นัทธียังคงอุ้มสุขใจแล้วเดินไปข้างหน้า
วารุณีจูงเด็กทั้งสองคนเดินตามหลัง
ขณะที่ไอริณเดิน เธอก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดขึ้นเพราะต้องการเห็นสุขใจในอ้อมแขนของนัทธี
ทว่านัทธีสูงเกินไป ตัวเธอเองก็เป็นแค่ถั่วเล็กๆ กระโดดแค่ไหนก็มองไม่เห็นสุขใจ ทำให้เธอรู้สึกไม่มีความสุข จนกระทั่งขึ้นรถและเห็นสุขใจ เธอถึงกลับมามีชีวิตชีวา
พอกลับถึงบ้านพัก สุขใจก็ยังไม่ตื่น
วารุณีขอให้พี่นันทาพาสุขใจกลับไปที่ห้องของเธอเพื่อจัดแจง
ที่นี่ไม่มีห้องเด็กอ่อน ดังนั้นจึงมีห้องว่างเพียงห้องเดียวเท่านั้นสำหรับพี่นันทา
สุขใจต้องดื่มนมตอนกลางดึก ดังนั้นจึงเป็นปกติที่จะให้สุขใจอยู่กับพี่นันทา
แม้ว่าวารุณีจะเสียดายที่ไม่สามารถให้สุขใจอยู่กับเธอและนัทธีตามลำพัง แต่ใครใช้เธอไม่มีน้ำนมกันเล่า
ดังนั้นเพื่อเห็นแก่สุขใจ เธอก็ทำได้เท่านี้
ตราบใดที่สุขใจหย่านม เธอก็จะให้สุขใจนอนกับเธอและนัทธี
พี่นันทาอุ้มสุขใจและขึ้นไปชั้นบนภายใต้คำสั่งของคนรับใช้
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ลีน่าไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงตามขึ้นไปชั้นบนด้วยความลิงโลด โดยบอกว่ากำลังจะไปเอาของขวัญให้เด็กๆ
เด็กทั้งสองเมื่อได้ยินว่ามีของขวัญ ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย จึงตามลีน่าขึ้นไป
พอเป็นเช่นนี้ ก็เหลือเพียงนัทธีกับวารุณีสองคนในห้องนั่งเล่นของบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่
สิ่งนี้ทำให้วารุณีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “นี่เราถือว่าถูกทิ้งหรือเปล่าคะเนี่ย?”
“ไม่หรอก แบบนี้ก็ดีออก” นัทธีกล่าวพร้อมกับเอาแขนโอบเอวเธอ
วารุณีเลิกคิ้ว “ดีตรงไหนกัน?”
“จะได้ไม่มีใครมารบกวนเราไง” เมื่อพูดจบ นัทธีก็คว้าเอวของเธอเข้ามา ให้ร่างกายได้แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น
แนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างร่างกายของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย
นัทธีก้มหน้ามองภรรยา น้ำเสียงกระเส่าขึ้นมา “ที่รักครับ”
วารุณีรู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน แม้แต่การหายใจของเขา เธอก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ว่าอย่างไรคะ?” วารุณีเงยหน้าขึ้นมองสามี
สามีก้มหน้าลงอีกครั้งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกกว่าเดิม “ผมอยากจูบคุณ”
เขาพูดออกไปตรงๆ
วารุณีหน้าแดงก่ำ “ไม่มีได้ค่ะ”
“ทำไมกันเล่า?” นัทธีขมวดคิ้ว และน้อยใจเล็กน้อยที่เธอปฏิเสธ
วารุณีหันไปแล้วหันกลับมา “ในบ้านไม่ได้มีแค่เราสองคนจริงๆ สักหน่อยนี่คะ แล้วถ้าลีน่ากับเด็กๆ ลงมาทีหลังล่ะ?”
“ไม่หรอก” นัทธีสั่นศีรษะด้วยความมั่นใจ “ลีน่ากระตือรือร้นที่จะเจอสุขใจขนาดนั้น เธอไม่ลงมาหรอก เธอจะอยู่กับสุขใจข้างบน แม้ว่าสุขใจจะหลับแล้วเธอก็ดูได้ทั้งคืน เรื่องนี้ ตอนที่ขากลับมาในรถ ผมได้มั่นใจแล้ว แม้กระทั่งพวกเด็กๆ เองก็ไม่ลงมาหรอก พวกเขาก็ชอบสุขใจ แล้วก็อยากอยู่กับน้อง จนกระทั่งพวกเราเรียกเขาลงมาทานข้าวเย็นนั่นละ ไม่งั้นไม่ลงมาหรอก”
“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ” วารุณีมองสามี “ลีน่าอาจจะไม่ลงมา แต่ถ้าเด็กๆ ลงมาล่ะคะ?”
