ได้ยินคุณพ่อประสิทธิ์พูดเช่นนี้แล้ว คุณแม่ปารวีก็โมโหมาก “ทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้!”
สองสามีภรรยาโมโหไม่ไหว หายใจอย่างรุนแรง
และปาจรีย์ที่อยู่ข้างๆ ก็ยังคงก้มหน้าอยู่ มองสีหน้าอารมณ์ไม่ออก
เธอรู้ว่าคำพูดของพงศกรในเมื่อกี้ ทำให้พ่อแม่โมโหมาก
ความจริงแล้ว ในตอนที่เธอได้ยิน การตอบสนองแรกของเธอก็คือความโกรธและตกใจ
สิ่งที่ตกใจคือ เขากลับอยากให้เธอรื้อฟื้นความทรงจำ สิ่งที่โกรธคือ เธอรู้สึกว่าเขาให้เธอรื้อฟื้นความทรงจำ คงจะเป็นเหมือนการคาดเดาของคุณพ่อ อยากจะให้เธอนึกถึงเรื่องพวกนั้นในอดีต แล้วจมปลักอยู่ในความเจ็บปวดของความรู้สึกที่มีต่อเขา
และแล้วหลังจากที่เธอเงียบสงบลงแล้ว ก็นึกถึงนัยน์ตาและสีหน้าของเขาที่ถามเธอในตอนนั้น ราวกับว่าไม่ได้เหมือนกับที่ตัวเองและคุณพ่อพูด
ในตอนที่เขาถามเธอ สีหน้าสงบ นัยน์ตาก็สงบ ไม่ได้มีความวุ่นวายและความหวังร้ายใดๆ แฝงอยู่ข้างใน
ดังนั้น เขาอยากจะให้เธอรื้อฟื้นความทรงจำ ไม่ใช่เพราะอยากจะให้เธอนึกถึงความเจ็บปวดพวกนั้นในอดีต เหมือนว่าจะมีเป้าหมายอื่น
ขณะที่คิดอยู่ ปาจรีย์ก็รู้สึกว่าไหล่ของตนเองถูกคนข้างๆ ผลักไปที
เธอเก็บความคิดแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปทางคนที่ผลักตนเอง คือคุณแม่ปารวี
นัยน์ตาของคุณแม่ปารวีนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ปาจรีย์ เป็นอะไรเหรอ? กำลังคิดอะไรอยู่?”
ปาจรีย์อ้าปาก กำลังคิดอยากจะตอบ ขณะนี้คุณพ่อประสิทธิ์ก็เอ่ยปากตอบก่อนแล้ว “ยังจะเป็นอะไรได้อีก เรื่องที่ไอ่หนุ่มนั้นพูดกับปาจรีย์เมื่อกี้ไงล่ะ”
พูดถึงตรงนี้ คุณพ่อประสิทธิ์มองปาจรีย์ สีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ “ปาจรีย์ หนูฟังนะ หนูห้ามมีความคิดที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะพูดโน้มน้าวหนูยังไง หลอกลวงหนูยังไง หนูก็ห้ามตอบตกลงรู้ไหม? ขอแค่หนูรื้อฟื้นความทรงจำ หนูก็จะกลายเป็นเหมือนอดีต พวกเราที่เป็นพ่อแม่เห็นแล้วก็เจ็บปวดหัวใจเช่นกัน”
ปาจรีย์มองดูท่าทางของพ่อแม่ที่ตกใจ ก็ฝืนยิ้มออก “หนูรู้ค่ะ วางใจเถอะค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูไม่ได้มีความหมายที่จะไปรื้อฟื้นความทรงจำ หนูในอดีต หนูไม่รู้แล้วว่าเป็นแบบไหน ดังนั้นหากหนูรื้อฟื้นความทรงจำ หนูถึงขั้นอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หนูในตอนนี้ ดีมากๆ ค่ะ”
ได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีจึงจะวางใจอย่างโล่งอกไปที
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี” สองสามีภรรยาพูด
ปาจรีย์จูงมือของพวกเขา ใช้การกระทำของตนเองมายืนยันว่า คำพูดที่ตนเองพูดเมื่อกี้เป็นความจริง
เหมือนกับที่คิดไว้เลย หลังจากที่สองสามีภรรยารับรู้ถึงการกระทำของเธอแล้ว อารมณ์ก็ดูผ่อนคลายลงยิ่งขึ้น
ในไม่ช้า ลิฟต์ก็ถึงแล้ว
ครอบครัวทั้งสามคนเดินออกไป ขึ้นรถแล้วจากไป
บนระเบียงดาดฟ้าชั้นหนึ่งของอาคารผู้ป่วยในที่อยู่ด้านข้าง พงศกรสวมชุดผู้ป่วยยืนอยู่ข้างหลังรั้วระเบียง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนรั้วระเบียง มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่ในกระเป๋า มองดูรถคันนั้นไกลออกไป
หลังจากที่มองไม่เห็นรถแล้ว จึงจะหันหลังเดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วย เดินไปด้วย พลางหยิบโทรศัพท์ออกมา กดโทรออกไปด้วย
โทรศัพท์นั้นโทรหาวารุณี
ทางวารุณีในตอนนี้คือกลางคืน สองสามคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะอาหารทานอาหารกันอยู่
จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น วารุณียื่นมือไปเอา แต่โทรศัพท์กลับถูกมือที่เรียวยาวและกว้างใหญ่ข้างหนึ่งหยิบไปก่อน
คือนัทธี
โทรศัพท์ของวารุณีวางอยู่ข้างๆ นัทธีจากที่ไม่ไกล ดังนั้นนัทธีเห็นการแจ้งเตือนก่อนเธออีก
หลังจากที่เห็นหน้าจอขึ้นว่าพงศกร เขาหรี่ตาลง หยิบโทรศัพท์ของวารุณีไปก่อนเธอขั้นหนึ่ง
วารุณีเห็นเขาหยิบโทรศัพท์ของตนเองไป ก็ไม่ได้ไปแย่ง ปล่อยเขาไป
อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ทำเรื่องผิด ไม่กลัวว่าผีจะมาเคาะประตู
ในมือถือของเธอสะอาดบริสุทธิ์ ไม่กลัวว่าเขารับสายและจะเกิดปัญหาอะไร
“พอแล้ว ไม่ต้องเล่นแล้ว รีบทานข้าวนะ” พอคิดเช่นนี้แล้ว วารุณรีบมองไปทางเด็กทั้งสอที่ไม่ทานอาหารดีๆ แล้วงอแงวุ่นวายขึ้นมา จากนั้นก็พูดบ่น
เด็กทั้งสองถูกเธอพูดเช่นนี้แล้ว ก็รีบหยุดลง นั่งดีๆ หยิบช้อนขึ้นมาทานข้าว
ส่วนสุขใจที่อยู่ในเตียงทารกข้างๆ ได้แต่นอนอยู่ กะพริบตามองทุกคนกิน
ยังดีที่ลีน่าชอบสุขใจมากๆ ถือถ้วยแล้วล้อมอยู่ข้างเตียงทารก ไปอยู่กับสุขใจเป็นเพื่อนพี่นันทาแล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นห่วงว่าสุขใจจะโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว
นัทธีใช้นิ้วโป้งกดปุ่มสีเขียวแล้วรับฟัง นำโทรศัพท์ของวารุณีวางอยู่ข้างหู เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “นายมีเรื่องอะไร?”
ทางโทรศัพท์อีกฝั่งหนึ่ง ได้ยินว่าไม่ใช่เสียงวารุณี แต่เป็นเสียงของนัทธี หลังจากที่พงศกรเงียบไปสองวินาที จึงจะพูดออกเสียง “ฉันหาวารุณี ศรีสุขคํา”
อยู่นอกเหนือความคิด เขาไม่ได้เรียกชื่อเล่นของวารุณีเหมือนที่ผ่านมา แต่ว่าเรียกชื่อเต็ม
นี่ทำให้นัทธีเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ มากกว่านั้นก็คือความพอใจ
ต้องรู้ว่าพงศกรนี่ทั้งร้ายทั้งหัวรั้น ใช่ว่าเมื่อก่อนเขาไม่เคยออกคำสั่งให้พงศกรเปลี่ยนการเรียกชื่อ ห้ามเรียกชื่อวารุณีแบบนั้น
อย่างไรก็ตามวารุณีเป็นภรรยาของเขา ผู้ชายอื่นจะเรียกสวีทขนาดนี้ทำไม?
ทว่าพงศกรใช้ข้ออ้างที่วารุณีเป็นผู้มีบุญคุณต่อเขา จนกลายเป็นหมอที่มากความรู้ ไม่ได้เก็บคำพูดของเขาไว้ในใจเลย ยังคงเรียกชื่อเล่นของวารุณีเหมือนเดิม น่ารำคาญจริงๆ
แต่ว่าตอนนี้ พงศกรกลับเปลี่ยนชื่อเรียกแล้ว
ดูเหมือนว่า พงศกรจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
ใต้ตาของนัทธีมีแสงสว่างผ่านไป ในไม่ช้าก็เลือนหายไป ถามขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “นายหาเธอทำไม?”
