บทที่ 914 โลกรัฐเว่ย

หานเจวี๋ยมองชิงเทียนเสวียนจี ไม่ได้แสดงท่าทีใด เขาไม่อยากข้องแวะกับเด็กคนนี้

ถึงอย่างไรชิงเทียนเสวียนจีก็มีผู้สร้างมรรคาอยู่เบื้องหลัง เด็กคนนี้เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง

จอมอริยะเสวียนตูโบกมือ สื่อให้ชิงเทียนเสวียนจีถอยไป

ชิงเทียนเสวียนจีจ้องมองหานเจวี๋ย อยากจะพูดแต่ก็ระงับไว้ สุดท้ายก็ยังคงยอมถอยออกไปภายใต้สายตากดดันของจอมอริยะเสวียนตู

รอจนภายในตำหนักเหลือเพียงหานเจวี๋ยและจอมอริยะเสวียนตูแล้ว สองอริยะจึงนั่งลง

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ชิงเทียนเสวียนจีคนเมื่อครู่นั้นเป็นคนที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์ ณ ปัจจุบันนี้ พวกเราตัดสินใจว่าจะชุบเลี้ยงให้เขาออกไปสร้างชื่อในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ไม่ทราบว่าอริยะสวรรค์อยากรับเป็นศิษย์หรือไม่”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ช่างเถอะ หากรับศิษย์เพิ่มอีก จะดูเหมือนข้ากำลังวางแผนอะไรอยู่ ต้องฝากบุตรแห่งสวรรค์เอาไว้กับพวกเจ้าแล้ว มรรคาสวรรค์จะได้มีผู้สืบทอดต่อไป”

จอมอริยะเสวียนตูยิ้มออกมา เขาพูดไปตามมารยาทเท่านั้น ในใจย่อมอยากจะดูแลชิงเทียนเสวียนจีเอง

“ไม่ทราบว่าอริยะสวรรค์มาครานี้ มีเรื่องใดหรือ”

“มรรคาสวรรค์มีภัยอีกแล้ว”

“อะไรนะ”

“ภัยนี้มาจากแดนบรรพกาล…”

หานเจวี๋ยเล่าเจื้อยแจ้ว บอกเรื่องที่ตนรับรู้มา เขาไม่กลัวว่าจะถูกดวงจิตบรรพกาลทำนายพบ คนผู้นี้จับศิษย์ของเขาไป เดิมทีก็คิดจะบดขยี้มรรคาสวรรค์อยู่แล้ว ไม่เหลือช่องให้รอมชอมอีกต่อไป

รอจนหานเจวี๋ยเล่าจบ สีหน้าของจอมอริยะเสวียนตูไม่น่ามองอย่างยิ่ง

กล้าบอกว่าทำลายล้างขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองแสนคนได้ ยอดฝีมือระดับนี้น่าหวาดกลัวจริงๆ

เขาเงยหน้ามองหานเจวี๋ย เอ่ยถาม “ท่านมีความมั่นใจกี่ส่วนในการเอาชนะดวงจิตบรรพกาล”

หานเจวี๋ยส่ายหน้า

จิตใจของจอมอริยะเสวียนตูพลันจมดิ่งลงไป

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ ข้าว่าดวงจิตบรรพกาลคงมีสายสัมพันธ์กับผู้นำดวงจิตมหามรรค แน่นอนว่าเป็นเพียงการคาดเดา เจตนาของข้าคือมรรคาสวรรค์ต้องพึ่งพาเพียงกำลังของตนตลอดไป เข้าใจหรือไม่”

จอมอริยะเสวียนตูพยักหน้ารับ

หานเจวี๋ยถาม “ใช่แล้ว สรุปแล้วบรรพชนเต๋าเป็นตัวตนเช่นไรกันแน่”

เขาพบว่าบรรพชนเต๋ามีความย้อนแย้งยิ่ง

แข็งแกร่งจนสะกดตัวตนระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ได้ ทว่าเกรงกลัวดวงจิตมหามรรค ยอมจำกัดพัฒนาการของมรรคาสวรรค์

ช่างประหลาดโดยแท้

ในมุมมองของหานเจวี๋ย บรรพชนเทพปฐมกาลมิใช่คู่ต่อสู้ของบรรพชนเต๋าเลย

ส่วนห้าผู้สร้างมรรคา หลุดพ้นจากฟ้าบุพกาลไปแล้ว ไม่สนใจฟ้าบุพกาลอีก แล้วบรรพชนเต๋ากริ่งเกรงอันใดกัน

จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยรู้จักบรรพชนเต๋ามากนัก ก่อนหน้านี้เพียงเคยสดับธรรมที่วังเมฆาม่วงเท่านั้น หลังจากบรรพชนเต๋าหายตัวไป ข้าพบว่าความทรงจำที่มีต่อบรรพชนเต๋าค่อยๆ เลือนหายไป ข้าจดจำหน้าตาของเขาไม่ได้แล้ว ถึงขั้นที่จดจำคำพูดเขาไม่ได้ด้วย จำได้เพียงว่าเขาเคยมีตัวตนอยู่”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของจอมอริยะเสวียนตูแปลกพิกลนัก

