บทที่ 913 ทะลวงสู่ระยะปลาย ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สามสิบล้านคน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 913 ทะลวงสู่ระยะปลาย ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สามสิบล้านคน

เมื่อเผชิญคำถามจากตัวตนลึกลับทรงพลัง เทพมหาทัณฑ์เงียบไป

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรค ทว่าไม่ได้ครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคเหมือนบรรพชนเทพปฐมกาล

หากมองกันในอีกแง่มุมหนึ่ง เขามิใช่ผู้นำดวงจิตมหามรรคอย่างแท้จริง

เขาพยายามครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคมาตลอด แต่ทำไม่สำเร็จ ดังนั้นเขามักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่ายังมีตัวตนที่ระดับสูงกว่าอยู่ เป็นผู้มอบอำนาจศักดิ์เหนือมหามรรคให้

“ท่านเทพ ร่วมมือกับข้าเถอะ รอจนข้าดูดซับดวงชะตาฟ้าบุพกาลแล้ว จะได้ก้าวข้ามสู่ระดับที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะมอบอำนาจให้เจ้า ให้เจ้ากลายเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคอย่างแท้จริง เจ้ามาถึงขีดจำกัดของตนแล้ว แข็งแกร่งไปกว่านี้ไม่ได้”

เสียงของตัวตนลึกลับทรงพลังแว่วมาอีกครั้ง

เทพมหาทัณฑ์ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ข้าจะเชื่อเจ้าได้หรือ เมื่อเจ้าได้ครองดวงชะตามหามรรค ยังจะเมตตาฟ้าบุพกาลอีกหรือ”

ตัวตนลึกลับนี้ย่อมเป็นดวงจิตบรรพกาล!

ดวงจิตบรรพกาลเอ่ยเสียงเรียบ “หากเจ้าไว้ใจข้า ก็มาช่วยข้า หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ยืนยันจะทำอยู่ดี ท่านเทพ ข้ามีสหายไม่มาก ที่เหลือรอดอยู่ยิ่งมีไม่มาก ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าเหลือเพียงเจ้าแล้ว ข้าถูกสะกดมาเนิ่นนานปานนี้ หากว่าเจ้าไม่เชื่อใจข้า ข้าก็ไม่ช่วยไม่ได้แล้วเช่นกัน”

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าล้อเล่นแล้ว ข้ามาพบเจ้า ก็เพียงเพราะคำนึงถึงมิตรภาพระหว่างเรา เพียงแต่ตอนนี้ข้าต้องรับผิดชอบสิ่งมีชีวิตในฟ้าบุพกาล หากว่าเจ้ายังจำข้อตกลงในอดีตได้ ข้าย่อมเชื่อใจเจ้า”

ดวงจิตบรรพกาลเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ข้อตกลงในวันวาน ยังอยู่ห่างอีกยาวไกลจริงๆ สหายเต๋าโปรดเชื่อข้า ข้าสัมผัสได้ว่าเหนือดวงจิตมหามรรคขึ้นไปยังมีตัวตนลึกลับอยู่ พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือกัน ถึงจะทำลายรูปการณ์อันคร่ำครึของฟ้าบุพกาลอย่างแท้จริงได้!”

เทพมหาทัณฑ์พยักหน้ารับ เอ่ยว่า “ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าถูกสอดส่องอยู่ตลอด ถึงขั้นที่รู้สึกว่าบรรพชนเทพปฐมกาลยังไม่ได้ดับสูญไปอย่างแท้จริง เจตจำนงต้นกำเนิดอาจจะซ่อนตัวอยู่ในอำนาจดวงจิตมหามรรค รอคอยโอกาสอยู่”

คลื่นยักษ์สองระลอกซัดโถมบนผิวทะเลสาบ พุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม เกิดเป็นร่องลึกเส้นหนึ่งขึ้นกลางทะเลสาบ

เทพมหาทัณฑ์พลันเดินจากไปอย่างเชื่องช้า

….

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านมากว่าเจ็ดหมื่นปีแล้ว

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงขั้นสำเร็จ บรรลุถึงระดับยอดมหามรรคระยะปลาย

เขาปรับตบะให้มั่นคง พลางตรวจสอบหน้าต่างค่าสถานะไปด้วย

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 7381785 /1,099,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: เทพมารปฐมยุค (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]

[ตบะ: ระดับยอดมหามรรคระยะปลาย (อริยะสมบูรณ์)]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค), วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด, มหามรรคแห่งกรรม, มหามรรคต้นกำเนิด]

….

อายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หานเจวี๋ยคร้านจะนับแล้ว

เขาสามารถรับรู้ได้ว่าพลังปฐมยุคเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ความแข็งแกร่งเช่นนี้เด่นชัดเหลือเกิน ความรู้สึกที่ได้ทะลวงขั้นเหนือล้ำกว่าแต่ก่อนนัก ดูเหมือนกำลังจะทะลวงสู่ระดับที่สูงกว่านี้!

เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง!

นี่น่ะหรือเทพมารปฐมยุค

หานเจวี๋ยปรีดายิ่ง

เขาอยากเห็นว่าตนในยามนี้จะสามารถสู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนได้มากน้อยเพียงใด

สามพันปีต่อมา ตบะของหานเจวี๋ยถึงได้มั่นคงสมบูรณ์ 艾琳小說

เขาเริ่มฝึกฝนพลังวิเศษ

ห้าร้อยปีต่อมา เขาเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารเพิ่มอีกห้าร้อยร่าง ตอนนี้มีร่างจำลองเทพมารสะสมรวมกันสองพันเก้าร้อยสี่สิบเก้าร่าง

เข้าใกล้การมีร่างจำลองเทพมารครบสามพันร่างอย่างยิ่งแล้ว!

หานเจวี๋ยเริ่มตั้งตารอวันนั้นแล้ว

อย่างน้อยก็คงสำเร็จได้ก่อนถึงงานชุมนุมฟ้าบุพกาล!

ช่วงเวลานั้นก็สามารถปกป้องเหล่าศิษย์ได้มากขึ้น ทำให้พวกเขาพัฒนาศักยภาพของตนได้เต็มที่

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ

เขาท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองแสนคนทันที!

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนที่อยู่ในระดับยอดมหามรรคอ้างตัวว่าต่อกรกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งร้อยคนได้ เท่ากับหานเจวี๋ยกำลังสู้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยี่สิบล้านตนอยู่!

ใช่จริงๆ หลังจากทะลวงขั้นเล็กๆ แล้ว พลังของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เทพมารปฐมยุค พลังที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มาจากการฝึกบำเพ็ญอย่างเดียวแน่นอน

หานเจวี๋ยซัดฝ่ามือที่รวมพลังทั้งหมดออกไป ใช้ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรทำลายล้างอริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองแสนคนโดยตรง!

เขาเพิ่มจำนวนอีกหมื่นคน

ไม่มีปัญหา!

สังหารได้ในเสี้ยววินาที!

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองแสนสองหมื่นคน!

หานเจวี๋ยจำเป็นต้องสำแดงกระบี่พิพากษาอนธการ ยังคงสังหารได้ในเสี้ยววินาที

จากนั้นก็เพิ่มจำนวนคู่ต่อสู้ขึ้นอีก!

ขีดจำกัดของการสังหารในเสี้ยววินาทีของหานเจวี๋ยคืออริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองแสนห้าหมื่นคน แต่หากว่าเผชิญหน้ากับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนสามแสนคน ก็ยังถูกสังหารจนสิ้น เพียงแต่ไม่สามารถสังหารในเสี้ยววินาทีได้เท่านั้น

เขาให้ความสำคัญกับการสังหารในเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ในมุมมองของเขา ขอเพียงไม่ใช่การสังหารในเสี้ยววินาที ศัตรูก็ยังมีโอกาสหนีรอดไปได้ ถึงขั้นที่เป็นฝ่ายกลับมาย้อนสังหารตนได้

การต่อสู้ในความเป็นจริงซับซ้อนกว่าในแบบจำลองการทดสอบ แน่นอนว่าไม่มีทางทุ่มพลังทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเปิดฉากมาเหมือนในแบบจำลองการทดสอบเช่นนี้

หานเจวี๋ยเริ่มท้าทายขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จัดการขุนพลศักดิ์สิทธิ์สามสิบล้านคนได้ในคราวเดียว

ทว่าเขาพบว่าจำนวนขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีความหมายต่อเขาแล้ว

ไม่สามารถนำมาเทียบกับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนแบบหน่วยต่อหน่วยได้อีก สุดท้ายก็มีระยะห่างระหว่างระดับชั้น

เขาท้าทายขุนพลศักดิ์สิทธิ์ห้าสิบล้านคน ยังคงจัดการได้สบายๆ เช่นกัน

หานเจวี๋ยไม่สู้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต่อแล้ว

‘ข้าสามารถสังหารดวงจิตบรรพกาลในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’

หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ขณะนี้ยังไม่ได้]

