บทที่ 713 หลานชายของเขาั

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 713 หลานชายของเขา

หันเย่ที่เห็นภาพนี้แล้วถึงกับเซ่อไปเลย

ชายชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างประหลาดเมื่อก่อนหน้านี้ จู่ๆ มีรถม้ามา กอปรกับชายชุดดำโยนเซียวลิ่วหลังเข้าไปในรถม้าโดยไม่ลังเลอีก ไม่ว่าใครก็คงจะคิดว่าคนที่นั่งอยู่ในรถม้าเป็นผู้ช่วยอีกคนของเซียวลิ่วหลังกันทั้งนั้น

แต่เหตุใด…จึงเป็นฝ่าบาทไปได้เล่า

หรือว่าฝ่าบาททรงทราบชาติกำเนิดของเซียวลิ่วหลังแล้วหรือ

แต่ไท่จื่อตรัสว่าฝ่าบาทไม่ทรงทราบนี่นา!

ยิ่งไปกว่านั้นหากฝ่าบาทเสด็จมาเพราะเซียวลิ่วหลังจริง ก็ไม่มีทางปลอมตัวเป็นสามัญชนแน่นอน!

ฝ่าบาทบังเอิญผ่านทางมา!

ขบวนเสด็จของฝ่าบาทมีทั้งหมดสามคน ตัวฝ่าบาทเอง จางเต๋อเฉวียนและยอดฝีมือประจำวังหลวงที่ควบตำแหน่งสารถี

วรยุทธ์ของสารถีเลิศล้ำยิ่ง น่าเสียดายที่ก็ยังสู้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างหันเย่ไม่ได้อยู่ดี เขาพยายามต้านอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังโดนปราณกระบี่ดีดกระเด็นอยู่ดี

ตามมาด้วยห้องโดยสารที่โดนผ่าครึ่ง

ส่วนเซียวลิ่วหลังที่โดนหน่วยกล้าตายโยนเข้าไปในห้องโดยสารรถนั้น…

เอาละ นี่คือความประมาทของคนขับ

เป็นครั้งแรกที่เห็นบุรุษดุจเทพสวรรค์เช่นนี้ เขาจึงใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง

ยามนี้เซียวเหิงกำลังหมอบอยู่กับพื้นห้องโดยสารรถ หน่วยกล้าตายโยนได้ป่าเถื่อนทีเดียว ซึ่งความจริงนั้นใช้ทักษะร่วมด้วย เขาโยนได้ไม่เจ็บ แต่อเนจอนาถพอดู

เขาโดนคว้าออกมาจากเตียงนอน จึงแต่งตัวเป็นหญิงไม่ทัน ที่สวมอยู่เป็นชุดนอนขาวพิสุทธิ์ผืนบาง ผมดำขลับดุจน้ำหมึก ดั่งผ้าแพรไหมสีรัตติกาลเป็นประกายแผ่สยายปรกไหล่และตัวของเขา บดบังใบหน้าไว้กว่าครึ่ง

เขางุนงงมาก

ไม่รู้ว่าตัวเองร่วงลงมาใส่รถม้าของใครด้วยซ้ำ

สิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตาคือรองเท้าสองคู่ที่ทำขึ้นอย่างประณีต หนึ่งในนั้นหรูหราชั้นสูงเป็นพิเศษ เขาเงยหน้าขึ้นมองบรรดาเจ้าของรองเท้าโดยสัญชาตญาณ

…เขารู้จักแค่จางเต๋อเฉวียน

ไม่รู้จักฮ่องเต้หัวโล้น

…หากว่ากันถึงความสำคัญของทรงผม

เขาจะรู้จักหรือไม่ความจริงก็ไม่สลักสำคัญอะไร ฮ่องเต้ทรงเห็นเขาแล้ว

ชั่วขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นนั้น ผมยาวแหวกออกจนเผยเห็นดวงหน้า ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเครื่องหน้าของเขาเต็มตา

ฮ่องเต้ลืมแม้กระทั่งซักไซ้ไล่เรียงเรื่องที่ตัวเองเกือบโดนฆ่าตาย ทรงเอาแต่จ้องดวงหน้าที่ใกล้แค่คืบนี้เขม็ง

เซียวเหิงกลับนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังหนีตายอยู่

เขาหันกลับไปมองชายชุดดำที่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ดูท่าชายชุดดำจะระวังสองคนนี้มาก เป็นโอกาสในการหนีแล้ว!

