บทที่ 891 ความรู้สึกที่แสนเรียบง่าย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 891 ความรู้สึกที่แสนเรียบง่าย

บทที่ 891 ความรู้สึกที่แสนเรียบง่าย

เสี่ยวเถียนหัวเราะเบา ๆ เมินเฉยสายตาพร่ำบ่นของผู้เป็นย่า

“หยุดตามใจเด็กคนนี้เถอะ แต่ว่าทำไมถึงขาดล่ามล่ะ?” คุณย่าซูถามฟ่านชูฟาง

สิ่งที่แกไม่รู้คืออีกฝ่ายทำงานในกระทรวงต่างประเทศ แน่นอนว่าการตามหานักแปลไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเอ็นดูหลานคนนี้ เธอก็คงไม่ตอบรับคำขอหรอกนะ

“ถึงเราจะมีล่ามเยอะแต่การทำงานในบางครั้งมันลำบากจริง ๆ ค่ะ” ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ

คุณย่าซูไม่เข้าใจว่าทำไม

ฟ่านชูฟางเอ่ยต่อ “พี่อาจจะไม่รู้ แต่หนุ่มสาวเดี๋ยวนี้พอเห็นชาวต่างชาติทีก็ทำระริกระรี้ขึ้นมา”

หลายปีที่ผ่านมา ประเทศของเราให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการปฏิบัติต่อชาวต่างชาติด้วยความเคารพ หนุ่มสาวบางคนที่มีความรู้ด้านการแปลภาษาเพียงนิด กลับคิดแต่จะประจบต่างชาติจนลืมไปว่าตัวเองเป็นคนจีน

ฟ่านชูฟางให้ความเคารพต่อพวกเขานะ แต่ไม่ยอมรับหรอก

แถมความสามารถเทียบเสี่ยวเถียนไม่ได้เลย เห็นต่างชาติเข้าหน่อยก็ไร้ความเที่ยงธรรมลืมหน้าที่ไปหมด น่าอายจะตายถ้าพาคนพวกนั้นไปด้วย

รัฐมนตรีฉางประทับใจมาก

“เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเจอล่ามคนนึงด้วยนะ พอเจอชาวต่างชาติเข้าหน่อยก็เอาแต่ประจบประแจง แทบจะกราบไหว้บูชาแล้ว”

“เห็นคนของเราทำตัวอวดดีขนาดนั้น ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนคงหาว่าเป็นพวกกบฏแน่!”

ทั้งประโยคเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ

ด้วยงานของเขาเลยต้องมีปฏิสัมพันธ์กับชาวต่างชาติบ่อย ๆ การได้เจอเหตุการณ์พวกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก

โดยเฉพาะในช่วงสองปีมานี้ มันเริ่มหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนี้นักแปลในประเทศเรามีน้อยมาก เลยทำได้แค่จำทนเท่านั้น ได้แต่หวังว่าสองสามปีข้างหน้า สถานการณ์จะดีขึ้น และไม่เลวร้ายเช่นนี้

“เสี่ยวเถียนของฉันไม่ใช่แบบนั้นเลย” ต่งหยวนจงเอ่ยชมหลานสาว

จากนั้นก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ “โส่วเวินเก่งเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็รู้ว่าควรทำอะไร”

ที่จริงความสามารถด้านภาษาของโส่วเวินดีมากจริง ๆ นะ เขาหัวไวด้านนี้มากเลย

ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เชี่ยวชาญทั้งสองภาษาแล้ว คงเพราะมีเสี่ยวเถียนที่โดดเด่นรอบด้านอยู่ด้วย ตนจึงถูกเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง แต่ถ้ามองจากภายนอก จะพบว่าเขาเองก็เก่งทุกด้านเหมือนกัน

ตอนนี้เขาเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่ยังไม่จบด้วยซ้ำ แต่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้ากระทรวงการต่างประเทศแล้ว อ้อใช่ หลังปีใหม่นี้จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่เป็นล่ามคนสำคัญด้วย

นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้เลยนะ

พวกหลี่เจี้ยนหงตื่นตกใจกันมาก

สำหรับเด็กสาวกลุ่มนี้ที่เติบโตมาในพื้นที่ชนบทและถูกจำกัดให้เรียนสูงถึงแค่ชั้นมัธยม มันเหมือนกับเป็นประตูเปิดไปสู่โลกใบใหม่เลย

เราคิดว่าภาษาต่างประเทศไม่ได้สำคัญอะไรนัก เพราะยังไงเราก็เรียนภาษาจีนอยู่แล้ว และวิชาของเอกนี้ไม่มีภาษาต่างประเทศเลย แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่ามันมีความสำคัญยังไง

บางทีถ้าพวกเราพยายามสักหน่อยก็คงจะดี

สามสาวมองหน้ากัน รับรู้ได้ถึงสิ่งที่คิดอยู่ ไว้กลับไปเริ่มเรียนสักหน่อยดีกว่า ถึงจะไม่สามารถเป็นนักแปลมืออาชีพ แต่มีความสามารถติดตัวไว้ก็ยังดี

ส่วนคนสอนหาง่ายจะตาย เรามีเสี่ยวเถียนอยู่ไม่ใช่หรือไง?

