บทที่ 886 วางแผน

บทที่ 886 วางแผน

“ตอนแรกมันเกือบได้เป็นดอกไม้ที่สงวนไว้สำหรับราชวงศ์ญี่ปุ่นด้วยนะ ซึ่งจะหาได้ยากในปุถุชนทั่วไป กระทั่งก่อนการก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐมันก็ถูกนำเข้ามาสู่จีนนี่แหละ”

“พันธุ์หนึ่งได้รับการแนะนำจากเยอรมันเข้าสู่ชิงเต่า ภายหลังเราเรียกมันว่า ‘ชิงเต่าต้าเยี่ย’ อีกพันธุ์นึงอยู่ในช่วงก่อตั้งรัฐหุ่นเชิดแมนจูที่พื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมอบคลีเวียสีชาดให้จักรพรรดิองค์สุดท้ายเพื่อเป็นของขวัญในการเฉลิมฉลองพิธีก่อตั้ง”

“สวรรค์ ดอกไม้ที่องค์จักรพรรดิได้ยลหรือเนี่ย?” ฉีเหลียงอิงตกใจ “ไม่แปลกใจที่มันขายได้ในราคาสูงขนาดนี้!”

เป็นของที่จักรพรรดิใช้ งั้นก็เป็นเครื่องบรรณาการน่ะสิ สมแล้วที่ราคาขนาดนี้ ถึงจะเป็นองค์สุดท้ายแต่ก็ยังเป็นจักรพรรดิอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?

“แต่มันไม่ใช่อาหารหรือเครื่องดื่มนี่นา ท่านก็ไม่ได้ขาดเหลือเงิน แต่เป็นสามัญชนแบบเราต่างหากล่ะ!”

เถาฮวารู้สึกว่าต่อให้มันสูงส่งขนาดนั้นก็ไม่คุ้มค่ากับราคาอยู่ดี

“ช่วงสองปีมานี้ได้ยินว่าที่ชุนเฉิงเขาสนับสนุนให้ปรุงดอกไม้ชนิดนี้ด้วยนะ แล้วเหมือนว่าราคาจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เลย”

อวี่รุ่ยหยวนรู้จักคลีเวียดีก็จริง แต่เธอไม่รู้เรื่องตลาดของมันในตอนนี้สักนิด

เพราะเธอไม่ใช่คนชอบดอกไม้นี่นะ

ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นสิ่งที่เคยเรียนรู้สมัยสาว ๆ เพื่อเอามาวาดภาพนี่แหละ

เมื่อรวมกับที่ย่าบุญธรรมว่าไว้ เสี่ยวเถียนรู้สึกได้ทันทีว่านาทีทองมาถึงแล้ว

น่าลองไปชุนเฉิงดู เผื่อจะมีต้นกล้าดี ๆ ให้ซื้อกลับมาเลี้ยงหรือเปล่า เพราะด้วยความสามารถและทักษะที่มี เธอไม่ห่วงหรอกว่าจะเลี้ยงมันไม่ได้ ถ้าทำได้สักสองสามกระถาง ก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว

หลังจากทุกคนคร่ำครวญเรื่องราคาอยู่พักหนึ่ง ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเป็นอย่างอื่น

เราคุยกันสนุกสนานมากโดยที่ไม่รู้เลยว่าเสี่ยวเถียนคิดหาทางไปเอาต้นกล้าคลีเวียที่ชุนเฉิงแล้ว

เด็กสาวเลิกวาดรูปทันที

ถ้าตำนานเรื่องนั้นในยุคหลัง ๆ เป็นจริงอย่างที่ว่า เราก็ปลูกคลีเวียยี่สิบสามสิบต้นไปเลย มันหาเงินได้ไวกว่าเปิดโรงงานอีกไม่ใช่หรือ?

