วนเป็นศิษย์พี่ของข้า ท่านพาข้าไปด้วยเถิด!”

หานเจวี๋ยถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง กล่าวว่า “อีกฝ่ายสามารถทำลายล้างสองแสนขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ พ่อเจ้าไหนเลยจะต่อกรได้ เรื่องนี้จะบุ่มบ่ามไม่ได้ เจ้าอย่าได้คิดนำหัวไปส่งให้ผู้อื่นเลย”

ส่งหัวให้ผู้อื่นหรือ

หานฮวงผงะไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายในวาจานี้ทันที เช่นนี้คือดูหมิ่นว่าเขาไม่ประมาณตนอยู่

“ท่านพ่อ ข้าก็อยากแบ่งเบาภาระของท่าน ตอนนี้ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นอริยะมหามรรคแล้ว ต่อให้เอาชนะศัตรูไม่ได้ แต่คงไม่ถึงขั้นกลายเป็นตัวถ่วงกระมัง!” หานฮวงเอ่ยด้วยความโกรธ

อริยะมหามรรคแข็งแกร่งเพียงใดกัน สามารถสอดส่องทั่วทั้งฟ้าบุพกาลได้ มองทะลุอดีตปัจจุบัน ไม่ถูกผูกมัดด้วยมหามรรคสามพันวิถี ต่อให้สู้คนผู้นั้นไม่ได้ ก็ไม่ถึงขั้นคุกคามไม่ได้สักนิดเลยกระมัง

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยความจนใจ “ข้ามีผู้ติดตามอยู่คนหนึ่ง ครอบครองคุณสมบัติเลิศล้ำในฟ้าบุพกาล หลังจากพิสูจน์มหามรรคกลับถูกผู้ทรงพลังสะกดไว้หลายแสนปี หากข้าไม่ออกหน้าช่วย เกรงว่าเขาคงตายไปแล้ว เรื่องคุณสมบัติไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงในฟ้าบุพกาล ตบะและพลังที่มีอยู่ปัจจุบันต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่พึ่งพาได้”

หานฮวงขมวดคิ้ว

หานเจวี๋ยจ้องมองเขา เอ่ยถาม “เจ้าอยากออกไปจริงๆ หรือ หากเจ้าอยากออกไป ข้าจะปล่อยเจ้าออกไปหาประสบการณ์ก็ได้ เพียงแต่ฐานะของเจ้าพิเศษนัก จะต้องเผชิญศัตรูแข็งแกร่งที่แห่แหนมาอย่างไม่ขาดสายแน่ เฮ้อ ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นบิดาของเจ้ากันเล่า พอถึงเวลาเจ้าพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ จะต้องรีบไปช่วยเจ้าแน่”

หานฮวงถูกจี้จุด แค่นเสียงเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้พูดสักหน่อยว่าข้าอยากออกไป ข้ายังต้องการฝึกบำเพ็ญต่อ รอจนข้าไร้พ่ายแล้วค่อยออกไปเผชิญโลก”

พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป

สิงหงเสวียนมองสองพ่อลูกปะทะคารมกัน อดไม่ได้ที่จะป้องปากหัวเราะ

สองพ่อลูกเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างสมบูรณ์ คนหนึ่งขี้กลัวสุดขีด อีกคนบ้าระห่ำไร้ขอบเขต

แต่มีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน คือพวกเขาไม่ชอบพ่ายแพ้!

หานเจวี๋ยกลัวพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้

หานฮวงกลัวพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงไม่หุนหันพลันแล่น

สิงหงเสวียนพูดคุยกับหานเจวี๋ยอยู่พักหนึ่งก็จากไปอย่างรวดเร็ว ทราบดีว่าหานเจวี๋ยต้องใช้ความคิดตามลำพัง

ในเรื่องนี้ สิงหงเสวียนไม่กล้าเสนอความเห็น และนางเองก็ช่วยไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็คือไม่สร้างภาระเพิ่มให้หานเจวี๋ย

ภายในอารามเต๋าเหลือเพียงหานเจวี๋ยคนเดียว เขาไม่ได้กังวลเลย เรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

ด้วยประสบการณ์ของเขา ขอเพียงเจ้าเด็กสามคนนี้ยังไม่ตาย เช่นนั้นปล่อยไปอีกสักพักก็คงไม่ตาย

