เล่ม 1 ตอนที่ 221-1 ตระกูลสวินพ่ายแพ้ ประลองฝีมือ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 221-1 ตระกูลสวินพ่ายแพ้ ประลองฝีมือ

คนในตระกูลจีที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นด้านนอกจึงรีบออกมาดู ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ทุกคนอึ้งงัน

แม่ทัพน้อยมู่ผู้มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดิน กับประมุขตระกูลจีที่น่าเคารพและเกรงขาม ถึงขั้นกอดกันกลมประหนึ่งคู่รักที่พรากจากกันไปนานจนไม่อาจแยกจากกันได้ ทนดูไม่ได้ ทนดูไม่ได้…เลยจริงๆ!

จีเหล่าฮูหยินรู้สึกตัวชาหนึบไปครึ่งร่าง เลือดในกายเริ่มวิ่งย้อนกลับจนแทบจะพุ่งทะลุฉีกเครื่องศีรษะนางจนกระเจิดกระเจิง นางจับแขนหรงมามาไว้แน่น แรงจากมือที่ส่งมาแทบจะตัดเนื้อหรงมามาขาดเป็นชิ้นๆ

ตัวนางสั่นสะท้าน “ซั่งชิง! เจ้ากำลังทำอะไร!”

ตัวจีซั่งชิงเองก็ไม่รู้เช่นกัน เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร เหตุใดจึงควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้

ยิ่งพยายามฝืน ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น เสียงที่วิ่งออกจากปากก็เต็มไปด้วยความออดอ้อนออเซาะ เขาได้ฟังยังแทบอยากจะตายเสียให้ได้!

หลี่ซื่อยกมือปิดปาก นี่มันอะไรกัน นางตาฟาดหรือพี่ใหญ่บ้าไปแล้ว นางไม่รู้จักแม่ทัพน้อยมู่ บางทีเขาอาจจะเป็นคุณชายกระต่ายน้อยมาตั้งแต่กำเนิด แต่พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบสตรีหรอกหรือ เหตุใดถึง เหตุใดถึง…

หลี่ซื่อทนดูไม่ได้

เจินซื่อกลับเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ได้ยินว่าชิ่นจยาผู้นี้อยู่ในกรอบในธรรมเนียม ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางกับสาวใช้ ที่องค์หญิงเจาหมิงจากไปหลายปีแล้วไม่ยอมแต่งงานใหม่ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ เช่นนั้นที่หลันเจี่ยร์ต้องไปเฝ้าสุสานให้นายท่านอาวุโสก็อธิบายได้แล้ว ดูจากจังหวะเวลา หลันเจี่ยร์ต้องระเห็จออกจากบ้านตระกูลจีหลังแม่ทัพน้อยมู่มาปรากฏตัวพอดี ไม่รู้ว่าเพราะหลันเจี่ยร์ทนดูไม่ได้หรือเพราะถูกนายท่านจีกับแม่ทัพน้อยผู้นี้ร่วมมือกันบีบบังคับนางให้ออกไปกันแน่

จึ๊ น้ำเน่า น้ำเน่าสิ้นดี!

จีเหล่าฮูหยินหันไปมองจีเซิ่ง “เจ้าจะยังยืนบื้ออยู่ไย รีบไปดึงพี่ใหญ่เจ้ากลับมาสิ!

จีเซิ่งหลุดจากภวังค์ที่ถูกสายฟ้าฟาด เขาโยนของขวัญขอบคุณในมือทิ้ง สาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาหมายจะดึงตัวพี่ใหญ่ออกจากอ้อมแขนของแม่ทัพน้อยมู่

ใครจะรู้พอแตะถูกตัวพี่ใหญ่ ก็ถูกแม่ทัพน้อยมู่พุ่งฝ่ามือใส่จนกระเด็นออกไป

แม่ทัพน้อยมู่บ้าไปแล้ว: ใจข้าอยากจะเอาตัวเขาให้เจ้า…

จีซั่งชิงแทบอยากเป็นบ้าแต่กลับเอ่ยออกไปอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ “แม่ทัพน้อยมู่ แต่งงานกับข้า”

แต่งงานกับผีน่ะสิ!

เจ้าอายุตั้งเท่านี้แล้ว อย่ามายั่วยวนข้าอีกจะได้หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าลูกสะใภ้เจ้าก็มีใจให้ข้าน่ะ! คนแต่งงานแล้วแท้ๆ แต่เห็นได้ชัดว่านางยังดีกว่าเจ้าตั้งเยอะ!

แม่ทัพน้อยมู่: “ตกลง ซั่งชิง ข้าจะพาเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้”

พากลับทำบ้าอะไร! พากลับทำบ้าอะไร! พากลับทำบ้าอะไร!

แม่ทัพน้อยมู่แทบอยาจะเอามีดเสียบตัวเองตาย!

จีซั่งชิงคลื่นไส้จนแทบอยากอาเจียน!

สายตาของจีซั่งชิงดูอบอุ่นเหลือแสน “เจ้าช่างดีเหลือเกิน ท่านแม่ทัพ”

จีเซิ่งมองพี่ใหญ่ของตนอย่างพูดไม่ออก ขายหน้าเขาไหมนี่ รักร่วมเพศก็แล้วไปเถอะ! แต่ดีร้ายอย่างไรท่านก็ควรเป็นคนที่อยู่ข้างบนไหม!

แม่ทัพน้อยมู่หันมามองจีเซิ่ง: ยืนเฉยอยู่ไย รีบมาดึงตัวพี่ชายเจ้าไปสิ!

จีเซิ่ง: ข้ากลัวเจ้านี่!

แม่ทัพน้อยมู่: ขอร้องล่ะ เจ้าอย่าเพิ่งหมดความพยายาม!

จีเหล่าฮูหยินร้อนใจจนหัวหมุนไปหมด ร้องเรียกหาสาวใช้หญิงรับใช้ที่มีกำลังวังชามากเข้ามา แต่กระทั่งจีเซิ่งก็ยังไม่ใช่คู่ปรับของแม่ทัพน้อยมู่ คนเหล่านี้ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่

เมื่อทำอะไรไม่ได้ จีเซิ่งจึงจำต้องเรียกองครักษ์ประจำจวนเข้ามา เหล่าองครักษ์พอจะมีฝีมือติดตัวกันบ้าง แต่คิดจะ “แย่งอาหารออกจากปากเสือ” อย่างแม่ทัพน้อยมู่ก็ออกจะเกินความสามารถอยู่เล็กน้อย

แม่ทัพน้อยมู่ได้ทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าราชสีห์

เฉียวเวยเดินจากมาไกลแล้ว แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าอีกครั้ง

ปี้เอ๋อร์ถามว่า “มีอะไรหรือเจ้าคะ ฮูหยิน”

เฉียวเวยทำมือบอก “เจ้าลองฟังสิ”

ปี้เอ๋อร์หูดีสู้เฉียวเวยไม่ได้ ฟังอยู่นานก็ยังไม่ได้ยินอะไรสักที

เฉียวเวยหรี่ตาแล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางเรือนลั่วเหมยอีกครั้ง

บ่าวในเรือนลั่วเหมยล้มระเนระนาดกันอยู่บนพื้นพร้อมส่งเสียงร้องโอดโอย ทุกคนถูกแม่ทัพน้อยมู่เล่นงานด้วยกันทั้งสิ้น แม่ทัพน้อยมู่ใช้มือข้างหนึ่งปกป้องจีซั่งชิงที่อยู่ในอ้อมแขนเอาไว้ อีกมือหนึ่งคล้ายเป็นมีดเป็นดาบที่ฟาดฟันทุกคนที่เข้ามาอย่างดุดัน เล่นงานทุกคนที่หมายจะเข้ามาพรากพวกเขาออกจากกันให้ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น

ความอับอายอัดแน่นอยู่ในใจจีซั่งชิง ขาดแค่เอาหัวชนกำแพงตายเท่านั้น…

เฉียวเวยรีบไปยังที่ที่ทุกคนอยู่ แม่ทัพน้อยมู่กำลังประมือกับองครักษ์คนหนึ่ง องครักษ์ผู้นั้นพอมีความกล้าอยู่บ้าง กอดขาเขาไว้แน่นซ้ำยังอ้าปากจนเห็นฟันขาวแล้วกัดเขา แม่ทัพน้อยมู่อับอายจนกลายเป็นโกรธ เปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือ

ปล่อยสิวะ ไอ้โง่…

ฝ่ามือจะพุ่งเข้าไปจะฟาดใส่กระหม่อมองครักษ์ผู้นั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้!

องครักษ์ผู้นั้นใกล้จะถูกฝ่ามือฟาดใส่จนกะโหลกแยกเต็มที แต่ทันใดนั้น เงาสีขาวเงาหนึ่งก็พุ่งเข้ามา เข็มเงินในมือส่องประกายก่อนจะปักลงบนจุดชีพจรฉื่อเจ๋อของแม่ทัพน้อยมู่

คนฝึกวรยุทธ์ ในกายมีกำลังภายในวิ่งพล่าน หนึ่งในนั้นจุดชีพจรฉื่อเจ๋อนับเป็นจุดที่มีความสำคัญมาก หากปักเข็มลงตรงจุดนี้ขณะที่เจ้าตัวไม่ทันระวัง เส้นเอ็นในกายจะปั่นป่วน กำลังภายในสับสนหรือวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้หมดสิ้นพละกำลังลงชั่วระยะเวลาสั้นๆ

แม่ทัพน้อยมู่ถูกเข็มปักลงไปที่จุดนี้ ฝ่ามือจึงฟาดลงไปไม่สำเร็จ ค้างอยู่กลางอากาศทั้งอย่างนั้น

