บทที่ 892 แรงสนับสนุนไม่อาจสู้ลงแรงทำด้วยตัวเอง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 892 แรงสนับสนุนไม่อาจสู้ลงแรงทำด้วยตัวเอง

คุณปู่ซูมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว

ในฐานะหลานสาว เสี่ยวเถียนเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร ปู่อยากลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อคนที่บ้านเกิด แต่ถึงสถานการณ์บ้านเราในตอนนี้จะดีขึ้น แต่มันก็จำกัดแค่ในครอบครัวเราเท่านั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เราจะดึงคนในหมู่บ้าน และคนในซางอวี๋ขึ้นมาด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็มีแค่หาวิธีอื่นแล้วละ

เสี่ยวเถียนรีบตัดสินใจ

หลังจากพูดคุยกันเสร็จ กลุ่มของต่งหยวนจงทยอยกันกลับบ้าน ก่อนออกเดินทาง ย่ารองบอกว่าจะมารับเธอช่วงบ่ายของวันที่หก

เสี่ยวเถียนตั้งใจว่าไปถึงที่นั่นเมื่อไรจะต้องหาต้นกล้าเหมาะ ๆ กลับมาให้ได้ ทีแรกตั้งใจจะซื้อแค่สองสามกระถางเพื่อหาเงินนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น เพราะดูเหมือนนี่จะเป็นวิธีเดียวที่เธอทำได้ ส่วนตอนนี้ตั้งใจจะซื้อมาสักสิบกระถางก็พอ

ไว้คลีเวียทำเงินได้เมื่อไร เธอจะเอาเงินตรงนี้ไปเป็นเงินทุนในเขตซางอวี๋ให้หมด โดยเฉพาะหมู่บ้านหนานหลิ่ง

เงินนี้ใช้เป็นทุนเริ่มต้นเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของหมู่บ้านเราจากภายนอกก่อน แล้วค่อย ๆ ช่วยให้ผู้คนในหมู่บ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น

และอย่างที่คาดเดาไว้ คุณปู่อยากบริจาคเงินให้บ้านเกิดจริง ๆ

เย็นวันนั้นเรานัดกันประชุม

วันนี้สองสามีภรรยาซูเหล่าต้า และครอบครัวโส่วเวินไม่ได้อยู่ด้วย แต่ทุกคนพร้อมหน้าแล้ว ชายชราก็เอ่ยความคิดออกมา หัวข้อการประชุมมีความชัดเจนมาก เป็นการชักชวนลูกหลานว่าอยากกลับไปพัฒนาบ้านเกิดในภายภาคหน้าบ้างไหม ถ้าจะไป เราควรไปตอนไหนถึงจะดีที่สุด?

เนื่องด้วยเป็นปัญหาที่ค่อนข้างลงลึก ไม่มีความเห็นที่เป็นเอกฉันท์แต่อย่างใด

แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันคือเราจะต้องไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อบ้านเกิดของตัวเองด้วย

“คุณปู่คุณย่า ตอนนี้เรามีเงินอยู่ก็จริงแต่ถ้าลงทุนน้อยมันจะไม่เกิดผลมากนะคะ” เสี่ยวเถียนเสนอความเห็น

“โรงงานของเราเพิ่งจะเปิดสินะ เงินทุนที่หมุนเวียนในตอนนี้ก็มีจำกัดด้วย” เฉินจื่ออันเห็นด้วยกับหลานสาว

“ผมมีเงินอยู่นะครับ แต่มันคงไม่มากพอขนาดนั้น!” เสี่ยวซื่อแบ่งเงินออกมาช่วยเหลือได้ แต่จำนวนของมันก็แค่เศษเสี้ยวจากทั้งหมดเท่านั้น

ความปรารถนาของคุณปู่คือการให้ชาวบ้านทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะใช้เงินจำนวนเล็กน้อยแก้ไขได้หรอกนะ

“ที่จริงฉันคิดว่าบ้านเกิดเรามีจุดให้พัฒนาต่อได้อยู่นะคะ” จู่ ๆ ฉีเหลียงอิงก็เอ่ยในสิ่งที่แตกต่างออกมา

“เธอคิดเห็นยังไงหรือ?” ชายชราไม่คาดคิดเลยสะใภ้รองจะเป็นผู้สนับสนุน ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวมีส่วนร่วมน้อยที่สุดมาเสมอ

“ก่อนหน้านี้กองชุมชนเรายังมีฟาร์มเพาะพันธุ์อยู่ ถ้าตอนนั้นจัดการกันดีชีวิตชาวบ้านอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ค่ะ” เธอเองก็ไม่สบายใจที่มันถูกทิ้งร้างเหมือนกัน

“แต่ตอนนั้นมันก็เริ่มขายไข่ไก่ขายอะไรได้ยากแล้วนี่ โรงงานขนมไข่ในอำเภอเองก็เกือบจะล้มละลายแล้วเหมือนกัน” แต่คุณย่าคิดว่าเจ้าตัวคิดง่ายเกินไป

“แม่คะ ฉันได้ยินคนพูดว่าโรงงานเค้กไข่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป และคงจะล้มละลายในไม่ช้านี้”

สะใภ้รองเต็มไปด้วยความรู้หลากหลายเมื่อพูดถึงโรงงานแห่งนี้ ถ้าตอนลาออกมาได้ยินข่าวว่าโรงงานกำลังจะล้มละลายเธอคงจะมีความสุขจนตัวลอย แต่ตอนนี้พอนึกว่าคนอีกมากมายจะต้องตกงานเพราะปัญหานั้น และส่งผลต่อการดำรงชีวิตก็เริ่มรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา

“แม่รองหมายถึงว่าถ้าเราฟื้นฟูโรงงานขึ้นมาใหม่ได้ อุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์ก็สามารถพัฒนาได้เช่นกันหรือคะ?” เสี่ยวเถียนถาม

แต่เธอส่ายหัว

“ทั้งฟาร์มทั้งโรงงานต่างก็ปิดตัวไปหมดแล้ว จริง ๆ ไม่ใช่เพราะจำนวนไข่ไก่ที่เยอะเกินไป จำนวนเนื้อที่มากเกินไป หรือคนไม่ชอบกินขนมไข่แล้วหรอกนะ แต่เป็นเพราะมีการจัดการไม่ดีต่างหาก”

เธอรู้สึกว่าร้านค้าที่เปิดนั้นขายดีมาก

หลังจากฝึกฝนมานาน ตอนนี้ฉีเหลียงอิงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ฉีเหลียงอิงยิ้ม “ฉันไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่รู้สถานการณ์โดยรอบด้วย แค่คิดว่าถ้าอยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องพยายามด้วยตัวเอง”

“บ้านเราให้ความช่วยเหลือได้นะ แต่ถ้าต้องทำให้ทุกอย่างสุดท้ายเราก็ต้องมานั่งลำบากเองคนเดียว”

เสี่ยวเถียนไม่นึกไม่ฝันว่าแม่รองจะพูดจาเฉียบแหลมขนาดนี้ได้

ชาติที่แล้วเธอเคยเห็นตัวอย่างแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเราทำให้หมดเลยสิ่งที่จะได้รับกลับมาไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณหรอกนะ แต่เป็นความไม่พอใจต่างหาก

มนุษย์ต้องพยายามด้วยความเองถึงจะมีชีวิตที่ดี และพวกเขาจะรู้สึกทะนุถนอมกับสิ่งที่ได้รับมาเป็นอย่างมาก

และการได้ทุกอย่างมาโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ถูกต้อง

“แม่รองพูดถูกค่ะ เราไม่สามารถช่วยทุกคนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ต้องชี้แนะต่างหากเพื่อให้พวกเขาได้พยายามด้วยตัวเอง”

“แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ เราไม่สามารถสอนทุกคนให้เปิดร้านอาหารได้หรอกนะ!” คุณปู่ซูว่าพลางส่ายหัว

คนในหมู่บ้านมีชีวิตที่ยากลำบากเนื่องจากไม่มีทักษะหรือความรู้

“ไม่เป็นไรค่ะ ต่อให้ไม่มีความสามารถอะไรก็ไม่สำคัญ แค่หาวิธีให้ได้เรียนรู้ก็พอแล้ว”

“งั้นก็ต้องจ้างครูมาสอน” คุณย่าซูยิ้มอ่อนโยน

“แล้วถ้าทุกคนไม่อยากเรียนล่ะ? เราบังคับกันไม่ได้ใช่ไหม?” ซูเหล่าเอ้อร์ลังเลนิดหน่อย

แล้วถ้าพวกเขาดันสงสัยว่าเรามีเจตนาไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง?

“ไม่เป็นปัญหาค่ะ เราหาวิธีได้ แต่ว่าตอนนี้บ้านเราอยู่ที่อื่นกันหมดเลย ต้องหาคนมาช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้”

เสี่ยวเถียนเสียใจ

ไม่ว่าจะลงมือทำอะไร หากไม่มีคนจัดการก็ไม่เกิดผล มันไม่เหมือนกันจ้างคนน่าเชื่อถือมาดูแลโรงงานหรอกนะ

เรื่องในหมู่บ้านต้องให้คนในหมู่บ้านรับผิดชอบเท่านั้น จึงจะดำเนินการต่อได้

“ถ้าเรื่องนี้ง่ายมาก ไว้พ่อกลับบ้านจะไปบอกเลขาหมู่บ้านให้นะ มันจะได้ผลแน่นอน”

เหล่าเอ้อร์เอ่ยตรง ๆ

ตอนนี้ซูฉางจิ่วเป็นเลขาของหมู่บ้านหนานหลิ่ง ถ้าจะเลือกคนมาจัดการเขาคิดว่าต้องคนคนนี้เท่านั้น

คุณปู่ซูหมุนเคราแล้วพยักหน้า “เห็นด้วย ในเมื่อมันเป็นเรื่องในหมู่บ้านเราไปหาฉางจิ่วแล้วกัน”

“เราจะเริ่มจากลุงฉางจิ่วที่หมู่บ้านหนานหลิ่งก่อนค่ะ จากนั้นค่อยขยายไปยังหมู่บ้านรอบด้าน” เสี่ยวเถียนยิ้ม

“แม่มีอีกเรื่อง ให้ผู้หญิงในหมู่บ้านทำงานเย็บปักถักร้อยอย่างผ้าคาดผ้า เครื่องประดับติดผม ของกระจุกกระจิกแบบที่เจี้ยนหงทำก็ได้นะ”

เหลียงซิ่วเสนอสิ่งที่คิดว่าเป็นไปได้

ถึงจะไม่ได้เงินมากมายแต่ก็ยังดีกว่าผัดไปเรื่อยเพื่อรอมีการมีงานทำ คนที่มาหมู่บ้านเราก็จะได้รับความสุขกลับไปด้วย

“ความคิดดีเลยค่ะแม่”

“หลานว่าจะมีคนอยากใช้ผ้าคาดผมกันขนาดนั้นเลยหรือ?” คุณย่าซูเป็นกังวล

แกไม่คิดว่าสิ่งที่เพื่อนหลานทำมันมากมายอะไรหรอก แต่ถ้าให้คนในหมู่บ้านเราทำแล้วเกิดขายไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง?

จะไม่ขาดทุนใช่ไหม?

อย่าให้ขาดทุนจนต้องไปให้ความช่วยเหลือล่ะ