ศัตรูสะกดพวกเขาเอาไว้แล้ว หากต้องการสังหารคงสังหารไปนานแล้ว

หานเจวี๋ยเคยชินกับการที่เหล่าศิษย์ถูกจับตัวไปแล้ว หากว่าต้านไม่อยู่จริงๆ คงร่ายวิชาอัญเชิญเทพเชิญเขาไปแล้ว

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านถูกผู้ทรงพลังลึกลับยึดครองร่าง]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านสอดส่องความจริงแห่งฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมิ่ง] x90

[เทพมหาทัณฑ์สหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านตัดขาดสามอสุภะ ก่อกำเนิดมารพุทธะ]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ] x109783222

[อี๋เทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ] x108782221

[เจียงเจวี๋ยซื่อศิษย์ของท่านตระหนักรู้ในมหามรรค มุ่งหมายข้ามผ่านประตูมหามรรค เผชิญกับการขัดขวางจากผู้ทรงพลังลึกลับ พิสูจน์มรรคล้มเหลว]

….

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เจียงเจวี๋ยซื่อเริ่มมุ่งหน้าสู่มหามรรคแล้วหรือ

ทั้งยังล้มเหลวอีกด้วย

เขานับนิ้วทำนาย ที่แท้ผู้ขัดขวางการพิสูจน์มรรคของเจียงเจวี๋ยซื่อคือดวงจิตมหามรรครายหนึ่ง

เจียงเจวี๋ยซื่อไม่ได้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ อย่างน้อยในฉากหน้าก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงเผชิญกับการยับยั้งจากผู้ทรงพลังได้ง่ายยิ่ง

ยิ่งมีอริยะมหามรรคมากขึ้นเท่าไร ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับอริยะมหามรรคเลย

ก่อนหน้านี้ที่หานฮวงทะลวงระดับสำเร็จ นั่นเป็นเพราะมีนักพรตเต๋าเสินเผาเข้ามาช่วยเป็นการส่วนตัว อริยะมหามรรคล้วนต้องไว้หน้าทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยเงยหน้ามองไปที่เจียงเจวี๋ยซื่อ

เวลานี้ เจียงเจวี๋ยซื่อกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ คล้ายจะไม่ได้รับผลกระทบเลย

หานเจวี๋ยไม่ได้ไปหาเรื่องดวงจิตมหามรรครายนั้น แต่ไปเข้าฝันนักพรตเต๋าเสินเผา บอกว่าเจียงเจวี๋ยซื่อมีความเกี่ยวข้องกับตน ในอนาคตให้นักพรตเต๋าเสินเผาช่วยดูแลเขาสักหน่อย

ถึงแม้ห้วงจักรวาลดาราจะไม่อยู่ในขอบเขตการดูแลของนักพรตเต๋าเสินเผา แต่นักพรตเต๋าเสินเผาสามารถช่วยปกป้องเจียงเจวี๋ยซื่อภายหลังจากอยู่ด้านหลังประตูมหามรรคได้

จากนั้น หานเจวี๋ยเข้าฝันเจียงเจวี๋ยซื่อต่อ

เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ยที่มีแสงเทพส่องระยับทั่วร่าง ก็รีบทำความเคารพ

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ทะลวงระดับล้มเหลวไยถึงไม่แจ้งให้อาจารย์เล่า”

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยด้วยความละอาย “พูดไปก็น่าละอายขอรับ ศิษย์จะไปร้องขอความช่วยเหลือจากท่านได้อย่างไร ประตูใหญ่บานนั้น ข้าทุ่มเทเต็มกำลังแล้วก็ยังเปิดไม่ออก ซ้ำยังได้รับผลสะท้อนกลับด้วย เฮ้อ”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “มีคนขัดขวางอยู่ด้านหลังประตู ข้าสั่งการให้ผู้ทรงพลังคอยช่วยดูแลเจ้าในครั้งต่อไปแล้ว ด้วยคุณสมบัติของเจ้าจะพิสูจน์มหามรรค ไม่ใช่เรื่องยากเลย อย่าได้ท้อแท้ไป”

พอเจียงเจวี๋ยซื่อได้ยินก็ตะลึงงัน จากนั้นก็ปรีดาอย่างบ้าคลั่ง รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยว่า “หลังพิสูจน์มหามรรค ยังต้องพากเพียรต่อไป เป้าหมายของเจ้าก็คือเข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้น ศิษย์คนอื่นๆ ในสังกัดข้าก็จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไป คุณสมบัติของเจ้ายอดเยี่ยม แต่อยู่ในสังกัดข้าแล้วยังไม่แน่ว่าจะเลิศล้ำสมบูรณ์แบบ”