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ความสามารถในการซ่อนตัวหายหัวของบรรพชนเต๋าทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ

กำจัดความทรงจำที่สรรพสิ่งมีต่อเขาไปหรือ

หานเจวี๋ยส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งก่อนจากไป “เช่นนั้นก็เตรียมพร้อมรับศึกก่อนเถอะ แดนบรรพกาลจะบุกมาตอนไหน ข้าก็ยังไม่ทราบ เจ้าจัดกำลังเฝ้าแดนบรรพกาลไว้ล่วงหน้าก่อนได้ เตรียมระวังความเคลื่อนไหวทางแดนบรรพกาลไว้ทุกเมื่อ”

พอกล่าวจบ หานเจวี๋ยก็เลือนหายไป

จอมอริยะเสวียนตูนั่งอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่น

เขาถอนหายใจหนักๆ คราหนึ่ง

เฮ้อ

เหตุใดมรรคาสวรรค์ถึงเผชิญเคราะห์ภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่ากันนะ

เขาหลงนึกว่าตนจะได้เสพสุขกับความสงบต่อไปในระยะยาว

เขาคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าล้วนเป็นเพราะบรรพชนเต๋าและเหล่าอริยะรุ่นแรก บ้างก็เล่นลูกไม้หายตัวไป บ้างก็กลายเป็นศัตรูกับมรรคาสวรรค์ไป

ในใจเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ผู้อาวุโสเหล่านี้ไว้ใจไม่ได้เลย!

จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้าพลางยิ้มขมขื่น จากนั้นเอ่ยเรียก “เข้ามาเถอะ”

ชิงเทียนเสวียนจีที่รออยู่นอกตำหนักพุ่งเข้ามาดั่งพายุลูกหนึ่ง พริบตาเดียวก็มาปรากฏเบื้องหน้าจอมอริยะเสวียนตูแล้ว

“อริยะสวรรค์เกรียงไกรเล่า”

ชิงเทียนเสวียนจีมองไปรอบๆ เอ่ยถามด้วยความฉงน

จอมอริยะเสวียนตูตอบว่า “ย่อมจากไปแล้ว มิเช่นนั้นจะให้อยู่รอพบเจ้าหรือ”

ชิงเทียนเสวียนจีเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหตุใดข้าถึงไม่ได้พบ”

คุณสมบัติของเขาเป็นที่ยอมรับแล้ว ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน หากมิใช่เพราะถูกเหล่าอริยะรั้งไม่ให้ออกสู่ฟ้าบุพกาล เขาหวังยิ่งนักว่าจะได้ทำลายสถิติความเร็วในการพิสูจน์มรรคของอริยะสวรรค์เกรียงไกร

“อริยะสวรรค์เกรียงไกรยุ่งมาก เจ้าอาศัยสิทธิ์ใดจะไปพบเขา ต่อให้มีคุณสมบัติเลิศล้ำเพียงใด ก็เป็นเพียงศักยภาพเท่านั้น แม้แต่ข้ายังไม่สามารถพบเขาได้ตลอดเวลาเลย” จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้าพลางเอ่ย

ชิงเทียนเสวียนจีเงียบไป

ถึงแม้คำพูดนี้จะสะเทือนใจคนไปบ้าง แต่ก็เป็นความจริง

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาไม่ยอมรับแน่นอน แต่อีกฝ่ายคืออริยะสวรรค์เกรียงไกร เขาจำเป็นต้องยอมรับ

ระหว่างที่เขาฝึกบำเพ็ญได้ฟังตำนานของอริยะสวรรค์เกรียงไกรมาตลอด เลื่อมใสในตำนานเล่าขานของอริยะสวรรค์เกรียงไกรผู้ทรงพลังมาตั้งแต่ยังเล็ก ปณิธานของเขาคือต้องการกลายเป็นอริยะสวรรค์เกรียงไกรคนที่สอง

หลังจากบรรลุถึงระดับอริยะ เขาถึงทราบว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรคือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล! 艾琳小說

เขายิ่งนับถือในตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรมากขึ้น!

แน่นอน เป็นเพียงความนับถือ ในใจเขาต้องการจะก้าวข้ามอริยะสวรรค์เกรียงไกรมาโดยตลอด

สักวันหนึ่ง เขาจะท้าสู้กับอริยะสวรรค์เกรียงไกรแน่นอน ไม่ใช่การตัดสินเป็นตาย เพียงวัดความแข็งแกร่งเท่านั้น!