“อย่ากลัวไปเลย ที่ที่ผมยืนมองเห็นบันไดได้ชัดเจน ถ้าพวกเขาลงมาผมก็จะเห็นได้ทันที” นัทธีกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
วารุณีย่นหน้าผากจนกลายเป็นเส้น ๆ
ในที่สุดเขาก็แค่อยากจะจูบเธอ
วารุณีสั่นศีรษะอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอชี้ไปอีกทางหนึ่ง “แบบนั้นก็ไม่ได้ อย่าอยู่ตรงนี้เลยค่ะ ไปที่ระเบียงเถอะ”
ทางที่เธอชี้ไปคือทางไประเบียงพอดี
แม้ว่าระเบียงจะอยู่ที่ชั้นแรกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเมื่อลงไปชั้นล่างก็ยังไม่เห็นตำแหน่งตรงระเบียง
ดังนั้นถ้าพวกเขาอยู่ตรงระเบียงก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนเห็น
แม้ว่าจะมีคนเดินเตร่อยู่ในห้องนั่งเล่น แล้วพวกเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็ยังพอมีเวลาที่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ดวงตาที่ลึกล้ำของนัทธีเป็นประกายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าที่นี่เธอยังไม่ยอมจูบ ถ้าไปที่ระเบียงแล้วยังไงล่ะ?
จุดประสงค์ของเขาก็คือการได้จูบเธอ ดังนั้นจูบที่ไหนก็ไม่ได้สำคัญ
ที่สำคัญคือเธอยินยอมก็พอแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นัทธีก็ลากวารุณีและเดินไปที่ระเบียงทันที
ทันทีที่ถึงระเบียง วารุณียังไม่ทันได้ยืนดีๆ ผู้เป็นสามีก็กดทับร่างของเธอไว้กับราวระเบียง และก้มลงจูบโดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆ
จูบของเขานั้นรุนแรงและเร่งด่วน นำความตื่นเต้นและความเสน่หากลับมารวมกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปนาน
วารุณีถึงขั้นอยากจะผละออกจากเขา ให้เขาอ่อนละมุนสักหน่อย ทว่าในตอนนี้ความคิดนั้นก็ถูกกำจัดไปเสียแล้ว
เพราะเธอรู้ว่าสามีคิดถึงเธอมากเกิน เขาถึงได้จูบรุนแรงเช่นนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องแข่งขัน เธอจะจูบเขาก่อนแล้ว
ในเวลานั้น แม้ว่าการตอบสนองของเขาจะค่อนข้างรุนแรง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเท่าตอนนี้อย่างแน่นอน
เธอรู้ว่าเขารู้ว่าเธอเป็นคนอ่อนไหวง่าย และการที่เธอเป็นคนเริ่มจูบเขาท่ามกลางสายตาของหลายๆ คนก่อน ก็ถือว่าเธอกล้าหาญเป็นอย่างมากแล้ว
ดังนั้นนัทธีจึงไว้หน้าเธอโดยการข่มอารมณ์ตัวเองและไม่ได้จูบอย่างรุนแรง
ทว่าตอนนี้ไม่มีคนนอก ดังนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องข่มอารมณ์ตนเองอีกต่อไปเป็นธรรมดา เขาเลือกที่จะปลดปล่อยตัวเอง นำจูบที่ไม่ถึงอกถึงใจในห้องแข่งขันกลับมาแก้มืออีกครั้ง และยังจูบหนักกว่าเดิมในตอนนั้น
แม้ว่าวารุณีจะถูกบดขยี้แรงจนหายใจไม่ออก แต่เธอไม่ได้มีทีท่าจะผละออก เพียงแค่ใช้มือลูบที่บั้นเอวของสามีเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนให้เขาอ่อนโยนลงหน่อย
ผู้เป็นสามีตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาอ่อนโยนลงมากจริงๆ
เพราะเขารุนแรงไปแล้ว จึงบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องใช้จูบรุนแรงเช่นนี้กับภรรยาผู้เป็นที่รักตลอดเวลา