เซียวเหิงลุกขึ้น ผลักฮ่องเต้กับจางเต๋อเฉวียนให้หลบ แล้วแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ กระโดดลงอีกฝั่งของรถม้า หนีไปโดยไม่หันกลับมา!

จางเต๋อเฉวียนพลันร้อนรนขึ้นมา หันกลับไปมองเงาร่างที่หายลับไปท่ามกลางราตรีพลางร้องตะโกนเรียก

เซียวเหิงไปแล้ว ความสนใจของฮ่องเต้จึงย้ายกลับมาที่หันเย่ทั้งหมด

ยอดฝีมือสองนาย คนหนึ่งเป็นหน่วยกล้าตายที่องค์หญิงเพิ่งจะซื้อมา อีกคนไม่รู้ว่าใคร

แต่หน่วยกล้าตายปกป้องเซียวลิ่วหลัง ส่วนอีกคนมาเพื่อไล่ล่าเซียวลิ่วหลัง ไม่เช่นนั้นเซียวลิ่วหลังไม่หนีหรอก

ฮ่องเต้ทอดมองหันเย่ที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ นัยน์เนตรเผยประกายเย็นเยียบ “จับไว้!”

ยอดฝีมือแห่งวังหลวงควบตำแหน่งสารภีทะยานตัวขึ้น ชักกระบี่อ่อนที่ซุกอยู่บั้นเอวออกมาฟาดฟันไปยังท่านชายใหญ่หัน

หน่วยกล้าตายที่องค์หญิงซื้อตัวมาก็เข้าร่วมการต่อสู้นี้ด้วย ทั้งคู่ร่วมมือกันโจมตีท่านชายใหญ่หันอย่างดุเดือด

บอกตามตรงว่า คนหนึ่งเป็นยอดฝีมือแห่งวังหลวง อีกคนเป็นหน่วยกล้าตายที่ประมูลมา วรยุทธ์ต่างล้ำเลิศ

จนใจที่ท่านชายใหญ่หันแข็งแกร่งเกินไป สองฝ่ายปะทะกันหลายสิบกระบวน นอกจากท่านชายใหญ่หันเปลืองหยวนชี่ไปไม่น้อยแล้ว ก็ไม่ได้สร้างความบาดเจ็บใดๆ ให้ท่านชายใหญ่หันได้เลย

ความจริงหันเย่มีโอกาสสังหารพวกเขา แต่ฮ่องเต้ทรงอยู่ด้วย จึงสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นให้กับเขาเป็นอย่างมาก

สู้ต่อไม่ได้แล้ว…

หลังจากที่หันเย่โจมตีทั้งคู่ให้ล่าถอยอีกกระบวนหนึ่ง ก็ใช้กระบวนหลอกล่อ อาศัยจังหวะหันหลังทะยานเข้าสู่รัตติกาล

สารถีคว้าข้อมือเขาไว้อย่างแรง

แต่กลับดึงตัวเขาไว้ไม่ได้ คว้าไว้ได้เพียงแขนเสื้อของเขากับผ้าพันแผลที่ขาดวิ่น เผยให้เห็นบาดแผลที่เหมือนโดนคว้านมา

หันเย่หนีไปแล้ว

จากนั้นหน่วยกล้าตายก็ใช้วิชาตัวเบาจากไปเช่นกัน

สารถีคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ประสานมือขออภัยโทษกับฮ่องเต้ “บ่าวไร้ความสามารถ! ไม่อาจจับมือสังหารไว้ได้! ขอฝ่าบาททรงลงโทษด้วย!”

ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสเรื่องลงโทษลงอาญาใด แต่ถามจางเต๋อเฉวียนที่อยู่ข้างๆ ขึ้นแทน “เมื่อครู่เจ้าเห็นแล้ว”

จางเต๋อเฉวียนชะงัก ตั้งสติได้ว่าที่ฮ่องเต้ถามคือคนที่ล้มโครมเข้ามาในรถม้าพวกเขา เขานึกย้อนความจำพลางทูล “บ่าวเห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหมือนจะเป็น…พระนัดดาองค์โต”

พระนัดดาองค์โตซ่างกวานชิ่งติดตามอดีตองค์หญิงเดินทางไปสุสานกษัตริย์ตั้งแต่ยังพระเยาว์ แต่เพราะเขาป่วยร้ายแรง ทุกๆ สองปีต้องกลับมาตำหนักกั๋วซือเพื่อหาหมอขอยา และทุกคราที่เขามา ฮ่องเต้ก็จะมองดูเขาจากหอไกลๆ ของตำหนักกั๋วซือ

เนื่องจากจางเต๋อเฉวียนติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้ จึงได้เคยเจอพระนัดดาองค์โตอยู่หลายหน

เพียงแต่พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยทักทายกัน

พระนัดดาองค์โตจำพวกเขาไม่ได้ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียตอนเขาออกจากวังหลวงไปก็ยังเด็กอยู่

นี่เป็นการวิเคราะห์โดยละเอียดของจางเต๋อเฉวียนเกี่ยวกับปฏิกิริยางุนงงของพระนัดดาเมื่อครู่นี้

เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว

ประการแรก พระนัดดากลับเซิ่งตูมาเมื่อใด

ประการที่สอง ยังห่างจากการมาหาหมอของเขาอีกหนึ่งปี เหตุใดเขาจึงกลับมาก่อนเวลา หรือเพราะองค์หญิงทรงกลับมา

ประการที่สาม ยามนี้เขาพักที่ไหน

ประการที่สี่ การณ์ข้อนี้เกี่ยวข้องกับองค์หญิง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากฮ่องเต้ยังมองไม่ออกว่าคืนนี้องค์หญิงแอบออกจากวังก็เพื่อช่วยโอรสตัวเอง เช่นนั้นพระองค์ก็คงเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นโดยเปล่าประโยชน์นัก

และนี่ก็เกิดปัญหาประการที่ห้าตามมา องค์หญิงอยู่ที่วังหลัง นางรู้ได้อย่างไรว่าโอรสตัวเองกลับมาแล้ว แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดเรื่องกับเขาในคืนนี้

จางเต๋อเฉวียนลอบชำเลืองมองฮ่องเต้ จากที่ข้ารู้จักฮ่องเต้มา จากนี้พระองค์อาจจะสงสัยว่าองค์หญิงจงใจล่อพระองค์ออกมาเพื่อเล่นงาน

แต่พูดตรงๆ ว่าหากท่านไม่ใส่พระทัยองค์หญิง ก็คงไม่ตกหลุมพรางอย่างจังเบ้อเริ่มเพียงนี้

จางเต๋อเฉวียน มีปัญญาเจ้าก็พูดออกมาดังๆ สิ

ไม่ ข้าเป็นขันที ข้าไม่มีปัญญาแล้ว ข้าไม่พูด

ฮ่องเต้หลับตาลง ราวกับกำลังข่มเพลิงโทสะที่ลุกท่วมทั้งร่าง ไม่มีใครรู้ว่าเพลิงโทสะนี้มาจากองค์หญิง หรือมือสังหารมากกว่ากัน

“กลับไปค่อยจัดการนาง!” ฮ่องเต้เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา

จางเต๋อเฉวียนติดตามฮ่องเต้มาหลายปี จึงมีมาตรฐานในการประเมินเพลิงโทสะของฮ่องเต้เป็นของตัวเอง ฮ่องเต้ยังสามารถรอกลับไปถึงค่อยจัดการองค์หญิงได้ ก็หมายความว่าแม้พระองค์จวนเจียนจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ระเบิดออกมา

นี่ก็คง…เป็นเพราะพระองค์ไม่ทรงทราบว่าตัวเองหัวโล้นแล้วกระมัง

จางเต๋อเฉวียนดึงสายตากลับมาเงียบๆ ตัดสินใจรอให้ฝ่าบาทรู้ตัวเอาเอง เขาไม่ต้องการเป็นคนสุดท้ายที่ทำให้พระองค์อับอาย

จางเต๋อเฉวียนมองไปยังสารถี

สารถีสะดุ้งโหยง แม่เจ้าโว้ย เจ้าไม่พูดข้าก็ไม่พูดเหมือนกัน!

ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น “รู้กระบวนท่าการต่อสู้ของมือสังหารหรือไม่”

สารถีตอบอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท กระบี่สองกระบวนที่มือสังหารใช้ก่อนหน้านี้เหมือนจะเป็นวิถีกระบี่ของสำนักถัง ตอนที่ประมือกับเขาในเวลาต่อมา เขาใช้วิถีกระบี่ที่ธรรมดามากในยุทธภพ โดยปกติแล้วนักดาบทุกคนล้วนใช้เป็นพ่ะย่ะค่ะ”

ว่ามาเช่นนี้ฮ่องเต้ยังไม่เข้าใจได้หรือ

ตอนแรกมือสังหารไม่รู้ว่าคนที่นั่งในรถม้าเป็นผู้ใด จึงใช้วิถีกระบี่ที่เหี้ยมที่สุด ต่อมาคงจะจำพระองค์ได้ คิดจะปกปิดตัวตนจึงได้เปลี่ยนมาใช้วิถีกระบี่ที่คนในยุทธภพต่างใช้กันเป็น

น่าเสียดายที่สองกระบวนท่านั้นเพียงพอให้เขาเผยพิรุธแล้ว

สารถีทูลต่ออีก “ฝ่าบาท จากที่บ่าวทราบนั้น เซิ่งตูมีแค่ตระกูลหันที่เชิญศิษย์สำนักถังมาเป็นแขกพ่ะย่ะค่ะ”

นัยน์ตาของฮ่องเต้มีประกายอันตรายวาบผ่าน

สารถีทูล “นอกจากนี้ ตอนที่ข้าน้อยประมือกับเขาก็พบแผลบนแขนซ้ายของเขาด้วย เหมือนจะโดนคว้านเนื้อออกไปทั้งเป็น ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังส่วนลึกในรัตติกาลอย่างเย็นชา “ตระกูลหัน!”

ณ เรือนใหญ่ของตระกูลหัน

หันเย่ใช้วิชาตัวเบากลับมาที่เรือนตัวเอง

พอเขาเข้ามาในห้องก็เจ็บจนล้มลงกับพื้น!

“เย่เอ๋อร์”

ฉีเซวียนพุ่งเข้าประตูมา!

สองวันนี้หันเย่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำอะไรก็ไม่บอกอาจารย์อย่างฉีเซวียน คืนนี้เลิกประชุมตระกูลเสร็จ หันเย่ก็หายตัวไปนาน ฉีเซวียนกังวลใจ อยากมาดูว่าเขากลับมาหรือยัง

ไม่คิดว่าจะมาเห็นภาพนี้เข้า

เขาพยุงหันเย่ที่ล้มอยู่กับพื้นขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

หันเย่แขนซ้ายแข็งทื่อ สีหน้าซีดเผือด เหงื่อไหลเป็นน้ำ ข่มความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างไว้มหาศาล

ประมือกับยอดฝีมือสองนายเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่บริเวณที่โดนนกไห่ตงชิงจิกกลับเจ็บขึ้นเรื่อยๆ