หัวข้อบทสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นกันแล้ว

ตอนนี้เป็นเรื่องวิธีการทำให้ผู้คนมุ่งไปสู่ความร่ำรวย บ้างก็ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อสร้างมูลค่า อะไรทำนองนี้

รัฐมนตรีรู้สึกว่าโรงงานแปรรูปอาหารของเสี่ยวเถียนน่าสนใจ

“เสี่ยวเถียน เธอเคยจะสร้างโรงงานแปรรูปอาหารที่ซางอวี๋ไหม?” ไม่รู้ว่านึกยังไงถึงถามออกไป

เสี่ยวเถียนเคยคิดอยู่นะ เพราะยังไงปู่ย่าก็ต้องกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่นแน่นอน แถมยังคิดด้วยว่าในฐานะประชาชนของซางอวี๋ เธอควรมีส่วนช่วยในการพัฒนาบ้านเกิดด้วยหรือเปล่า แต่ตอนนี้เธอยังเรียนอยู่ สิ่งที่ทำได้เลยค่อนข้างจำกัด

สุดท้ายเลยเอาเรื่องเรียนมาก่อน

สำหรับเธอแล้วการเรียนจบหรือเรียนระดับบัณฑิตศึกษาเป็นเรื่องจำเป็น

“ว่ากันตรง ๆ นะ ไม่ใช่ว่าตาแก่อย่างฉันไม่คิดจะทำอะไรเพื่อบ้านเกิดหรอก”

คุณปู่เป็นคนเอ่ย

แกดูจริงจังมาก

“พวกเราเดินทางลงจากเขาเพื่อมาอยู่ในเมืองหลวงจนชีวิตดีขึ้น แม้ว่าหลายปีมานั้นชีวิตผู้คนที่นั่นจะดีขึ้น มีข้าวให้กินอิ่ม แต่พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยขึ้นเลย”

รัฐมนตรีฉางค่อนข้างประหลาดใจ ชายชราผู้นี้คิดไปไกลจริง ๆ

ไม่แปลกใจที่ต่งหยวนจงพูดเสมอเลยว่า พี่ใหญ่เป็นคนที่มีความชอบธรรมมาก แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ แต่ก็มากพอจะอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นได้

“ลำบากพี่ใหญ่แล้วครับที่ต้องคิดมากแบบนี้” รัฐมนตรีฉางเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ “มีคนมากมายที่ได้ออกมาใช้ชีวิตที่อื่นจนกระทั่งชีวิตดีขึ้น แต่ไม่มีใครเคยคิดจะย้อนกลับไปนึกถึงบ้านเกิดเลย”

คนในบ้านยังตกใจกับความคิดชายชราเช่นกัน ชั่วครู่หนึ่งที่ทุกคนรู้สึกว่าตนล้มเหลวในการเป็นมนุษย์ ทั้งยังไม่มีความคิดจะช่วยเหลืออะไร สู้คุณปู่ซูไม่ได้จริง ๆ

“แต่ฉันก็ไม่สามารถชักชวนทุกคนในหมู่บ้านให้ออกมาหางานได้หรอก ขนาดคนในเมืองยังไม่มีงานทำกันเลย ชาวนาแบบเราโชคดีมีที่ให้ทำมาหากิน จะเข้าไปแย่งข้าวคนในเมืองกินก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”

ประโยคถัดมา ทำรัฐมนตรีฉางไม่รู้จะตอบอะไรดี

นี่คือความคิดอันเรียบง่ายของชาวนา

เราจะแย่งงานคนในเมืองไม่ได้

“พี่ใหญ่ เรื่องแย่งงานคนในเมืองมันไม่จริงหรอกนะ แล้วงานพวกนั้นก็ไม่ใช่ของคนในเมืองด้วย” รัฐมนตรีอู๋ว่า

“จริงหรือ?”

“จริงครับ พี่ลองดูสิ มันก็เหมือนกับตอนนี้ที่พี่เปิดร้านอาหารไง ถ้าไปเปิดโรงงานอีกสักแห่งมันก็คือการทำให้พวกเขาได้มีงานการทำมากขึ้นไม่ใช่หรือ?”

ร้านอาหารและโรงงานที่บ้านซูเปิดสามารถแก้ปัญหาการว่างงานได้จริง ๆ ซึ่งมันก็คุ้มที่จะสนับสนุน

“เกษตรกรที่แท้จริงเองก็ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญในการทำฟาร์มเสมอครับ ขอแค่มีใจรักผืนดินพวกเขาก็ถือเป็นเกษตรกรแล้วละ”

รัฐมนตรีอู๋เป็นปราชญ์เกษตร เขาหวังว่าเกษตรกรทุกคนจะหยั่งรากลงไปในผืนดินได้เพื่อที่ประเทศของเราจะได้มีอาหารมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าการพัฒนาของยุคสมัยทำให้บ้านเมืองมีการขยับขยายขึ้น นี่คือการหมุนของกงล้อประวัติศาสตร์ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงกันได้

ในอนาคตข้างหน้า คนชนบทจะเข้าเมืองเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชาติบ้านเมือง

จะมีเครื่องจักรมหาศาลส่งไปยังพื้นที่ชนบทเพื่อช่วยเหลือในการผลิต

พอถึงตอนนั้น ชนบทจะขยายตัวกลายเป็นเมือง สิ่งนี้จะพิสูจน์ว่าประเทศของเราได้เจริญรุ่งเรืองแล้ว