เสี่ยวเถียนไม่ใช่คนขยันขนาดนั้น ต่อให้มีโรงงานและกิจการต่าง ๆ แต่มันก็ทำเพื่อให้คนที่บ้านสุขสบายเท่านั้น

เธอสนใจพวกอุตสาหกรรมที่ทำเงินได้ไว ๆ

หลังจากส่งเถาฮวากลับบ้าน เสี่ยวเถียนนอนคิดหาวันที่จะไปชุนเฉิงตามลำพัง

ตอนนี้ตารางเธอแน่นมาก ไม่มีเวลาพักผ่อนเท่าไรเลย

โชคดีที่ชุนเฉิงอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าไร เดินทางไปคืนกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว ไม่เสียเวลามากด้วย

สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าจะไปวันที่ 6 ไปดูตลาดที่นั่นสักสามวันแล้วค่อยกลับ แต่ปัญหาคือจะโน้มน้าวใจที่บ้านยังไงเนี่ยสิ

เสี่ยวเถียนคิดอย่างหนัก แต่ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมได้เลย แต่ว่าตอนนี้นอนก่อนก็แล้วกันพรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่

ให้แย่ที่สุดก็พาพี่ ๆ ไปด้วย

ทีแรกคนบ้านซูคิดว่านอกจากเถาฮวา คงไม่มีญาติที่ไหนมาอวยพรปีใหม่อีกแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าต่งหยวนจงกับภรรยาจะมาหาในเช้าวันรุ่งขึ้น

พวกเขาไม่ได้มากันสองคน แต่ยังพาอีกสี่คนมาพร้อมกันด้วย

เสี่ยวปาเปิดประตูต้อนรับก็ตกใจ ทำไมมีคนมาเยอะแยะเลยล่ะ?

“เสี่ยวปา จำปู่รองไม่ได้แล้วหรือ?” ต่งหยวนจงเอ่ยด้วยรอยยิ้มใจดี

ถ้าไม่มีหลานชายทางสายเลือด งั้นก็ถือเสียว่าหลานชายพี่ใหญ่เป็นหลานแท้ ๆ แล้วกัน!

ทุกคนในบ้านพากันออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงชายผู้นี้ ก่อนจะพบว่ามีคนมากันเต็มเลย น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับต่งหยวนจงด้วย

คนในบ้านไม่มีใครรู้จักยกเว้นเสี่ยวเถียน

ตอนเห็นหน้าเธอยังตกใจเลย ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนมาหาที่บ้านด้วย และไม่มีทางที่คนใหญ่คนโตจะมากับปู่รองโดยไม่มีเหตุผลใช่ไหมล่ะ อีกอย่างนะ ทำไมพวกเขาถึงแวะมาหาที่บ้านได้เนี่ย พวกเขาไม่น่ามาเที่ยวเล่นบ้านเราได้หรือเปล่า

นี่กลับถ่อมาถึงครอบครัวต่ำต้อยแบบเราเลยเรอะ

“ไม่ทักกันหน่อยหรือเสี่ยวเถียน หรือไม่ได้เจอกันนานเลยไม่รู้จักกันแล้ว?” ต่งหยวนจงเอ่ยอย่างร่าเริง

“สวัสดีค่ะคุณปู่คุณย่ารอง แล้วก็สวัสดีคุณปู่คุณย่าอู๋กับคุณปู่คุณย่าฉางด้วยนะคะ”

ถึงจะแปลกใจที่อีกฝ่ายมาเยี่ยมถึงบ้าน แต่เสี่ยวเถียนยังคงยิ้มต้อนรับและเข้าไปทักทายพวกท่าน

ต่งหยวนจงพาคู่สามีภรรยามาอีกสองคู่

คู่แรกคือรัฐมนตรีอู๋จากกระทรวงเกษตรกับหยางลี่หมิง

อีกคู่หนึ่งเป็นคู่รัฐมนตรีฉางจากกระทรวงพาณิชย์

แน่นอนว่าเป็นคนที่เสี่ยวเถียนรู้จักทั้งนั้น

รัฐมนตรีเฉียนมีเสี่ยวเถียนเป็นผู้มีพระคุณ หลังจากนั้นสองสามีภรรยาคู่นี้ก็เอ็นดูเสี่ยวเถียนมาก และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรานั้นดีมาก

ส่วนรัฐมนตรีฉางเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ หลังจากที่รัฐมนตรีเฉียนถูกย้ายไป เขามีความสัมพันธ์อันดีกับต่งหยวนจง จากนั้นก็ได้พบกับเสี่ยวเถียนที่โรงงานผ้าไหมและโรงงานไฟฟ้า ตอนนั้นเขาชอบเด็กสาวคนนี้มากเลย

ได้ยินว่าหลังจากเจ้าตัวโดนทางมหาวิทยาลัยกีดกันไม่ให้เข้าร่วมพิธีสวนสนาม เราจึงได้เชิญเธอมาร่วมขบวนแห่ของกระทรวงพาณิชย์แทน แม้เสี่ยวเถียนจะไม่ได้เลือกขบวนเรา แต่พวกเราก็ยังสนิทสนมกันดี

คุณปู่ซูสบายใจขึ้นเยอะเมื่อเป็นคนที่หลานสาวรู้จัก

ต่งหยวนจงมองเห็นความอึดอัดของคนในบ้าน จึงรู้ว่าพวกเขาไม่ค่อยรู้สึกเป็นอิสระเมื่อได้พบกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้

“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ วันนี้พวกเราว่างก็เลยรวมกลุ่มกันมาหาที่บ้านน่ะ คงไม่ได้รังเกียจกันใช่ไหม?” ต่งหยวนจงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

แม้จะว่าแบบนั้นแต่เขาใช้แววตาพร่ำบนไปยังสายตาไร้อารมณ์ของคนข้างหลังทั้งสอง เขามาหาพี่ใหญ่ในฐานะแขก แต่สองคนนี้ยืนกรานจะมาด้วยให้ได้ ไม่ถงไม่ถามสักคำ ส่วนรัฐมนตรีอู๋กับรัฐมนตรีฉางตีมึนใส่ ท่าทางดูมีความสุขมาก

“พวกเราขอเข้าไปนั่งนะพี่ใหญ่”

ต่งหยวนจงร้องเหอะ

นั่งงั้นหรือ ไม่ใช่เพราะฝีมือการทำอาหารบ้านนี้อร่อยหรือไงเลยมาน่ะ

ตัวโตขนาดนี้ยังห่วงกินอีก ไม่อายบ้างหรือไง?

คุณปู่ซูไม่รู้เรื่องความขัดแย้งของกลุ่มคนตรงหน้า จึงรีบยกยิ้มว่องไว “เป็นเกียรติของครอบครัวเราจริง ๆ ที่พวกคุณมาเป็นแขกนะ คงไม่สายที่จะต้อนรับทุกท่านใช่ไหม”

ถึงจะไม่รู้จักใครแต่เดาได้ว่าคนที่มาด้วยกันกับต่งหยวนจงต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ แล้วก็ต้องมียศใหญ่ด้วย

หากเป็นเมื่อก่อนคนที่มาบ้านเขาใหญ่สุดก็แค่หัวหน้ากองการผลิตเท่านั้นละ แต่คนระดับนี้ไม่นึกไม่ฝันด้วยซ้ำ

มีใครที่ไหนเคยเห็นองค์ชายของราชวงศ์วิ่งเล่นกับเด็กเลี้ยงวัวบ้างล่ะ?

เพื่อนเล่นที่ระดับน้อยกว่าอย่างน้อยก็ต้องท่านอ๋องอะไรแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?

สิ่งที่ชายชราคิดไม่ผิดหรอกนะ

ผู้คนก็เป็นแบบนี้ละ ไม่ได้อยู่ในวงโคจรเดียวกันอยู่ร่วมกันไม่ได้หรอก

คุณปู่กำลังนึกถึงสถานะที่ไม่ธรรมดาของผู้นำที่เข้าถึงง่ายดายทั้งสองคน แต่ไม่ได้คิดเลยว่าหากพวกเขาได้ไปอำเภอซางอวี๋ คณะกรรมการที่นั่นคงจะตื่นเต้นทันที