เขาเป็นคนมีวรยุทธ์ ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ ตอนแรกไม่ได้ใส่ใจ แค่พันแผลลวกๆ เท่านั้น

แต่เมื่อผ้าพันแผลที่มีคราบเลือดแห้งกรังถูกกระชากออก เขาจึงได้รู้สึกว่าบาดแผลตัวเองไม่ใช่เล็กๆ

“แขนเจ้าไปโดนอะไรมา” ฉีเซวียนยกแขนซ้ายเขาพลางถาม

หันเย่หน้าซีดเซียวเอ่ย “โดนนกอินทรีย์จิก”

ฉีเซวียนขมวดคิ้ว “นกอินทรีย์อะไรจิกได้ลึกเพียงนี้”

ลึกจนเห็นกระดูกแล้ว!

ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ฉีเซวียนจึงเอ่ยอีก “ไม่สิ เจ้าไปโดนนกอินทรีย์จิกมาได้อย่างไร”

เขาเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเซิ่งตูเชียวนะ!

“ข้าประมาทไปหน่อย” หันเย่เหงื่อเย็นแตกพลั่กพลางเอ่ย “ยามนี้ไม่ใช่เวลามาคุย อาจารย์ ท่านอาจต้องออกไปหลบซ่อนตัวสักพักแล้วล่ะ”

“เรื่องใดกัน” ฉีเซวียนเอ่ยพลางดึงลิ้นชักเปิด หยิบยาทาแผลกับยาออกมา “เจ้าทนไว้ ข้าจะจัดการแผลให้เจ้าก่อน”

หันเย่หลับตาลงพลางเอ่ย “แผลข้าเดี๋ยวค่อยว่ากัน…คืนนี้ข้า…เผยวิถีกระบี่ของสำนักถังออกมา… ไม่นานพวกเขาคงสืบเจอ… ข้ากลัวว่าอาจารย์จะโดนลากมาเกี่ยวด้วย…”

ฉีเซวียนมองหันเย่ในชุดยามวิกาล ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เย่เอ๋อร์ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมไว้ใจข้าอีกหรือ หากเจ้าไม่บอกให้ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่ไป”

หันเย่ทะเลาะกันในหัวยกใหญ่ คำสั่งของไท่จื่อยังคงชัดเจนอยู่ในสมอง แต่อาจารย์ก็เป็นคนสำคัญสำหรับเขามากเช่นกัน

สุดท้ายเขาก็เล่าภารกิจให้ฟัง

ฉีเซวียนยิ้มเย็น “ดังนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่หนานกงลี่เข้าวังหลวงในตอนนั้น ไท่จื่อพูดเสียดูดี ไม่อยากลากตระกูลหันมาเกี่ยว สุดท้ายก็ลากผู้สืบทอดตระกูลหันเข้าไปอยู่ดีมิใช่หรือไร”

หันเย่เอ่ย “อาจารย์ ท่านรีบออกไปหลบซ่อนตัวสักระยะเถิด”

ฉีเซวียนทอดถอนใจเอ่ย “ซ่อนตัวไม่ได้แล้ว วันนี้เจ้าฆ่าพระนัดดาองค์โตโดนฮ่องเต้จับได้ ฮ่องเต้จำไม่ได้ก็แล้วไป แต่นี่ฮ่องเต้กับจางกงกงก็ต่างจำได้แล้วมิใช่หรือ ตั้งแต่นี้ไป เมืองชั้นในของเซิ่งตูแม้แต่แมลงวันก็ไม่มีทางบินออกไปได้แล้ว”

หันเย่กำหมัดอย่างขุ่นเคือง

ฉีเซวียนถาม “คนนอกไม่รู้ว่าข้าเป็นคนสอนวิถีกระบี่ให้เจ้ากระมัง”

หันเย่ส่ายหน้า “อาจารย์แอบสอนการต่อสู้ให้ข้า ไม่ให้ข้าบอกแม้แต่พ่อของข้า ข้าก็ไม่ได้บอกกับผู้ใด พวกเขาต่างคิดว่าข้าแค่เรียนอาวุธลับกับท่านเท่านั้น”

ฉีเซวียนเอ่ย “แม้ว่าอาจจะสงสัยมาถึงเจ้าได้ แต่ข้าจะพยายาม”

หันเย่ “อาจารย์!”

