บทที่ 856 กลับบ้านพัก

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟา เมื่อเขาเห็นทั้งสามคนออกมาจากห้อง เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวอะไรบางอย่างกับคนในสาย

วารุณีเองก็ไม่ได้รบกวนเขาเช่นกัน เพียงแต่เดินไปนั่งข้างๆ จากนั้นเอื้อมมือออกไปและรับสุขใจจากอ้อมแขนของพี่นันทา

หลังจากการแข่งขันในช่วงบ่าย เธอที่เป็นแม่ก็ยังไม่ได้อุ้มลูกเลย ได้แต่ปล่อยลีน่าเล่นกับลูก

ตอนนี้เท่านั้นที่เธอจะมีโอกาสได้กอดลูกชายตัวน้อยของเธอ

อย่างไรก็ตาม วารุณีเพิ่งรับเด็กมาไม่ทันได้จัดท่าอุ้มสุขใจดีๆ ก็รู้สึกถึงแววตาที่ร้อนรนจ้องมองมาที่เธอ

วารุณีเงยหน้าขึ้นไปเห็นลีน่าที่ท่าทางเหมือนโรคจิต มุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก “ลีน่า เธอ…”

เมื่อเห็นว่าสายตาตนเองถูกพบเห็นเข้าแล้ว ลีน่าก็ไม่ได้เล่นตัว กระแอมหนึ่งทีแล้วใช้ฝ่ามือถูกัน “วารุณี เธอดูสิว่าตอนนี้ประธานนัทธีคุยยังโทรศัพท์อยู่ เด็กๆ ทั้งสองคนก็ไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาน่าจะยังไม่ตื่น เพราะงั้นอีกสักพักเราถึงจะออกไป งั้นเธอให้ฉันอุ้มสุขใจได้ไหม?”

ขณะที่ขอเธอก็เอื้อมมือไปรับเด็ก

ทว่าวารุณีกอดลูกพิงข้างๆ นัทธีเพื่อหลบเงื้อมมือของลีน่า “ไม่”

เธอปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี

ลีน่าเบิกตากว้าง “ทำไมกันล่ะเนี่ย?”

“ทำไมงั้นเหรอ?” วารุณีกระตุกมุมปากอีกครั้ง “สุขใจเป็นลูกชายของฉัน บ่ายนี้ทั้งบ่ายมีแต่เธอที่อุ้มเขา แม่อย่างฉันยังไม่ได้อุ้มเขาเลย เพราะงั้นตอนนี้ฉันไม่ให้เธออุ้มแล้ว รอคราวหน้าไปเลย”

“เอ๋?” ลีน่าก้มหน้าลงด้วยความื้อใจและมองวารุณีด้วยแววตาขมขื่น

วารุณีไม่ได้เบือนหน้าหนี เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง และซุกสุขใจไว้ในอ้อมกอดของเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ความรักของคนเป็นแม่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

เมื่อเห็นวารุณีแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ลีน่าก็รู้ว่าเธอไม่สามารถแย่งตัวสุขใจได้จริงๆ จึงถอนหายใจอย่างจำยอม

ในขณะนั้น วารุณีกลอกตาไปมา จู่ๆ ก็หันหน้าแล้วยิ้มให้ลีน่า “เอาอย่างนี้ดีกว่าลีน่า เธอไปปลุกอารัณกับไอริณ รอสุขใจตื่นแล้วค่อยให้เธออุ้มเป็นไง?

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ลีน่าจึงตาเป็นประกายพลางเธอตบอกของเธอเป็นการสัญญาทันที “ไม่ต้องห่วงนะวารุณี ฉันจะไปปลุกอารัณกับไอริณเอง เธอสัญญากับฉันแล้วนะ รอสุขใจตื่นแล้วต้องให้ฉันอุ้มนะ”

“จ้ะ” วารุณีพยักหน้า “ได้ ฉันตกลง ฉันพูดจริงทำจริงอยู่แล้ว”

เธอสัญญา

ลีน่าจึงเดินไปอีกห้องหนึ่งด้วยความสบายใจ

ห้องนั้นคือที่อารัณกับไอริณนอนหลับอยู่

หลังจากลีน่าออกไป นัทธีก็โทรศัพท์เสร็จพอดี

เขาวางโทรศัพท์ลง เหลือบมองไปยังทางที่ลีน่าไป และถามวารุณีด้วยความงงงวย “เธอเป็นอะไรไปหรือ?”