หานเจวี๋ยรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

ดวงจิตบรรพกาลบอกว่าตนสามารถจัดการขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนตนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านั่นคือขีดจำกัดของเขา ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีแบบจำลองการทดสอบ

วาจานี้อธิบายให้กระจ่างได้เพียงข้อเดียวว่า ดวงจิตบรรพกาลไม่ได้เห็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสายตาเลย

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถามไปว่า ‘หากข้าต่อกรด้วยจริงๆ ดวงจิตบรรพกาลสามารถสังหารข้าได้หรือไม่’

คำถามนี้เชื่อมโยงกับคำถามเดิมก่อนหน้า ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับตบะของดวงจิตบรรพกาล น่าจะไม่ถูกหักอายุขัย

ถึงอย่างไรสองคำถามก็เชื่อมโยงกัน ตบะของดวงจิตบรรพกาลไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไป

[ไม่ได้]

เท่านั้นก็พอแล้ว

แปลว่าต่างฝ่ายต่างมีโอกาสกันคนละครึ่ง

หานเจวี๋ยใคร่ครวญดู เลือกเข้าฝันจ้าวเซวียนหยวน

แดนความฝันยังคงเป็นเขตเซียนร้อยคีรี เมื่อจ้าวเซวียนหยวนลืมตาขึ้นมองเห็นหานเจวี๋ย พลันรู้สึกตื้นเต้นนัก

“อาจารย์ ท่านเตรียมจะช่วยเหลือพวกเราแล้วหรือขอรับ”

จ้าวเซวียนหยวนรีบเอ่ยถาม

หานเจวี๋ยถามกลับ “เหล่าจื่อไปช่วยเหล่าตานหรือไม่”

จ้าวเซวียนหยวนส่ายหน้า

หานเจวี๋ยถามต่อ “ผู้ใดเป็นคนชักนำไปพบภัยพิบัติครานี้”

จ้าวเซวียนหยวนผงะไป ตอบว่า “เป็นเหล่าตานที่บอกว่าก้นบึ้งฟ้าบุพกาลมีโอกาสวาสนา แต่คนที่รั้นจะไปคือเต้าจื้อจุนขอรับ”

เขาทราบเจตนาของหานเจวี๋ยดี ว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยในตัวเหล่าตาน

หานเจวี๋ยถาม “สถานการณ์ทางพวกเจ้าเป็นอย่างไร ยังทนรอไหวหรือไม่”

จ้าวเซวียนหยวนพยักหน้ารับ “พวกเราแสร้งยอมจำนน จึงปลอดภัยชั่วคราวขอรับ เพียงแต่เต้าจื้อจุนถูกยึดร่าง ดีร้ายยากจะทราบได้

“อาจารย์ พวกเราไม่เป็นอะไรขอรับ ท่านมีความมั่นใจแล้วค่อยช่วยพวกเราก็ได้ ถึงอย่างไรครั้งนี้ศัตรูก็แกร่งกล้าลึกลับ”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “หากว่าเหล่าจื่อออกโรง เจ้าจงแจ้งข่าวต่อข้าผ่านหมื่นโลกาฉายชัด”

จ้าวเซวียนหยวนรับคำทันที

หานเจวี๋ยจึงสลายแดนความฝัน

จากนั้นเขามายังเขตเซียนร้อยคีรี แล้วเคลื่อนย้ายไปปรากฏในตำหนักเอกภพต่อ

เวลานี้เอง ภายในตำหนักนอกจากจอมอริยะเสวียนตูแล้ว ยังมีอีกคน เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่มรรคาสวรรค์ทุ่มเทชุบเลี้ยงอย่างเต็มที่ ชิงเทียนเสวียนจีนั่นเอง

เมื่อจอมอริยะเสวียนตูเห็นหานเจวี๋ย ก็รีบลุกขึ้นคำนับ

ชิงเทียนเสวียนจีหันไปมอง พอเห็นหานเจวี๋ยก็อดสงสัยไม่ได้ คนผู้นี้เป็นใครกัน

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ เอ่ยถาม “คุยกันหน่อยได้หรือไม่”

จอมอริยะเสวียนตูตอบว่า “ย่อมได้ นี่คืออริยะมรรคาสวรรค์หน้าใหม่ ชิงเทียนเสวียนจี ส่วนท่านนี้คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร เสวียนจียังไม่รีบมาคารวะอีกหรือ”

พอชิงเทียนเสวียนจีได้ยินก็ลุกมาคารวะหานเจวี๋ย สายตาที่มองหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยความร้อนแรง

………………………………………………………………