บทที่ 108 เดินเที่ยวยามค่ำ
โดย
Ink Stone_Romance
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงไม่เหมือนหยางเฉิง ราวกับว่าไม่มีเวลาที่เงียบสงบตลอดกาล
เป็นเมืองที่ไร้ราตรีแห่งหนึ่งจริงๆ
คุณหนูจวินฟื้นลมหายใจกลับมาสงบครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นลงจากเตียง
หลิ่วเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนเตียงริมหน้าต่างหลับลึก
นี่เป็นโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งหนึ่ง มีเตียงสองหลังได้ก็เป็นห้องที่ดีที่สุดแล้ว แต่ก็สะอาดมาก เหมือนกับที่บนแผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงทำเครื่องหมายไว้เช่นนั้น เจ้ามีเงินนิดหน่อยไม่อยากอยู่ลำบากทั้งอยากไม่เด่นนิดหนึ่ง ที่นี่เป็นตัวเลือกแรก
พวกนางจากถนนมาเข้าพัก อาบน้ำสะอาดเกลี้ยงเกลาก็ให้เด็กรับใช้สั่งเส้นหมี่น้ำสองชาม เป็ดตัวหนึ่ง เครื่องเคียงสองอย่างมาจากร้านเส้นหมี่น้ำนั้นด้านข้าง นายบ่าวสองคนนั่งตรงข้ามกันในห้องกินอย่างสุขสบายอุรา หลังจากนั้นล้มตัวลงนอนหลับสบายไป
เพราะเคยเดินทางไปหรู่หนานก่อนหน้านี้ ร่างกายของคุณหนูจวินร่างนี้จึงปรับตัวได้แล้ว ดังนั้นหลับไปงีบหนึ่งก็ฟื้นกำลังวังชากลับมาแล้ว แต่หลิ่วเอ๋อร์ไม่ไหว
คุณหนูจวินยืนอยู่ข้างเตียง มองหลิ่วเอ๋อร์ที่หลับลึกอยู่ หยิบผ้าห่มบางที่นางเตะลงจากเตียงมาคลุมเอวให้นาง
หน้าต่างเปิดกว้าง แสงจันทร์อาบไล้ฟ้าดินส่องสว่างล้อกับแสงโคมที่ไม่มอดดับตลอดทั้งคืน
ที่นี่คือเมืองหลวง ที่นี่ก็คือเมืองหลวง
นางมาถึงเมืองหลวงแล้ว
คุณหนูจวินหมุนตัวสวมเสื้อดึงประตูเปิดเดินออกไป
โรงเตี๊ยมกลางวันกลางคืนมีคนมาพักตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ปิดประตู แขกที่ดื่มด่ำกับชีวิตยามค่ำคืนที่ไหนๆ ก็มี คุณหนูจวินเดินผ่านโถงใหญ่ที่มีคนเข้าๆ ออกๆ เดินเข้าไปในม่านราตรี
พ้นเที่ยงคืน แม้บนถนนยังมีคนเดินอยู่ แต่อย่างไรก็สู้กลางวันไม่ได้ นอกจากถนนที่ครึกครื้นบางสายรวมถึงสถานที่ซึ่งหอคณิกาตั้งอยู่ สถานที่อื่นล้วนจมดิ่งสู่การหลับใหล
คุณหนูจวินผ่านประตูเมือง ไปตามถนนใหญ่ที่มุ่งไปทางตะวันออกทะลุตรอกสายหนึ่งที่มุ่งไปทางเหนือ
ที่นี่ไม่มีโคมไฟสว่างไสว มีเพียงแสงจันทร์ส่องถนน ที่นี่ไม่ใช่เขตครึกครื้น แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวงก็ไม่มีสัญลักษณ์บอกว่าที่นี่มีสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นที่มีเอกลักษณ์อันใด
ทะลุผ่านถนนเส้นหนึ่ง ตรงหน้าก็ปรากฏโลกสองใบที่ต่างกัน
ข้างหนึ่งไฟโคมสว่างไสวดั่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์ อีกด้านหนึ่งกลับหลับใหลเงียบสงบไม่อาจบุกรุก
ไม่ใช้แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวง นางก็รู้ว่าด้านนี้เป็นถนนตลาดกลางคืนที่เจริญที่สุด เป็นศูนย์กลางของเมืองหลวง ส่วนด้านนั้นเป็นถนนเสด็จพระราชดำเนิน[1]
ด้านนั้นมีจวนราชการศาลาว่าการ มีวังหลวง แล้วก็มีบ้านของนาง
คุณหนูจวินยืนอยู่ในความมืดนิ่งไม่ขยับมอง
พี่สาวเป็นคนยึดแบบแผนคนหนึ่ง ทำงานพักผ่อนเป็นระเบียบ ดูแลจิ่วหรงก็เข้มงวดมากด้วย
ตอนนี้เวลานี้พวกนางต้องนอนหลับแล้วแน่
แต่ไม่รู้ว่าจิ่วหรงจะแอบหลบไปเล่นในห้องน้ำหรือไม่ เหมือนกับนางก่อนหน้านี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องถูกพี่สาวพบเข้าอยู่ดี ขาดคำสั่งสอนพร่ำบ่นรอบหนึ่งไปไม่ได้
มุมปากคุณหนูจวินผุดรอยยิ้ม
ไม่รู้ยืนอยู่นานเท่าใด ทหารตรวจการณ์เมืองกองหนึ่งก็เดินเข้ามาจากม่านราตรีด้านนั้น
ด้านนั้นที่แจ้งมีทหารตรวจการณ์เมือง ที่ลับยังมีองครักษ์มากยิ่งว่า มีองครักษ์เสื้อแพร มีราชองครักษ์
คุณหนูจวินก้มศีรษะหมุนตัวเดินไปทางถนนใหญ่ตลาดกลางคืน กองทหารตรวจการณ์เมืองด้านหลังร่างเดินผ่านข้างกายไป โคมไฟด้านหน้าอาชาส่องสว่างที่แห่งนี้ ยังมีคนเห็นนางเจตนายกโคมไฟหันมา
คุณหนูจวินบ่ายศีรษะหลบไปด้านข้างถนนหลายก้าว
หญิงสาวที่เดินบนถนนใหญ่ยามค่ำคืนไม่ใช่หญิงคณิกาที่เรียกแขกหรือถูกเชิญมาที่บ้านส่วนตัว ก็เป็นลูกสาวที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวในตลาดกลางคืน
เด็กสาวหน้าตางดงามไม่แต่งเติม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่ท่าทางงดงาม เห็นชัดยิ่งว่าไม่ใช่พวกแรก
บรรดาทหารตรวจการณ์รั้งสายตากลับเดินผ่านข้างร่างนางไป
คุณหนูจวินตอนนี้ถึงเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา สถานที่ซึ่งพวกเขาไปก็คือถนนใหญ่ตลาดกลางคืน
ถนนใหญ่ค่ำคืนฤดูร้อนไฟโคมสว่างไสว กลางแม่น้ำที่ตัดผ่านถนนย่อยเรือบุปผางดงามเปล่งประกาย เสียงดนตรีเสียงหัวเราะลอยล่องบนผิวน้ำ
คุณหนูจวินยืนอยู่บนสะพานมองเรือบุปผาใต้สะพาน กลิ่มสุรากลิ่นเครื่องหอมติดตามสายลมราตรีโถมปะทะใบหน้า
เรือบุปผาเช่นนี้ทำสิ่งใดนางรู้ชัดยิ่งนัก ดังนั้นไม่ได้สงสัย แต่ก็ไม่ได้หลีกหลบขัดเขิน
นี่มีอันใดให้หลีกหลบขัดเขิน นางไม่เพียงแค่รู้ ยังเคยขึ้นไปด้วย
เรื่องเช่นนี้แน่นอนเป็นท่านอาจารย์พานางไป
มองเห็นนางที่อยู่หลังร่างท่านอาจารย์ เฒ่าแก่ของเรือบุปผาประหลาดใจยิ่งนัก
“เด็กน้อยไหมเล่า สิ่งใดๆ ล้วนต้องรู้ เช่นนี้ภัยร้ายร้อยประการถึงไม่อาจกล้ำกรายได้” ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน
แน่นอนนางรู้ว่าเป้าหมายของท่านอาจารย์คือต้องการให้นางองค์หญิงผู้ร่างกายดั่งทองพันชั่งผู้นี้เขินอายจากไป
แต่นางเป็นคนที่ถูกทำให้เขินอายง่ายดายเช่นนั้นรึ?