เขาได้แสดงออกถึงความคิดของเขาต่อภรรยาด้วยจูบที่รุนแรง
ดังนั้นต่อมาก็อ่อนโยนลงได้แล้ว
จูบของนัทธีเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลและลึกซึ้ง วารุณีก็ยังมีพื้นที่สำหรับหายใจ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะตัวเธอเองขาดอากาศหายใจตาย
ดังนั้น เธอจึงสามารถเอาแขนโอบรอบคอของสามีและโต้ตอบเขาได้
จูบนี้เต็มไปด้วยความเสน่หา ลึกซึ้ง อ่อนโยน และงดงาม งดงามจนกระทั่งทำให้รู้สึกว่าจูบนั้นยังคงอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย
อย่างไรก็ตาม ไม่นานจูบที่ล้ำลึกของนัทธีกับวารุณี ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตะโกนจากห้องนั่งเล่น
“ปะป๊า หม่ามี๊”
เป็นเสียงเรียกของเด็กสองคน
วารุณีรีบตื่นจากความสับสนวุ่นวายใจ จากนั้นจึงผละออกจากนัทธีแล้วเช็ดที่มุมปาก “อารัณกับไอริณลงมาแล้วค่ะ แถมยังเรียกพวกเราด้วย”
ใบหน้าของนัทธีเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม “ผมได้ยินแล้ว”
เด็กสองคนดังขนาดนี้ เขาจะไม่ได้ยินเสียงได้อย่างไร
แต่เด็กสองคนนี้จริงๆ เลย ทำไมไม่อยู่กับสุขใจข้างบน วิ่งลงมารบกวนพ่อแม่ทำไมกัน?
นัทธีขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เขาจูงมือวารุณี “ไปเถอะ เราเข้าไปข้างในกัน”
ขณะที่กล่าว เขาก็จัดผมเผ้าของวารุณีที่ถูกมือใหญ่ของเขาทำยุ่ง
ในตอนที่จูบ เขาจะวางมือข้างหนึ่งไว้หลังศีรษะของเธอ ดังนั้นผมของเธอจึงยุ่งเหยิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วารุณีเองก็กำลังจัดการตัวเอง พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตอบรับ “ไปกันเถอะค่ะ”
คู่สามีภรรยาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น
อารัณกับไอริณที่กำลังมองหาก็พบพวกเขาเข้า ตาของเด็กๆ เป็นประกาย จากนั้นวิ่งไปทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ปะป๊า หม่ามี๊”
เด็กทั้งสองคนกอดต้นขาข้างหนึ่งและเงยหัวน้อย ๆ มองขึ้นไปทางทั้งสองคน
“ปะป๊า หม่ามี๊ เมื่อกี้ไปไหนมา” ไอริณกอดต้นขาของวารุณีถามพลางกะพริบตาปริบๆ “ไอริณกับพี่มองหายังไงก็หาไม่เจอ พอเรียกหาก็เงียบเลย”
อารัณพยักหน้า “จริงด้วย”
วารุณีก้มหน้าลงและลูบหัวเล็กๆ ของลูกสาว “ปะป๊า หม่ามี๊ อยู่ที่ระเบียงจ้ะ”
“ไปทำอะไรที่ระเบียงคะ?” ไอริณเอียงศีรษะด้วยความงงงวย
เธอเห็นริมฝีปากที่แดงก่ำของวารุณี จึงถามด้วยความสงสัย “หม่ามี๊ ปากหม่ามี๊เป็นอะไรคะ ทำไมแดงจัง กินอะไรมาหรือ? ปะป๊าก็ด้วย”
เธอมองที่นัทธีอีกครั้ง “ปากของปะป๊าก็แดงเหมือนของหม่ามี๊เลย ปะป๊าหม่ามี๊คงไม่ได้กำลังกินปากกันอยู่ใช่ไหมคะ?”
ทันทีที่คำเหล่านี้พ่นออกมา ใบหน้าของวารุณีพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
นัทธีเองก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
เห็นได้ชัดว่า ทั้งสามีและภรรยาต่างคิดว่าลูกสาวของพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เมื่อครู่จริง ๆ และยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา