ภาค 1-2 บทที่ 107

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 107 คิดถึงหาได้ห่างไกล
โดย
Ink Stone_Romance
สถานที่ใกล้เมืองหลวงในระยะสิบลี้เจริญเหนือกว่าเมืองที่พวกนางพบมาตลอดทาง

สถานที่ซึ่งเรียกกันว่าด่านเหนือนี้ร้านรวงเรียงราย ผู้คนเบียดเสียด

คุณหนูจวินจูงหลิ่วเอ๋อร์กับม้าเดินผ่านอยู่ข้างใน หลิ่วเอ๋อร์สองตาล้วนมองไม่หมด พยายามสุดกำลังรักษาหน้าตาของสาวใช้ใหญ่ของคุณหนูตระกูลขุนนางไว้ เลี่ยงไม่ให้ถูกคนหัวเราะเยาะเป็นพวกบ้านนอก

“บอกว่าร้านเนื้อตากแห้งที่อร่อยที่สุดของเมืองหลวงก็คือที่นี่” คุณหนูจวินแกว่งมือของหลิ่วเอ๋อร์ มองไปยังทิศทางหนึ่งเอ่ยขึ้น

หลิ่วเอ๋อร์เบิกตามองไป เห็นแผงร้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงมุม ปังธงลายผืนหนึ่งเขียนอักษรต่งไว้

“นี่คือนั่น…” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น แล้วกดเสียงลง “เครื่องหมายบนแผนที่นั่นใช่ไหมเจ้าคะ?”

คุณหนูบอกว่าแผนที่นี้ที่เมืองหลวงถูกห้าม ดังนั้นนางไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้

เด็กน้อยรู้ความนัก คุณหนูจวินพยักหน้าชื่นชมนาง

หลิ่วเอ๋อร์หัวเราะหึหึ ยืดหลังตรง

“แต่ คุณหนูท่านจำได้ชัดเจนจริงๆ” นางกดเสียงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

นอกจากดูเมื่อครู่แวบหนึ่ง คุณหนูก็ไม่ได้หยิบแผนที่แผ่นนั้นออกมาอีก

แผนที่แผ่นนั้นทั้งอักษรทั้งภาพวาดมากมายถี่ยิบสารพันสิ่งไม่น้อย

คุณหนูจดจำโรงเตี๊ยมร้านแลกเงินอะไรได้ปกติยิ่ง ทำไมแม้กระทั่งของกินเล่นไม่สะดุดตาก็จดจำได้ด้วยเล่า?

คุณหนู ใช่หิวหรือไม่?

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม

“ข้าเพียงความทรงจำดีเท่านั้น” นางเอ่ยขึ้น

แน่นอนว่า ก็เพราะชื่นชอบกินด้วย

ติดตามอาจารย์อยู่ข้างนอก แม้ตอนไม่มีที่พักแน่นอนไม่ได้กินตรงเวลา แต่อาจารย์ก็ยังคงชื่นชอบเสาะหาของกินยิ่งนัก หญ้าต้นหนึ่ง ไก่ภูเขาตัวหนึ่งก็ยังถูกเขาทำเป็นอาหารโอชะยั่วน้ำลายคนได้

นางติดตามอาจารย์หกปี ถูกเลี้ยงให้อะไรก็กินได้อะไรก็กล้ากิน ทั้งยังค่อนข้างชอบกินด้วย

เหลาสุราร้านไหนในเมืองหลวงดี ขนมอะไรเยี่ยม นางก็เคยฟังลู่อวิ๋นฉีแนะนำ เพียงแต่เนื้อตากแห้งตระกูลต่งแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในนั้น

ดูท่านี่เป็นรสนิยมของจูจั้น

เพียงแต่ไม่รู้รสนิยมของเขาได้รับความนิยมหรือไม่

คุณหนูจวินมองแผงเนื้อตากแห้งตระกูลต่งด้านหน้าล้อมไปด้วยผู้คน เห็นได้ชัดว่าเกินครึ่งล้วนเป็นคนต่างถิ่นที่บนหน้าเปื้อนฝุ่นดินรวมถึงสีหน้าสงสัยใคร่รู่

