บทที่ 867 ทำไมพ่อบุญธรรมต้องทำแบบนี้

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เรื่องของฉัน ยังไม่ถึงตานายมาพูด” สีหน้าของพงศกรเย็นชามา

ไม่พูดก่อนว่า เขาไม่ได้มีความหมายที่จะคลายปมการสะกดจิตเพราะอยากจะแก้แค้น

ถึงแม้ว่าใช่แล้วทำไม?

ถึงตาที่คนอื่นมาสั่งสอนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

นัทธีพูดอย่างดูถูก “ถูก ตามหลักแล้วยังไม่ถึงตาฉันมาพูด แต่ว่าเช่นเดียวกัน สิ่งที่นายอยากรู้ พวกเราก็สามารถไม่บอกนายได้ นายค่อยๆ สืบเองเถอะ”

พูดจบ เขาก็วางสายลง

เขาคาดเดาไว้ตั้งนานแล้วว่าจะมีวันนี้ พงศกรจะต้องตามหาคุณหมอที่ทำการสะกดจิตให้ปาจรีย์ คลายปมสะกดจิตของปาจรีย์ออก แล้วแก้แค้นปาจรีย์

ดังนั้นในก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ย้ายคุณหมอท่านนั้นไปแล้ว

พงศกร ไม่มีทางตามหาเจอแน่นอน

“ที่รัก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” วารุณีเห็นนัทธีวางโทรศัพท์ลง ก็รีบตามถาม “พงศกรอยากจะคลายปมการสะกดจิตของปาจรีย์จริงๆ เหรอ?”

นัทธีพยักหน้า “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ไม่เช่นนั้นคงไม่โทรมาถามเธอเป็นพิเศษว่าหมอสะกดจิตเป็นใคร”

วารุณีขมวดคิ้วแน่น “ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้เนี่ย”

“สำหรับคนคนหนึ่งที่จมปลักอยู่ในความแค้นไม่สามารถเดินออกมาได้ จะทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลก” นัทธีจับมือของเธอ แล้วพูดปลอบด้วยเสียงเบา

วารุณีกัดริมฝีปาก “ตอนแรกฉันคิดว่า ช่วงเวลานี้พงศกรไม่ได้ต่อต้านตระกูลจิรดำรงค์และปาจรีย์ ถือว่ายอมรับความจริงที่เขาชอบปาจรีย์แล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยวางความแค้นที่มีต่อตระกูลจิรดำรงค์ลง แต่ว่าตอนนี้……”

คำพูดข้างหลัง เธอไม่ได้พูด ความหมายต่างก็เข้าใจ

นัทธีหรี่ตา “รอให้การแข่งขันของเธอจบแล้ว เราไปบ้านจิรดำรงค์กันเถอะ”

“ห๊ะ?” วารุณีตะลึงงัน “ที่รัก ความหมายของนายคือ ไปบ้านจิรดำรงค์?”

“อื้ม” นัทธีพยักหน้า “ตระกูลจิรดำรงค์และพงศกรเกิดความขัดแย้งกัน ที่ไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้มาโดยตลอด นอกจากเหตุผลที่ตัวพงศกรไม่สามารถเดินออกมาได้ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือระหว่างพวกเขาไม่มีคนกลางมาปรับความเข้าใจให้ ดังนั้นจึงได้แข็งทื่ออยู่แบบนี้ การไปครั้งนี้ พวกเราเป็นผู้เจรจา อาจจะปรับความข้องใจของพวกเขากันได้ การหนีไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ห้ามคิดแต่จะช่วยบ้านจิรดำรงค์หนีจากพงศกร”

วารุณีเงียบไปเลย ผ่านไปสักพัก จึงจะพยักหน้า “นายพูดถูก ได้ หลังจากการแข่งขัน พวกเราไปกันเถอะ”

“คุณพ่อหม่ามี๊ พวกเราจะไปหาแม่บุญธรรมเหรอครับ?” ขณะนี้ ไม่รู้ว่าอารัณวางช้อนลงตั้งแต่เมื่อไหร่ มองดูสองสามีภรรยาแล้วพูด

วารุณียิ้มแล้วขยี้ศีรษะของเขา “ใช่แล้ว”

“ดีที่สุดเลยค่ะ” เด็กทั้งสองปรบมืออย่างดีใจ “พวกเราไม่ได้เจอแม่บุญธรรมนานมากแล้ว คิดถึงท่านแล้วค่ะ”

“แล้วคิดถึงพ่อบุญธรรมไหม?” วารุณีถาม

อย่างไรก็ตาม พงศกรก็เป็นพ่อบุญธรรมที่ถูกต้องตามหลักของเด็กทั้งสอง แบบที่บูชาด้วยน้ำชาแล้ว

ตอนนั้นเด็กทั้งสองเกือบจะเสียชีวิตไปพร้อมกับเธอแล้ว พงศกรออกมือช่วยไว้ได้ทัน ช่วยพวกเขาสามแม่ลูกไว้ เขาเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเขาสามแม่ลูก

และในตอนนั้น คุณแม่ค่อนข้างที่จะเชื่อในการดูดวง ดังนั้นในตอนที่เด็กทั้งสองอายุสองขวบ ก็ได้ไหว้พงศกรเป็นพ่อบุญธรรม

พ่อบุญธรรมแบบนี้ ไม่ใช่การที่เรียกแค่พ่อบุญธรรม แต่ว่าได้บูชาด้วยน้ำชา ได้ไหว้ทำพิธี และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต

เพราะคุณแม่คิดว่า พงศกรช่วยเด็กทั้งสองไว้ คือเทพคุ้มครองของเด็กทั้งสอง มีพงศกงมาปกป้องคุ้มครอง เด็กทั้งสองก็จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแรงและปลอดภัย

ดังนั้น ไม่ว่าพงศกรจะเป็นเช่นไร เรื่องที่เขาเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กทั้งสอง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ได้ยินคำถามของวารุณีแล้ว อารัณและไอริณก็เงียบลงทันที ไม่ได้มีความเซอร์ไพรส์เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะไปเจอปาจรีย์เลย

วารุณีสบตากับนัทธี

นัทธีเอ่ยปากพูด “พวกหนูสองคนเป็นอะไร?”

“หม่ามี๊ พวกเราไปหาแม่บุญธรรม ก็จะเจอพ่อบุญธรรมเหรอครับ?” อารัณถาม

ถึงแม้ไอริณจะไม่ได้เอ่ยปากพูด ทว่าก็จ้องผู้ใหญ่ทั้งสอง ชัดเจนเลยว่าอยากจะรู้คำตอบนี้

วารุณีพยักหน้าเล็กน้อย “แน่นอน อย่างไรก็ตามพ่อบุญธรรมและแม่บุญธรรมก็อยู่ที่นั่น พวกหนูอยากเจอแม่บุญธรรม ก็จะได้เจอกับพ่อบุญธรรมอยู่แล้ว”

“แต่ว่าไอริณไม่อยากเจอพ่อบุญธรรมค่ะ” ไอริณก้มหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้ มีความกลุ้มใจเล็กน้อย

อารัณเม้มริมฝีปากน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร

ชัดเจนเลยว่า เจ้าเด็กนี่มีความหมายเดียวกับไอริณ ต่างก็ไม่อยากเจอพงศกร

วารุณีเดินไป อุ้มเด็กทั้งสองเข้ามาในอ้อมกอด พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ทำไมเหรอ? สามารถบอกสาเหตุกับหม่ามี๊ได้ไหม?”

“เพราะว่าพ่อบุญธรรมน่ากลัวมากค่ะ” ไอริณเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว

อารัณเองก็พยักหน้า

ไอริณพูดต่อว่า “หม่ามี๊ พ่อบุญธรรมในตอนนี้ ไม่เหมือนกับพ่อบุญธรรมในเมื่อก่อนแล้วค่ะ พ่อบุญธรรมในเมื่อก่อนชอบพวกหนูมากๆ ดีกับพวกหนูมากๆ อ่อนโยนมากๆ แต่ว่าพ่อบุญธรรมในตอนนี้ไม่อยากแล้ว เขาน่ากลัวมาก ไอริณกลัวเขาค่ะ”

“การรับรู้ของเด็กนั้น แข็งแกร่งเสมอมา” นัทธีลุกขึ้นเดินไป โอบกอดสามแม่ลูกแล้วพูด

วารุณีถอนหายใจ “ฉันรู้ แต่ว่าความสัมพันธ์ของเด็กๆ กับพงศกร ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

นัทธีฮัมกลับ “หากไม่ใช่เธอบอกว่า เขาช่วยแม่ลูกพวกเธอไว้ แล้วยังเป็นพ่อบุญธรรมที่เด็กๆ เคยบูชาด้วยน้ำชา ฉันไม่มีทางให้เด็กทั้งสองเจอเขาแน่นอน”

ไม่ว่ายังไงแล้วพงศกร ก็เคยทำร้ายเด็กทั้งสอง

“ขอโทษนัทธี” วารุณียิ้มอย่างขอโทษไปทางนัทธี

นัทธีขยี้ผมของเธอ “อย่าพูดขอโทษ”

วารุณีอื้มตอบกลับ

ขณะนี้ ไอริณเบ้ปากอันน้อยๆ พูดต่อว่า “หม่ามี๊ พวกหนูจะต้องไปเจอพ่อบุญธรรมเหรอคะ?”

“นอกจากว่าพวกหนูจะไม่ไปเจอแม่บุญธรรม” วารุณีพูด

ไอริณฮัมตอบกลับ “พ่อบุญธรรมโหดร้าย ให้คนพาพี่ชายไป ทำให้พี่ชายเกิดรถชน แขนหักด้วย”

ได้ยินประโยคนี้แล้ว วารุณีตกใจมาก “ไอริณ นี่ใครบอกหนู?”

เรื่องนี้ เธอไม่ได้บอกเด็กทั้งสอง

ดังนั้น เด็กทั้งสองรู้ได้อย่างไร?

วารุณีมองดูท่าทางของอารัณที่กัดฟัน ชัดเจนเลยว่า อารัณรู้

รู้ว่าตอนนั้นคนที่พาเขาไป และทำให้เขาเกิดรถชนนั้นพงศกรเป็นคนทำ

“ไอริณและพี่ชายได้ยินเองค่ะ” ไอริณพูดโกหกไม่เป็น ในตอนที่วารุณีถาม ก็ตอบกลับแล้ว

วารุณีมองเธอ “ได้ยินมา? พวดหนูได้ยินมาจากไหน?”

ไอริณมองไปทางอารัณ มองนิ้วแล้วตอบกลับ “คือตอนที่ไอริณกับพี่ชายไปหาคุณพ่อและหม่ามี๊ ได้ยินหม่ามี๊กับคุณพูดถึงเรื่องนี้อยู่ค่ะ ก็เลยได้ยิน”

“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” นัทธีพยักหน้า เข้าใจแล้ว

เด็กทั้งสองสุดยอดเลย แอบฟังมานานขนาดนี้แล้ว กลับไม่หลุดพูดเลยสักคำ

“พวกหนูนี่นะ” วารุณีจิ้มศีรษะของเด็กทั้งสองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ไอริณจับหัวที่ถูกจิ้มจนเจ็บแล้วถามว่า “หม่ามี๊ ทำไมพ่อบุญธรรมถึงต้องทำแบบนั้นเขา เขาชอบไอริณและพี่ชายไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมต้องพาพี่ชายไป แล้วทำให้พี่ชายเกิดรถชนคะ?”

“ใช่ครับหม่ามี๊” อารัณกุมมือ ถามอย่างเศร้าใจ “ผมนับถือพ่อบุญธรรมมากๆ ถึงขั้นเคยคิดว่าโตมาอยากเป็นหมอ แต่ว่าพ่อบุญธรรมทำกับผมแบบนี้ ผมเสียใจมากๆ ครับ”

คำถามของเด็กทั้งสอง ถามจนวารุณีตอบไม่ออก

เพราะว่าจนถึงตอนนี้ เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นพงศกรถึงต้องทำแบบนั้น

แต่ว่าในตอนนี้ จู่ๆ นัทธีก็เอ่ยปากพูด “พวกหนูอยากรู้คำตอบ งั้นครั้งนี้ตอนที่ไปที่นุ้น ก็ไปถามพ่อบุญธรรมกับตัวเองอย่างชัดเจน ถามดูว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น”

“ถามกับตัวเอง?” อารัณเงยหน้าขึ้นมองนัทธี

นัทธีอื้มตอบกลับ “ใช่แล้ว ในบางครั้ง พวกหนูถามผู้อื่นไม่มีทางได้รับคำตอบ ได้แต่ถามผู้กระทำเท่านั้นจึงจะรู้ นี่คือวิธีการรู้คำตอบที่เร็วที่สุด หนูถามหม่ามี๊นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าเธอเองก็ไม่รู้ มีแต่ไปถามพ่อบุญธรรมของหนู ถามเขาว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ตรงนี้มีความเข้าใจผิดอะไรกันแน่ ลูกผู้ชาย ควรจะเป็นเช่นนี้”