เขารู้สึกว่าลีน่าดูเชื่อฟัง และดูเหมือนจะมีจุดประสงค์แอบแฝงต่อสุขใจ

วารุณีเห็นความระแวงบนใบหน้าของนัทธี จึงก้มหน้าลงพลางปิดปากยิ้ม “อย่าเข้าใจฉันผิดนะ ลีน่าไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ เลยค่ะ เธอแค่ทะนุถนอมสุขใจของเรามากเกินไป ใช่ไหมจ๊ะสุขใจ?”

เธอใช้นิ้วแตะเด็กน้อยที่หลับสนิทเบาๆ

น่าเสียดายที่เด็กน้อยไม่ตอบสนอง

ทว่าอุณหภูมิบนใบหน้าของเด็กน้อยที่แผ่ซ่านก็ได้ปลอบใจวารุณีได้ไม่น้อย

นี่คืออุณหภูมิที่แท้จริง ไม่ใช่อุณหภูมิที่เธอไม่สามารถสัมผัสได้ผ่านตู้อบ

นัทธีเองก็ลูบหัวน้อยๆ ของสุขใจ “ทะนุถนอมสุขใจหรือ?”

“ใช่ค่ะ ลีน่าเอ็นดูสุขใจมากเลยละจะบอกให้” วารุณีเล่าเรื่องที่สนามแข่งขับและเรื่องที่ลีน่าชอบพอสุขใจในห้องเมื่อครู่ให้นัทธีฟังด้วยรอยยิ้ม

หลังจากฟัง ในที่สุดนัทธีก็คลายความระแวงที่มีต่อลีน่า

“อย่างนี้นี่เอง ฉันเห็นเธอพูดถึงสุขใจด้วยท่าที่ที่บ้าคลั่งไคล้ขนาดนั้น เลยคิดว่าเธอมีคิดที่ไม่ดีกับสุขใจเสียอีกน่ะ” นัทธีกล่าวโดยทันที

วารุณีหัวเราะ “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงคิดว่าเธอจะคิดไม่ดีกับสุขใจ แต่ว่าถ้าลีน่ารู้ก็คงตลกดีแน่ๆ”

“เอาละ ไม่พูดถึงเธอแล้ว วันนี้แข่งเป็นอย่างไรบ้าง?” นัทธียื่นมือออกไป อุ้มสุขใจออกจากอ้อมแขนเธอ มือข้างหนึ่งโอบเธอไว้ มืออีกข้างอุ้มสุขใจ ทั้งภรรยาและลูกอยู่ในอ้อมแขน มีความสุขเป็นที่สุด

พอกล่าวออกไป ใครๆ ก็ล้วนอิจฉา

“การแข่งวันนี้ก็ดีค่ะ” วารุณีเอนหัวพิงไหล่สามีพลางกล่าว “อาจเป็นเพราะพวกคุณอยู่ที่นี่ ฉันถึงมีกำลังใจอย่างน่าประหลาด”

“เอ๋?” นัทธียกริมฝีปากของเขาขึ้น “จริงหรือ”

“แน่นอนสิคะ” วารุณีพยักหน้า

นัทธีหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้น จนกว่าคุณจะแข่งจะจบ ผมกับเด็กๆ จะอยู่ที่นี่กับคุณ คุณจะได้มีกำลังใจที่ดีทุกๆ วันดีไหม?”