คิดว่าในมือทุกคนคงล้วนมีแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวง

“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

เฒ่าแก่ผู้วุ่นวายเหงื่อโชกเต็มศีรษะปลอบผู้คนที่รอคอยอยู่ วางเนื้อตากแห้งชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ย่างเสร็จแล้วเข้าไปในถุงกระดาษอย่างฉับไวยิ่ง

“อร่อยจริงไหม?” ผู้คนที่รอคอยอู่เอ่ยถามไม่หยุด

“แน่นอนอร่อย ข้าขายอยู่ตรงนี้มายี่สิบปีแล้ว” เฒ่าแก่เอ่ยตอบ “ไม่เชื่อไปถามในเมืองหลวงดู ใครไม่รู้”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งรับเนื้อตากแห้งไป

“เมืองหลวงพูดว่าอย่างไรข้าไม่รู้ ข้าไม่มีเวลาไปถามด้วย แผนที่บอกว่าร้านเจ้าที่นี่ดี ข้าก็มาลองๆ ดู” เขาเอ่ยขึ้น “คงไม่ใช่เจ้าให้เงินโฆษณาเกินจริงใช่ไหม?”

เฒ่าแก่สีหน้ามึนงง

“แผนที่? แผนที่อะไร?” เขาเอ่ยถาม

เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจะพูดคนด้านข้างก็กระแอมเบาๆ ถลึงตาเป็นการเตือน

อย่างไรแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงก็เป็นของต้องห้ามของเมืองหลวง แม้ทางการลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง แต่เจ้าก็ไม่อาจหยิบออกมาโจ่งแจ้งได้เหมือนกัน

เด็กหนุ่มหัวเราะขัดเขิน กัดเนื้อตากแห้งคำหนึ่ง เคี้ยวสองทีคิ้วก็เลิกขึ้น

“อื้ม อร่อย” เขาอุทานชมงึมงำ

ไม่รอเขาพรรณนาอีก ฝูงชนที่รอไม่ไหวก็เบียดเขาออกไปแล้ว

“เฒ่าแก่ของข้า”

“เฒ่าแก่ข้าเอาสองอัน”

หลังจากรอคอยพักหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ก็ถือเนื้อตาแห้งที่ซื้อได้แล้วเบียดออกมาได้ ส่งให้คุณหนูจวินที่รอคอยอยู่ด้านข้างอย่างดีใจ

คุณหนูจวินรีบไปทานคำหนึ่ง ก็พยักหน้าอย่างพอใจ

“อร่อยจริง อร่อยจริง” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นต่อกันหลายที

ใช่ อร่อยจริงๆ แต่จะบอกว่าเฒ่าแก่ไม่รู้เรื่องที่เนื้อตากแห้งของตนถูกชี้บอกไว้ในแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงดูท่าคงไม่ใช่เรื่องจริง

คุณหนูจวินมองเฒ่าแก่ที่ส่งลูกค้าระลอกหนึ่งไปรับลูกค้าระลอกหนึ่งมายิ้มปากหุบไม่ลง

ไม่รู้ว่าจูจั้นได้ส่วนแบ่งในนั้นเท่าไร

วันเวลาสั่งสมย่อมต้องไม่ใช่เงินจำนวนน้อยก้อนหนึ่งเหมือนกัน

นอกจากนี้สถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นบนแผนที่แผ่นนี้ก็ไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียว

คุณหนูจวินกัดเนื้อตากแห้งที่กรอบหอม ทั้งขำขันอยู่บ้าง ทั้งใคร่รู้อยู่บ้าง

จูจั้นคิดถึงวิธีหาเงินเช่นนี้ได้อย่างไร?

เขาก็ไม่ใช่คนเมืองหลวง คนผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ที่แถบเหนือถึงกับมาหาเงินที่เมืองหลวง

นอกจากนี้เฉิงกั๋วกงจนมากงั้นรึ?