เจียงเจวี๋ยซื่อพยักหน้ารับ จุดนี้เขาทราบมานานแล้ว

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แค่สองคนที่เขารู้จัก ไม่ขอเอ่ยถึงหลิวเป้ยแล้ว ลำพังแค่หานฮวงก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนธรรมดาสามัญแล้ว

“อาจารย์ ศิษย์น้องเล็กมีตบะระดับใดแล้วขอรับ” เจียงเจวี๋ยซื่ออดถามไม่ได้

หานเจวี๋ยก็ไม่ปิดบัง “พิสูจน์มหามรรคแล้ว”

เจียงเจวี๋ยซื่อมีสีหน้าตกตะลึง

ความรู้สึกกดดันที่หายไปนานยิ่งผุดขึ้นมาในใจเขาอีกครั้ง

ความรู้สึกกดดันเช่นนี้เขาเคยมีก่อนที่จะตระหนักรู้กลับชาติกำเนิดมหาโชค

มรรคจิตของเขามั่นคงดังเดิม

เดิมทีเขาก็มิใช่บุตรแห่งสวรรค์อยู่แล้ว เพียงมีกลับชาติกำเนิดมหาโชคช่วยเสริมพรสวรรค์เท่านั้น

อีกอย่าง หานฮวงนั้นมีคุณสมบัติเลิศล้ำในฟ้าบุพกาล เขาไม่อาจเทียบกับตัวตนระดับเสรีแต่กำเนิดได้

“ศิษย์น้องเล็กจะเข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลด้วยหรือไม่ขอรับ”

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ย่อมเข้าร่วม”

ดวงตาเจียงเจวี๋ยซื่อวูบไหวเปล่งประกายขึ้นมา

ก่อนหน้าเขาสามารถข่มหานฮวงไว้ได้ วันหน้าก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน!

หานเจวี๋ยก็ไม่พูดมากเช่นกัน สลายแดนความฝันลง

เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญ

ทะลวงระดับให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่มั่นคงพอที่จะต่อกรกับดวงจิตบรรพกาล รอเขาทะลวงระดับแล้ว พลังต้องเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแน่นอน

เขาเข้าใกล้การทะลวงระดับแล้ว อย่างมากอีกแสนปีก็คงฝ่าทะลวงสำเร็จแล้ว

ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของเทพมารปฐมยุคยังคงรวดเร็วยิ่ง

….

ณ แดนบรรพกาล หมอกหนาปกคลุม ทิวเขาลดหลั่น ทะเลสาบมากมายนับไม่ถ้วน เสมือนดินแดนดึกดำบรรพ์ที่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง

เวลานี้เองเหนือท้องนภาของแดนบรรพกาล เทพมหาทัณฑ์เหยียบเมฆเหาะเข้ามา

เทพมหาทัณฑ์ยังคงสวมชุดเกราะเปื้อนเลือดเช่นเดิม บุคลิกข่มขวัญคน คลื่นบรรยากาศรอบกายคล้ายกับมังกรยาวหลายตัว

ไม่นานนัก เทพมหาทัณฑ์ก็มาถึงทะเลสาบกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง ดูคล้ายท้องสมุทร หมอกหนาปกคลุมผิวทะเลสาบ ดูราวกับมีสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่น่าหวาดหวั่นอันใดซ่อนตัวอยู่ก้นทะเลสาบ

เทพมหาทัณฑ์เปิดปากเอ่ย “สหายเต๋า สหายเก่ามาเยือน ยังไม่ปรากฏตัวอีกหรือ”

น้ำเสียงเยียบเย็นสายหนึ่งแว่วมา “ท่านเทพมาเยือน สมควรปรากฏตัวจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้ท่านเทพกลายเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคผู้สูงส่ง ไม่ทราบว่ายังคงระลึกถึงไมตรีเก่าในวันวานอยู่หรือไม่”

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยว่า “เจ้าอยากล้างแค้นบรรพชนเต๋า ข้าเพียงอยากปกป้องฟ้าบุพกาล หาได้ขัดแย้งกัน มิใช่หรือหรือ”

ฟ้าดินเงียบสงัด

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยถาม “หรือสหายเต๋าคิดจะจัดการฟ้าบุพกาลด้วย”

“ย่อมมิใช่เช่นนั้น ข้าเพียงอยากถามท่านเทพว่า สามารถควบคุมพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดบงการขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่”

อีกฝ่ายถามกลับมา สุ้มเสียงเย็นชา

………………………………………………………………