อารัณพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “ผมรู้แล้วครับคุณพ่อ ผมจะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ผมเองก็อยากรู้ว่า ทำไมพ่อบุญธรรมต้องทำแบบนั้นกับผม ผมอยากได้ยินคำถามของเขากับปากเขาเอง”
“แบบนี้แหละถูกแล้ว” นัทธียิ้มโค้ง
“พอแล้ว ทานอาหารต่อเถอะ จะเย็นแล้ว” วารุณีลูบศีรษะน้อยๆ ของเด็กทั้งสองแล้วพูด
เด็กทั้งสองบิดหัว กดทับอารมณ์ที่ผิดหวังในเมื่อกี้ลงไป กลับมาดีใจเหมือนเดิม และทานอาหารต่อ
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว วารุณีและนัทธีเล่นกับสุขใจไปสักพัก ก็ให้พี่นันทาพาสุขใจกลับไปพักผ่อนในห้องแล้ว
อย่างไรก็ตามสุขใจยังเด็ก เด็กนอนเยอะ จะมีประโยชน์ต่อการเติบโตของร่างกาย
เช้าวันถัดไป วารุณีและนัทธีพาเด็กทั้งสองออกไปเล่นข้างนอก
สุขใจอยู่ในวิลล่า
อย่างไรก็ตามเขายังเด็ก พาออกไปไม่ได้ค่อยสะดวกมากนัก หากป่วยขึ้นมา ผลที่ตามมาใครก็รับผิดชอบไม่ไหว
ดังนั้น อยู่ในวิลล่าต่อ ให้พี่นันทาดูแล
และยังมีลีน่า ที่บอกจะอยู่เป็นเพื่อนสุขใจเอง
สุขใจมีพี่นันทาและลีน่า รวมถึงบอดี้การ์ดคอยปกป้อง วารุณีและนัทธีต่างก็วางใจมากๆ จึงมาอารัณและไอริณเด็กทั้งสองออกบ้าน
พวกเขาสองสามีภรรยา มีเวลาประมาณหนึ่งแล้วที่ไม่ได้ออกไปเล่นกับเด็กๆ ข้างนอก ตอนนี้มีเวลา ดังนั้นจึงพอดีเลย
เด็กทั้งสองมีคุณพ่อและคุณแม่ออกไปเล่นด้วย โลดเต้นตลอดทางอย่างดีใจ ยังไงก็หยุดไม่ลง
พวกเขาต่างก็รู้ว่าคุณพ่อและคุณแม่ยุ่ง ดังนั้นปกติถึงแม้อยากจะให้คุณพ่อและคุณแม่อยู่ด้วยมากๆ แต่ก็เข้าใจไม่เคยเอ่ยปากพูดก่อน
ตอนแรกพวกเขาคิดอยู่ว่า การแข่งขันของหม่ามี๊จบลงแล้ว ค่อยหาโอกาสให้คุณพ่อและคุณแม่พาพวกเขาออกไปเล่นหนึ่งครั้ง
แต่คิดไม่ถึงว่า การแข่งขับของหม่ามี๊ยังไม่จบลง ความสุขของพวกเขาก็มาได้กะทันหันเช่นนี้ ช่างน่าดีใจมากจริงๆ
“หม่ามี๊ พวกเราไปเล่นที่ไหนคะ?” อารัณเงยศีรษะน้อยๆ ขึ้น กะพริบตาแล้วมองวารุณี
ไอริณจูงมือของวารุณี “ใช่ค่ะหม่ามี๊ พวกเราไปไหนคะ?”
“อันนี้……” วารุณีอึ้งไปเลย เพราะเธอไม่ได้คิดเลยว่าจะไปไหน
หลังจากนั้น เธอมองไปทางนัทธี “ที่รัก พวกเราไปไหน?”
นัยน์ตาที่เหมือนกันของสามแม่ลูกมองมาทางตัวเอง ทำให้นัทธีอดหัวเราะไม่ไหว “ฉันก็ไม่รู้ว่าไปไหน แต่ว่าเป้าหมายหลักๆ ของวันนี้ก็คือ อยู่กับลูกๆ ทั้งสอง ดังนั้นอยากไปไหน ก็ให้ลูกๆ ทั้งสองตัดสินใจเองเป็นไง?”
วารุณีพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เลว พวกหนูล่ะคิดว่ายังไง?”