เพราะมีความทรงจำน่าหวาดกลัวรวมถึงความเจ็บปวดที่สงครามถูกบีบให้ย้ายเองหลวงครั้งนั้นทิ้งไว้อยู่ ไม่ว่าเป็นพระอัยยิกาหรือพระบิดารวมถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบ้น ล้วนเพิ่มความเมตตาให้แก่เฉิงกั๋วกงผู้เฝ้าแถบเหนือรับประกันความมั่นคงของบ้านเมือง ต้องการเงินให้เงิน ต้องการของให้ของ ไม่เคยโหดร้ายมาก่อน

เฉิงกั๋วกงเลี้ยงบุตรที่ละโมบทรัพย์ชมชอบเงินทองเช่นนี้คนหนึ่งออกมาได้อย่างไร?

“คุณหนูยังมีอะไรอร่อยอีกเจ้าคะ?”

หลิ่วเอ๋อร์กินเสร็จแล้ว เอ่ยถามติดใจไม่หาย ขัดการเหม่อลอยของคุณหนูจวิน

มองใบหน้าที่ถูกตากแดดจนแดงของนาง คุณหนูจวินยิ้มจูงม้า

“มีมากนักล่ะ” นางเอ่ยขึ้น “พวกเราไปโรงเตี๊ยมกันก่อน อาบน้ำแต่งตัวพักผ่อน ค่อยไล่กินทีละอย่าง”

จูงหลิ่วเอ๋อร์ที่ดีอกดีใจกับม้าเดินต่อไปตามถนน

คุณหนูจวินเงยหน้ามองไปทางทิศทางของเมืองหลวง ตั้งแต่ปีที่แล้วตายไปจนถึงตอนนี้กลับมาใหม่อีกครั้งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น ห่างจากสถานที่ซึ่งครอบครัวพี่สาวน้องชายอยู่ระยะทางมีเพียงครึ่งชั่วยาม ห่างจากศัตรูก็แค่เอื้อมมือเช่นกัน

นางรู้สึกว่าตนเองควรคิดอะไรบ้าง แต่เวลานี้นาทีนี้ในใจกลับไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดอะไรเลย

ที่หดสั้นลงมีเพียงระยะทาง ที่ยากข้ามคือขุนเขาใหญ่แห่งฐานะตำแหน่ง

ยังคงห่างไกลเอื้อมไม่ถึงดังเดิม

ราตรีมืดมิด วันนี้เมืองหลวงไม่ได้ใช้กฎห้ามออกจากบ้านยามกลางคืน ตลาดกลางคืนยังคงคึกคักครึกครื้น แต่ต้นไม้เก่าแก่ที่ยืนต้นอยู่ตรงกำแพงสำนักของสำนักวิชาอันใหญ่โตขวางกั้นเสียงเอะอะนี้ไว้

ความเงียบสงบด้านในหาใช่น้ำนิ่งไปหมด ในความมืดแสงโคมนับไม่ถ้วนสว่างไสว นั่นคือบรรดานักเรียนที่ตรากตำอ่านหนังสืออยู่

บนโต๊ะของหนิงอวิ๋นเจาจุดโคมสว่างสองดวง ที่ใช้คือน้ำมันโคมชั้นดี มีเพียงกลิ่นหอมสะอาดไม่มีควันดำ ไม่ทำร้ายดวงตา

แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ก้มหน้ากับโต๊ะตรากตรำอ่านอยู่ ม้วนหนังสือกางเปิดเรียงรายอยู่บนโต๊ะ เขากลับพิงเก้าอี้หลับตาราวกับหลับใหล

คนที่หลับใหลฉับพลันก็แค่นหัวเราะพรืดออกมาอีก

ดวงตาลืมขึ้น ไม่มีง่วงงุนงัวเงีย ตรงกันข้ามสุกสว่างดุจดารา

“คิดไม่ถึงจริงๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น มองจดหมายที่กระจัดกระจายอยู่ใต้ม้วนหนังสือ

นั่นเป็นจดหมายที่ส่งมาตอนกลางวัน เขาไม่ต้องอ่านอีกครั้ง เนื้อหาในจดหมายก็จำแม่นขึ้นใจ ที่เล่าย่อมเป็นการวางอุบายชาญฉลาดของคุณหนูจวิน

ที่แท้เป็นการแต่งงานหลอก

“ต่อให้ไม่แต่งให้นายน้อยฟาง ข้าคิดว่าตระกูลฟางก็ต้องดูแลเจ้าอย่างดี”