องค์หญิงร่างกายดุจทองพันชั่งสิถึงจะร้อยภัยไม่กล้ำกราย
นางไม่เกรงใจสักนิดนั่งอยู่ในเรือบุปผาอย่างสง่าผ่าเผย มองบรรดานางคณิกาที่สวมใส่เปิดเปลือยร้องรำทำเพลง
การร้องรำบนเรือบุปผาไม่น่าเกลียด อาหารก็ออกจะอร่อยด้วย
คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินอดไม่ได้เม้มปากยิ้มทีหนึ่ง ไม่รู้กลิ่นหอมย่างไฟที่ไหนลอยมาอีก นางรั้งสายตากลับจากเรือบุปผา ก้าวว่องไวกระโดดลงสะพานไป เลี้ยวไปถึงด้านข้างถนนใหญ่
บนถนนใหญ่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดแล้ว ส่วนมากเป็นแผงลอยที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราวริมถนน ไฟเตาลุกโชน ตะเกียงเจ้าพายุแกว่งไกวส่องคนสองคนสามคนที่เดินมาบนถนน
แผงลอยเหล่าานี้ขายอาหารสารพัดอย่าง คุณหนูจวินยังมองเห็นทหารตรวจการณ์กลุ่มนั้นที่ผ่านไปเมื่อครู่ก็กำลังนั่งอยู่ที่แผงแห่งหนึ่งกินดื่มคุยเล่น
“คุณหนู อยากลองไหมขอรับ?” เฒ่าแก่แผงลอยร้องเรียก
คุณหนูจวินส่ายศีรษะมองข้ามถนนไป
นางที่จริงก็อยากเดินกินตลอดถนน แต่ออกมาลวกๆ ไม่ได้พกเงินมา
แต่ถนนสายนี้ดูไปแล้วก็ค่อนข้างน่าสนใจเหมือนกัน
ใครจะคิดถึงว่านางจะออกมาเดินเล่นบนถนนใหญ่ของเมืองหลวงหลังเที่ยงคืน
พี่สาวและน้องชายคิดไม่ถึง ลู่อวิ๋นฉีคิดไม่ถึง องค์ฮ่องเต้ก็คิดไม่ถึง
นางเองก็คิดไม่ถึง
ด้านข้างผู้ชายเมามายสามสี่คนยิ้มบิดเบี้ยวร้องเพลงที่ไม่รู้เรียนมาจากที่ใดโซเซผ่านมา เรียงหน้ากระดานครองเต็มถนน คุณหนูจวินหลบถอยไปที่ปากตรอกแห่งหนึ่ง มุมปากยิ้มมองผีขี้เมากลุ่มนี้ผ่านไป
ที่แท้ค่ำคืนของเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้
กำลังพักเท้ายืนอยู่ที่ปากตรอก คิดว่าจะกลับไปหรือว่าเดินต่อสักหน่อยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบามาจากด้านในตรองข้างหลังร่าง
ด้านนี้เป็นถนนครึกครื้น มีคนน้อยนักอาศัยอยู่ ไม่ใช่โรงน้ำชาร้านสุราก็เป็นร้านเครื่องหอมเครื่องประทินโฉม คุณหนูจวินหันกลับไปมองทีหนึ่ง ด้านในตรอกมืดสลัวอยู่บ้าง มีเพียงโคมไฟไม่กี่ดวงแขวนอยู่ไม่ไกลแกว่งไกว
มีเสียงหัวเราะเลือนรางดังมาจากด้านใน
ด้านในตรอกมีคนสี่ห้าคนกำลังเดินอยู่ รูปร่างมีสูงมีเตี้ยมีอ้วนมีผอม ล้วนเป็นผู้ชาย
ไม่รู้ว่าเดินออกมาจากบ้านหลังไหน แต่ไม่ได้เดินมาทางถนนใหญ่ด้านนี้ หันหลังให้เดินเข้าไปด้านใน
คุณหนูจวินมองผ่านทีหนึ่งรั้งสายตากลับยกเท้า
“…ข้าหลอกพวกเจ้าทำอะไร? พวกเจ้าได้ยินข้าไม่ผิด…”
เสียงผู้ชายลอยมาจากด้านในตรอก ราวกับไม่พอใจอยู่บ้าง เสียงขึ้นสูงนิดหนึ่ง
คุณหนูจวินวางเท้าลง หมุนตัวไปอีกครั้ง มุมถนนมีคนยกตะเกียงเจ้าพายุเดินเข้ามา ส่องใบหน้าประหลาดใจของคุณหนูจวิน
บังเอิญขนาดนี้?
จูจั้น?
นางมองเงาคนร่างสูงใหญ่ที่สุดในหมู่คนไม่กี่คนนั้นด้านในตรอกมืดสลัว
แม้มืดสลัวมองไม่ชัด แม้ยิ่งเดินยิ่งไกล แต่ตั้งใจมองก็จดจำได้
จูจั้น
ทำไมเขาก็มาเมืองหลวงด้วยแล้วเล่า
ฮ่องเต้ให้องครักษ์เสื้อแพรจับเขาเข้าเมืองหลวง เขาหนีไปครึ่งทางแล้ว
ต่อให้สถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ปลอดภัยที่สุด แต่ก็ไม่ควรมาเมืองหลวงสิ ต่อให้เตร็ดเตร่อยู่เหอหนานซานซีก็ยังปลอดภัยกว่า
เจ้าหมอนี่ คิดทำอะไรกัน?
คุณหนูจวินมองคนไม่กี่คนยิ่งเดินยิ่งไกลไปตามตรอก ลังเลนิดหนึ่งก็หมุนตัวติดตามไป
……………………………………….
[1] ถนนเสด็จพระราชดำเนิน (御街) ถนนที่เชื่อมตรงออกมาจากประตูชั้นต่างๆของวังจนออกนอกเขตวัง เป็นเส้นทางที่ราชรถขององค์ฮ่ฮงเต้จะเสด็จพระราชดำเนินเข้าออกวัง