เธอมองไปทางเด็กทั้งสอง
แน่นอนว่าเด็กทั้งสองเห็นด้วยเป็นอย่างมากอยู่แล้ว
ไอริณรีบยกมือน้อยๆ ขึ้น “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำค่ะ ไอริณอยากไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ไปดูปลาวาฬที่ใหญ่และเยอะๆ ค่ะ”
เธอกางแขนออก ทำท่าทางเหมือนเยอะมากๆ
อารัณกดทับมือของเธอลงไป “ไม่ได้ ไปที่ศูนย์กลางเทคโนโลยี ไปดูเทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ มากมาย”
“พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ”
“ศูนย์กลางเทคโนโลยี”
“พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ!”
“ศูนย์กลางเทคโนโลยี!”
เด็กทั้งสองกลับทะเลาะกันขึ้นมาเพราะเรื่องที่จะไปไหน
เห็นเด็กทั้งสองแย่งชิงกันจนหน้าแดงคอแหบ วารุณีรีบอุ้มเด็กขึ้นมา
“เป็นอะไรเนี่ยพวกหนูสองคน?” วารุณีสีหน้าอึมครึม “ทำไมถึงทะเลาะกันขึ้นมา?”
นัทธีขมวดคิ้ว “ความสัมพันธ์ของพวกหนูดีมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ไอริณมองนิ้วมือแล้วพูดว่า “ไอริณอยากไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ว่าพี่ชายอยากไปศูนย์กลางเทคโนโลยี”
อารัณไม่ได้พูดอะไร แค่ก้มศีรษะน้อยๆ ลง
ตอนนี้รู้สึกผิดมากที่ทะเลาะกับน้องสาวในเมื่อกี้
วารุณีถอนหายใจ “ดังนั้นก็แค่เพราะว่าสถานที่อยากไปไม่ใช่ที่เดียวกันเท่านั้นเอง??”
ไอริณก้มศีรษะลง
ขณะนี้ อารัณกุมมือ เหมือนว่าตัดสินใจอะไรบางอย่าง เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “หรือว่า ไม่ต้องไปศูนย์เทคโนโลยีแล้ว ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเถอะ ผมเป็นพี่ชาย ควรจะเสียสละให้น้องสาว”
“พี่ชาย……” ไอริณมองอารัณด้วยใบหน้าที่ซึ้งใจ
วารุณีกลับขมวดคิ้วขึ้นมา “ไม่ได้”
“ทำไมครับ?” อารัณและไอริณต่างก็มองไปทางเธอพร้อมกัน
วารุณีกลับมองอารัณด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน “อารัณ แม่รู้ว่าหนูเป็นเด็กดี และรู้ว่าหนูจะเสียสละให้น้องสาวตลอด แต่ว่าการเสียสละนี้ ใช่ว่าหนูจะสามารถเสียสละได้ทุกอย่าง เพราะว่าหนูไม่ได้โตกว่าน้องสาวมากเท่าไหร่ พวกหนูโตพอๆ กัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องลำบากใจตัวเองเพื่อน้องสาว เข้าใจไหม?”
นัทธีดีดหน้าผากของเด็กทั้งสองเบาๆ “ถูกต้อง ถึงแม้ว่าพวกหนูอยากไปสถานที่ไม่เหมือนกัน พวกหนูก็ไม่ควรทะเลาะกัน ควรจะเจรจากับพ่อแม่ ว่าจะไปไหน วันนี้คุณพ่อและคุณแม่ออกมากับพวกหนู แน่นอนว่าไม่มีทางให้พวกหนูเล่นอย่างไม่สนุกแน่นอน ดังนั้นอารัณ หนูก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละให้ไอริณ เพราะคุณพ่อแม่คุณแม่จะทำให้พวกหนูทั้งสองพอใจ สถานที่ที่พวกหนูอยากไป สามารถไปได้หมด”
เขามีความคิดเดียวกับวารุณี ไม่มีความคิดที่ว่าคนโตต้องเสียสละให้คนเล็ก พี่ชายจำเป็นต้องเสียสละให้น้องสาว
ความคิดที่มีอย่างเดียวคือ พี่ชายจำเป็นต้องปกป้องน้องสาว
ดังนั้น อารัณไม่ต้องเสียสละ เลือกสถานที่ที่ไอริณอยากไป
เขาก็สามารถยืนหยัดสถานที่ที่ตนเองอยากไปได้