ฉีเซวียนแย้มยิ้ม “วันนี้ข้าจะออกจากตระกูลหัน ต่อไปนี้เจ้าอย่าได้ติดต่อข้าล่ะ ห้ามคิดจะมาหาข้าด้วย”

“เปล่าประโยชน์”

นายรองหันกับหันหย่งสาวเท้ายาวๆ ราวกับดาวตกเข้ามา

หันเย่สีหน้าพลันเปลี่ยน “ท่านอารอง!”

หันหย่งเอ่ย “ที่พวกเจ้าคุยกันข้าได้ยินหมดแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าอยากฟังข้าพูดหน่อยหรือไม่”

ฉีเซวียนถาม “ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ”

หันหย่งหน้าเคร่งเอ่ย “เมื่อครู่นี้เอง พ่อข้า ปู่ของเย่เอ๋อร์โดนเรียกเข้าวัง”

สีหน้าทั้งสองพลันเปลี่ยน

เดาไว้แล้วว่าฮ่องเต้อาจจะลงมือ แต่ไม่คิดว่าจะทรงลงมือไวปานนี้

หันหย่งเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนสำนักถังจะรับผิดชอบได้แล้ว ลอบปลงพระชนม์พระนัดดาองค์โต แม้จะยังไม่สำเร็จ แต่คนตระกูลหันไม่ตาย จะทำฮ่องเต้พอพระทัยได้หรือ อย่าว่าแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของคนตระกูลหันเลย ต่อให้ไม่ใช่จริงๆ ฮ่องเต้ก็จะคิดบัญชีกับตระกูลหันอยู่ดี!”

เขาเอ่ยพลางหันไปมองหันเย่ “เจ้าใช้สองกระบวนไหน”

หันเย่เกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นในใจ “ท่านอารอง…”

หันหย่งคว้าแขนซ้ายของหันเย่ไว้ พิศมองบาดแผลเขาอย่างละเอียด จู่ๆ ก็ชักกริชออกมา คว้านแขนซ้ายของตัวเองให้เท่ากับแผลของเขา!

หันเย่หน้าถอดสี “ท่านอารอง!”

หันหย่งฉีกชายชุดคลุมมาพันแผลไว้ ข่มความเจ็บเอ่ย “สอนข้า สองกระบวนไหน”

หันเย่จุกในลำคอ ขอบตาแดงก่ำ สะอื้นพลางส่ายหน้า “ข้าไม่สอน…ข้าไม่สอน…”

หันหย่งไม่เซ้าซี้หลานชายอีก หันไปมองฉีเซวียน แววตาเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด “รบกวนท่านจอมยุทธ์ด้วย”

หันเย่ขอบตาแดงก่ำคำรามขึ้น “อาจารย์! ไม่!”

บิดาเขางานรัดตัว เขาจึงถูกท่านอารองเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ในใจของเขา สนิทสนมกับท่านอารองเสียยิ่งกว่าบิดาแท้ๆ อีก

เขาไม่อยากให้ท่านอารองมารับโทษแทนเขา ไม่อยากตาปริบๆ มองท่านอารองตาย!

มันทรมานเสียยิ่งกว่าให้เขาไปตายเองอีก!

ฉีเซวียนมองหันหย่งนิ่ง “ต่อให้เจ้าไปรับโทษแทน ก็ไม่อาจช่วยทั้งตระกูลหันได้”

หันหย่งพยักหน้า “ข้ารู้”

“ได้ ข้าจะสอนให้” ฉีเซวียนเพิ่งเอ่ยจบ ก็พลิกมือไปสกัดจุดของหันเย่ แล้วชักกระบี่มายังลานเรือน “ดูให้ดี!”