เขามองไปทางผู้หญิงที่กำลังดูแลลูกๆ ทานอาหารอยู่
ผู้หญิงรับรู้ได้ถึงสายตา มองกลับมาเช่นกัน “ทำไมเหรอ? ใครโทรมา?”
“พงศกร” นัทธีไม่ได้ปกปิด ตอบกลับแล้ว
วารุณีแปลกใจ “เขาโทรหาฉันทำไม?”
เธอคิดมาตลอดว่า หลังจากที่ตนเองช่วยเหลือปาจรีย์ออกจากจังหวัดจันทร์แล้ว ระหว่างตนเองกับพงศกร ก็จบสิ้นลงแล้ว แม้กระทั่งเพื่อก็ไม่ใช่แล้ว
ทว่าตอนนั้น พงศกรกลับโทรมาเองก่อน ทำให้น่าแปลกใจจริงๆ
วารุณีวางตะเกียบลง มองดูนัทธี อยากจะรู้ว่าพงศกรหาเธอมีเรื่องอะไร
อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์ พงศกรก้มมองลงล่าง “ฉันอยากรู้ว่า ปาจรีย์หาใครในการสะกดจิต?”
นักสะกดจิตทุกคน ล้วนมีทักษะพิเศษในการสะกดจิตให้กับผู้ป่วย
ดังนั้นเช่นเดียวกัน การจะคลายปมสะกดจิต จำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า นักสะกดจิตคนไหนใช้ทักษะแบบไหนในการสะกดจิตให้กับปาจรีย์
หากไม่เข้าใจในจุดนี้ แล้วคลายปมสะกดจิตโดนตรงเลย ง่ายมากที่สมองของปาจรีย์จะเกิดความผิดพลาด พอถึงเวลาอาจจะเป็นผีบ้าไปก็มีความเป็นไปได้
และวารุณีก็สนิทกับปาจรีย์มากๆ ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะรู้ว่าปาจรีย์สะกดจิตที่ไหน และให้ใครสะกดจิตให้
นัทธีได้ยินคำพูดของพงศกรแล้ว ตะลึงงันไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “นายถามเรื่องนี้ทำไม? นายอยากคลายปมสะกดจิตของปาจรีย์?”
ต้องบอกเลยว่า เพียงแค่แป๊บเดียวเขาก็เดาความคิดของพงศกรออกแล้ว
หลังจากที่วารุณีได้ยินแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปเลย “ไม่ได้ การสะกดจิตของปาจรีย์จะคลายปมออกได้อย่างไร?”
ขอแค่คลายปมออก ปาจรีย์ก็จะกลายเป็นปาจรีย์ในอดีตที่เจ็บปวดสาหัสและจะเป็นจะตายเพราะความรัก
ปาจรีย์ในแบบนั้น คนทั้งคนมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง เต็มไปด้วยความผิดหวังทุกทิศทาง เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ปาจรีย์ทนไม่ไหวแล้วท้อแท้ สุดท้ายก็ทำเรื่องฆ่าตัวตายบ้าๆ นั่นขึ้นอีก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามปาจรีย์คลายปมสะกดจิตออก
มองดูวารุณีที่กังวล นัทธีจับมือเธอเบาๆ แสดงบอกกับเธอว่าให้สงบสติอารมณ์ อย่ากังวลเกินไป จากนั้นจึงจะพูดกับทางโทรศัพท์ว่า “ทำไมนายถึงอยากจะคลายปมสะกดจิตของปาจรีย์ นายอยากจะแก้แค้นเธออีกแล้ว?”
พงศกรได้ยินคำถามของนัทธีแล้ว เม้มริมฝีปากบาง ไม่ได้พูดอะไร
สีหน้าของนัทธีอึมครึมยิ่งขึ้น “พงศกร นายช่างดื้อดึงยิ่งนักจริงๆ ฉันคิดว่านายอยู่ที่นั่นนานขนาดนี้แล้ว ไม่ได้สร้างเรื่องอะไรขึ้นมา ถือว่าคิดทุกเรื่องได้อย่างกระจ่างแล้ว และยอมรับในคำพูดก่อนหน้านี้ที่ฉันพูดกับนาย ทว่าตอนนี้ดูแล้ว นายก็ยังคงเป็นปีศาจเหมือนเดิม