การเป็นพ่อแม่ มีเงื่อนไขที่ต้องเติมเต็มลูกๆ ทั้งสอง
“คุณพ่อหม่ามี๊” อารัณมองทั้งสองอย่างดีใจ
เขารู้ว่าคุณพ่อและหม่ามี๊นั้นมีความคิดที่ดีและใจกว้าง ดีกับเขาและน้องสาวเหมือนกัน
ตอนนี้เขาถึงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า คุณพ่อและหม่ามี๊มีความคิดที่ดีและใจกว้างมากกว่าที่เขาคิด
ข้างๆ ไอริณได้ยินคำพูดของนัทธีและวารุณีแล้ว เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จูงมือของอารัณ “ขอโทษค่ะพี่ชาย ไอริณไม่ควรให้พี่ชายเสียสละให้ และไม่ควรที่จะยอมรับมาอย่างสมเหตุสมผลเพราะพี่เสียสละให้ หม่ามี๊พูดถูกค่ะ ไอริณโตพอๆ กับพาย ดังนั้นพี่ชายไม่จำเป็นได้เสียสละให้ไอริณ เพราะพี่ชายก็ต้องการการถูกปกป้องค่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ของไอริณแล้ว วารุณีกับนัทธีตะลึงงันไปเลย
เพราะว่าพวกเขาใครก็คิดไม่ถึงว่า ไอริณจะพูดคำพูดที่เข้าใจพ่อแม่และเป็นเด็กดีเช่นนี้
ต้องรู้ว่าไอริณไม่ได้มีไอคิวที่สูงเท่าอารัณ เธอก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง
ตามหลักแล้ว เด็กอายุวัยนี้ ไม่มีทางเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งขนาดนี้แน่นอน
ไอริณกลับอยู่นอกเหนือความคิดของทุกคน เธอเข้าใจ และสามารถพูดเหตุผลที่ตนเองรับรู้ไปได้
ต้องพูดเลยว่า นี่ทำให้น่าตกใจมากจริงๆ
ทว่าในขณะเดียวกันที่ตกใจ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจมากๆ
เพราะว่าลูกสาวเป็นเด็กดี พวกเขาที่เป็นพ่อแม่ ก็ภูมิใจอยู่แล้ว
“ไอริณ” วารุณีโอบไอริณเข้ามาในอ้อมกอด จูบศีรษะน้อยของเธอ “หนูเก่งมาก แม่ภูมิใจในตัวหนูมากๆ”
“คุณพ่อก็เหมือนกัน” นัทธีตบไหล่ของไอริณเบาๆ
อารัณก็ทำตาม “พี่ชายก็เหมือนกัน”
ได้ยินคุณพ่อคุณแม่ และไอริณพูดคำพูดที่ภูมิใจในตัวเอง ไอริณก็ดีใจจนยิ้มแฉ่ง เผยฟันที่หลอไปแล้วออก ทั้งน่ารักและตลก
“งั้นได้ พวกเราไปศูนย์เทคโนโลยีที่อารัณอยากไปก่อน แล้วกลางคืนค่อยไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นไง?” วารุณีมองเด็กทั้งสองแล้วถาม
เด็กทั้งสองไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว รีบพยักหน้า “ได้ค่ะ”
“งั้นก็ตามนี้นะ” นัทธีสรุปผล จากนั้นก็ตบไปยังตัวคั่นที่นั่งคนขับ
ตัวคั่นลดลง มารุตมองพวกเขาครอบครัวสี่คนจากทางกระจกหลัง ถามขึ้นว่า “ท่านประธาน มีคำสั่งอะไรครับ?”
“ย้อนกลับ ไปที่ศูนย์เทคโนโลยี” นัทธีเม้มริมฝีปากบางแล้วพูด
“ครับ” มารุตตอบกลับ จากนั้นก็เปิดระบบนำทางของรถยนต์
ในตอนที่ได้ยินเสียงของระบบนำทางไปที่ศูนย์กลางเทคโนโลยี อารัณดีใจมากๆ ปากน้อยพูดแต่ว่าในศูนย์กลางเทคโนโลยีมีเทคโนโลยีขั้นสูงอะไรบ้างอย่างไม่หยุด
ไอริณไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้เป็นการห้ามที่เธอจะมองเขาด้วยนัยน์ตาที่ทั้งนับถือและตกใจ
เพราะว่าพี่ชายรู้เรื่องพวกนี้ จากที่เธอดูแล้วล้วนสุดยอดมากๆ
วารุณีเองก็ไม่เข้าใจเทคโนโลยีขั้นสูงพวกนั้น แต่สามารถเป็นผู้ฟังที่ดีได้อย่างสมบูรณ์
นัทธีเข้าใจ จึงพูดคุยกับอารัณขึ้นมา บรรยากาศของสองพ่อลูกดีเป็นพิเศษ