เขาคิดถึงคำพูดที่ครั้งนั้นตนเองว่านาง

เวลานั้นนางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขาคิดว่านางกระอักกระอ่วนเพราะคำตำหนิในคำพูดของตน

ตำหนินางเป็นคนไม่เชื่อใจตระกูลท่านยายดังนั้นจึงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แบบนั้น

เขาย่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น และนางก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นจริงๆ ด้วย

“คุณชายหนิงคิดมากแล้ว” นางตอนนั้นยิ้มเอ่ยตอบ “เรื่องนี้ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว”

ที่แท้ตอนนั้นความจริงที่นางอยากพูดก็คือเขาคิดมากไปแล้ว

นี่คือเกมหมากชาญฉลาดที่นางวางไว้ ตอนนั้นกำลังวางทหารตั้งค่าย ไม่อาจบอกกับคนนอก ดังนั้นนางทำได้เพียงพูดประโยคหนึ่งกับตนเองว่าคิดมากแล้วแฝงความนัย

แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดมาก

เขาเพียงแต่สังเกตว่านางพูดเรื่องนี้ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องพูด คิดว่าที่นางพูดหมายถึงไม้กลายเป็นเรือแล้วพูดอีกไร้ประโยชน์

ที่แท้นางไม่ใช่ความหมายนี้

เป็นเกมหมากที่ชาญฉลาดนักเกมหนึ่ง

หนิงอวิ๋นเจายืนขึ้น อดไม่ได้เดินกลับไปมาหลายก้าว รู้สึกเพียงในใจทั้งตะลึงทั้งยินดี รู้สึกเพียงความร้อนอบอ้าวในคืนฤดูร้อนนี้เปลี่ยนกลายเป็นทำให้คนสำราญใจไปด้วย

นี่ถึงเป็นเรื่องที่นางจะทำ

เด็กสาวที่ดวลหมากบอดใต้ต้นไม้ ความสนใจชักนำให้เกิด มอบโคมชอบพอ

นางก็เป็นคนเช่นนี้ แบบนั้นเหมือนที่เขาคิด

แต่งงานเป็นเรื่องหลอก

นางบ้าบอก่อเรื่อง หยาบคายน่าขัน ทั้งทิ้งสัญญาหมั้น

เพียงเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่ เพื่อหลอกล่อศัตรู

แต่งงานเป็นเรื่องหลอก

หนิงอวิ๋นเจาอยู่ในห้องก้าวเดินไปมา

แม้ทุกคนบนเส้นทางการศึกษาล้วนเป็นนักเรียน แต่สุดท้ายก็เกิดมาต่างกัน หนิงอวิ๋นเจามีเงินทั้งยังเป็นลูกหลานของตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว ห้องที่เขาพักเป็นห้องดีที่สุดที่นี่ ไม่คับแคบปานนั้นเหมือนนักเรียนคนอื่น

ด้านในห้องนี้มีห้องข้างในแล้วยังแยกห้องหนังสือห้องหนึ่งออกมาได้ เขาที่เดินไปเดินกลับเดินสิบกว่าก้าว

แต่เขายังรู้สึกว่าไม่พอ อยากเดินไกลกว่านี้

เดินไปถึงตรงหน้านางได้ ฟังนางเล่าถึงเกมหมากเกมนี้ด้วยตนเอง คงจะบรรยายได้ชัดเจนยิ่งกว่าตัวหนังสือเกินจริงของนักเล่านิทานกระมัง

เป่ยหลิวถึงหยางเฉิงขี่ม้าคืนเดียวไปกลับได้

เมืองหลวงถึงหยางเฉิงเล่า?

นอกจากนี้หนิงอวิ๋นเจาหยุดฝีเท้ามองไปยังกระดาษจดหมายบนโต๊ะ

ในจดหมายบอกว่า ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่หยางเฉิง

ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ไหนเล่า?

ท่ามกลางราตรี คุณหนูจวินบนเตียงในโรงเตี๊ยมลืมตา มองม่านมุ้งสลัว ฟังเสียงอื้ออึ้งสูงๆ ต่ำๆ ใกล้ๆ ไกลๆ ด้านนอก

พริบตาหนึ่งราวกับไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ใด

……………………………………….