“ดีเลยค่ะ” วารุณีตอบ

เธอรู้ว่าสามีมาที่นี่พร้อมกับพาลูกๆ มาอีกสองคน เขาไม่ได้วางแผนที่จะค้างคืนแล้วออกไปตามปกติ แต่มาอยู่กับเธอไปจนจบการแข่งขัน

เพราะก่อนหน้านี้ สามีเคยบอกก่อนว่าจะพาเด็กๆ ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอแล้วกลับด้วยกัน

ด้วยเหตุผลนี้ ก่อนที่สามีจะมาที่นี่ เขาได้ส่งมอบงานทุกอย่างไว้กับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นับว่าเป็นบุญวาสนาของเธอจริงๆ ที่มีสามีดีแบบนี้

ทั้งคู่พึ่งพาอาศัยกันและกัน บรรยากาศจึงอบอุ่นเป็นพิเศษ

ในเวลานี้มีการเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังเขา

วารุณีกับนัทธีหันศีรษะไป และเห็นลีน่าออกมาจากห้องพร้อมกับจูงเด็กๆ ออกมา

เด็กทั้งสองคนยังคงดูงัวเงียสะลึมสะลือ อาจเป็นเพราะพวกเขาถูกปลุกให้ตื่น

อารัณยังดีที่ตายังปรือๆ

แต่ไอริณหนักกว่ามาก ตาของเธอปิดสนิท ขณะที่เดินก็เดินโซเซ

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกลีน่าจูงไว้ เกรงว่าคงจะล้มลง

เมื่อเห็นสภาพแบบนี้ วารุณีก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เด็กสองคนนี้นะ ไอริณลูก อารัณลูก”

เธอเรียกเด็กทั้งสอง

เมื่อเด็กทั้งสองได้ยินเสียงของเธอ พวกเขาก็ตกใจครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นและมองไปทางวารุณีทันที

เมื่อเห็นวารุณียืนอยู่หน้าโซฟาและอ้าแขนมาทางพวกเขา เด็กทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาแล้วจึงปล่อยมือของลีน่าและวิ่งไปทางวารุณีทันที

ขณะวิ่งไปก็เรียกหาหม่ามี๊ด้วยเสียงอ่อนหวาน

ลีน่ามองดูมือทั้งสองข้างของเธอที่ถูกสะบัดทิ้งไป แล้วมองเด็กสองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของวารุณี จึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เด็กสองคนนี้นี่ ฉันเป็นคนปลุกพวกเขาแท้ๆ พอเห็นหน้าแม่ก็ทิ้งฉันไปเลยเนี่ยนะ”

พี่นันทาได้ยินคำพูดของเธอ เธออดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “ไม่อย่างนั้นจะเป็นแม่แท้ๆ ได้อย่างไรละคะ?”

ลีน่าสั่นศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ก็ถูกค่ะ”

จากนั้นเธอก็มองหาสุขใจทางซ้ายทีขวาที

ในที่สุด ก็พบว่าสุขใจอยู่ในอ้อมแขนของนัทธี

สีหน้าของลีน่าปรากฏถึงความผิดหวัง

เดิมที เธอคิดว่าสุขใจไม่ได้อยู่ในเปล ไม่ได้อยู่กับพี่นันทา ก็ต้องอยู่ที่ไหนสักที่ ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะไปหาสุขใจ

ผลกลับไม่คาดคิด สุขใจถูกพ่อของเขาอุ้มไว้อยู่

พอเป็นแบบนี้แล้ว เธอไม่มีทางไปหาสุขใจได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอกลัวประธานนัทธีมาตลอด แถมยังเป็นสามีของเพื่อนรักของเธอ และยังเป็นผู้ชายอีก เธอไม่สามารถทะเล่อทะล่าไปหาเขาเพื่อสุขใจได้

ดังนั้นรอจนกว่าเขาจะอยู่ห่างสุขใจก่อน ตัวเธอค่อยไปหาสุขใจดีกว่า

ลีน่าคิดอย่างหดหู่

ทางนั้น วารุณีและเด็กทั้งสองกอดกันครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจับมือทั้งคู่พลางมองไปที่นัทธี “ที่รัก เรากลับกันเถอะ”

นัทธีที่อุ้มสุขใจอยู่ก็พยักหน้า “ไปกันเถอะ”

ทุกคนเดินไปที่ประตูห้องรับรอง