“จอมอริยะ ข้าคิดว่าข้าสมควรออกสู่ฟ้าบุพกาลได้แล้ว มรรคาสวรรค์ยากจะทำให้ข้าก้าวหน้าได้แล้ว” ชิงเทียนเสวียนจีเอ่ยอย่างจริงจัง

สีหน้าจอมอริยะเสวียนตูไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจกลับลังเลยิ่ง

เขากลัวว่าชิงเทียนเสวียนจีจะถูกโลกอื่นแย่งไป โดยเฉพาะโลกอริยะไตรวิสุทธิ์

แต่เขาพลันนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา

หากผูกพันกับมรรคาสวรรค์จริง ไหนเลยจะถูกแย่งตัวไปได้

หานเจวี๋ยไม่แยแสชิงเทียนเสวียนจีเลย แล้วเขาจะกังวลเช่นนี้ไปไย

อีกอย่าง ยิ่งพยายามควบคุม ก็ยิ่งเกิดเรื่องได้ง่ายๆ

จอมอริยะเสวียนตูจึงกล่าวไปว่า “เอาเถอะ ไปครานี้ต้องระวังให้มากเล่า หากว่าเผชิญปัญหายุ่งยาก กลับมาได้ทุกเมื่อ อย่าได้เกรงกลัวอีกฝ่ายจะมาระรานแล้วมรรคาสวรรค์รับมือไม่ไหว มรรคาสวรรค์ในยามนี้ไม่ต้องกริ่งเกรงกลุ่มอิทธิพลใดในฟ้าบุพกาลแล้ว”

ชิงเทียนเสวียนจีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด ข้าไม่ใช่คนประมาทเลินเล่อ อีกทั้งข้ามีเมตตายิ่ง ไม่มีทางสังหารผู้บริสุทธิ์”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างจนปัญญา “ก็ใช่ แต่เจ้าชอบทะเลาะเอาชนะ จุดนี้จะชักนำภัยมาได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะปรับปรุงขอรับ!”

ชิงเทียนเสวียนจีโบกมือเล็กน้อย สีหน้าระอาใจ

เขาเกลียดการถูกสั่งสอนที่สุด

จอมอริยะเสวียนตูเมินเฉยต่อท่าทีของเขา เอ่ยกำชับต่อไป หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม ชิงเทียนเสวียนจีถึงได้เป็นอิสระ ก่อนจะจากไป จอมอริยะเสวียนตูได้มอบยอดสมบัติให้เขาด้วย ทำให้เขาตื้นตันอยู่ในใจ

ชิงเทียนเสวียนจีเองก็เข้าใจว่าเหล่าอริยะกลัวเขาจะทรยศต่อมรรคาสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่อยากให้เขาออกสู่ฟ้าบุพกาล สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ได้นึกชังเลย กลับอบอุ่นใจนัก เพียงแต่ไม่เอ่ยออกมาเท่านั้น

ท่าทีเช่นนี้สื่อให้เห็นชัดเจนว่าเขามีตำแหน่งและความสำคัญต่อมรรคาสวรรค์

สิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็คือเรื่องนี้

….

ณ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ภายในอารามเต๋า

หลังจากหานเจวี๋ยสอดส่องเจียงเจวี๋ยซื่อและหานฮวงอยู่สักพัก ก็เรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

เขาเห็นว่าเต้าจื้อจุนเผชิญความทุกข์ทรมานอยู่เนืองๆ

เขาลังเลว่าจะใช้หนังสือแห่งความโชคร้ายดีหรือไม่

หนังสือแห่งความโชคร้ายแข็งแกร่ง แต่ยังไม่แน่ว่าจะสาปดวงจิตบรรพกาลให้ตายได้ อาจจะทำให้ดวงจิตบรรพกาลรู้ตัวเข้าก็เป็นได้

หานเจวี๋ยอยากจัดการอีกฝ่ายให้เรียบร้อยในครั้งเดียว ไม่ให้โอกาสได้หลบหนี

ลองคัดลอกตบะดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!

หานเจวี๋ยเข้าฝันดวงจิตบรรพกาลทันที

แดนความฝันคือห้วงอวกาศเวิ้งว้างโกลาหล

ดวงจิตบรรพกาลดำมืดไปทั้งตัว มองเห็นโครงร่างมนุษย์เลือนราง สองเนตรเรืองแสงแดงฉาน ราวกับมารร้ายเหนือชั้นในห้วงอวกาศ ทำให้คนขวัญผวา

เขามองหานเจวี๋ย เอ่ยถาม “สหายเต๋าคือผู้ใด สามารถดึงข้าเข้าสู่ความฝันได้ ฝีมือไม่ธรรมดาเลย”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าคือเฉาเชาแห่งโลกรัฐเว่ย เจ้าจับศิษย์ของข้าไป สามารถปล่อยตัวพวกเขาได้หรือไม่”

“เฉาเชาแห่งโลกรัฐเว่ยรึ”

คล้ายว่าดวงจิตบรรพกาลจะทำนายหาอยู่

………………………………………………………………