เฉียวเวยมือหนึ่งคว้าตัวจีซั่งชิง อีกมือหนึ่งจับตัวแม่ทัพน้อยมู่ยกขึ้น

ทุกคนเมื่อได้เห็นภาพที่ทรงพลังราวกับวัวถึกเช่นนั้นก็พากันตกใจจนตาโตอ้าปากค้าง

แต่แม่ทัพน้อยมู่เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง เข็มเมื่อครู่ทำให้เส้นเอ็นเขาปั่นป่วนได้ไม่นานเท่าไรนัก เมื่อเขากลับมาเป็นปกติ ก็จะประมือกับเฉียวเวยได้อย่างเต็มกำลังดังเดิม ซึ่งน่ากลัวว่าเฉียวเวยจะไม่ใช่คู่ปรับของเขา

เฉียวเวยมององครักษ์ที่เพิ่งรอดจากความตายมาได้ นางตะคอกเสียงต่ำว่า “อย่าเอาแต่ยืนบื้อสิ! มาเอาตัวท่านพ่อข้าไปเดี๋ยวนี้!”

“ขอ…ขอรับๆๆ!” องครักษ์เมื่อได้รับคำสั่ง ก็รีบกึ่งกลิ้งกึ่งคลานเข้ามาดึงแขนจีซั่งชิงไว้

ในใจจีซั่งชิงนึกยินดียิ่งนักแต่ก็จนใจที่ไม่อาจควบคุมร่างกายตนเองได้ เขาพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ยื่นมือออกไป ตะโกนร้องจนใจแทบขาด “แม่ทัพน้อยมู่…”

แม่ทัพน้อยมู่เองก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน “ซั่งชิง…”

เฉียวเวยถึงกับขนตั้งชันไปทั้งตัว

“แม่ทัพน้อยมู่…”

“ซั่งชิง…”

สาวใช้ทั้งหลายเห็นอย่างนั้นก็ถึงกับร้องไห้ออกมา สะเทือนใจเกินไปแล้ว ฮือๆ…

เฉียวเวยรู้สึกว่าตนเป็นหลวงจีนฝาไห่ ส่วนสองคนนี้เป็นสวี่เซียนกับปีศาจงูขาว

ความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวคนนั้นไร้ขีดจำกัด จีซั่งชิงดิ้นสู้แรงเกินไป องครักษ์หลายคนยังจับตัวเขาไม่อยู่

เฉียวเวยโก่งคอตะโกนว่า “วั่งซู!”

วั่งซูพาเอาขาอ้วนป้อมของตนเดินออกมา มืออวบอ้วนยื่นออกไปลากตัวจีซั่งชิงกลับไปยังเรือนพักได้อย่างง่ายดาย

คนอื่นที่เหลือ “…”

ความตกใจทั้งชีวิตเอามาใช้กับวันนี้จนหมดสิ้นแล้ว…

กู่ครองรักคู่นี้ฤทธิ์รุนแรงกว่าคราก่อนที่ใช้กับยิ่นอ๋องและเฉียวอวี้ซีเสียอีก ถึงอย่างไรคู่นั้นก็เป็นของเก่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ซ้ำยังเป็นตัวผู้กับตัวเมีย ส่วนคู่นี้เป็นตัวใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมา เมื่อผ่านวิวัฒนาการและพัฒนามาเป็นสิบปี ฤทธิ์จึงรุนแรงกว่าแมลงรุ่นก่อนมากนัก ซ้ำยังเป็นการร่วมมือระหว่างแมลงตัวผู้สองตัว จึงยิ่งมีฤทธิ์รุนแรงไม่อาจต้านทาน ต่อให้จีซั่งชิงกับแม่ทัพน้อยมู่แยกจากกันแล้ว แต่กลับไม่อาจฟื้นคืนสติได้ในทันที

หากเอาตัวแม่ทัพน้อยมู่กลับไปส่งยังวังหลวง เจ้าแมลงตัวนี้ยังร้องเรียกจะแต่งงานกับคู่ของมันอีก เช่นนั้นก็คงได้ขายหน้ากันไปใหญ่

เมื่อเห็นว่าวรยุทธ์ของแม่ทัพน้อยมู่ใกล้จะกลับมาเป็นปกติเต็มที เฉียวเวยจึงรีบให้คนไปเอาเชือกมาจับเขามัดไว้ให้แน่น แล้วใช้ผ้าอุดปาก ก่อนเอาตัวไปขังไว้ยังเรือนเล็กใกล้ๆ ที่ยังว่างอยู่

อาการของคนทั้งสองไม่ต่างจากยิ่นอ๋องกับเฉียวอวี้ซีเมื่อในอดีตสักนิด แค่เพียงดูจะรุนแรงกว่าอยู่เล๋กน้อย หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกเขาน่าจะถูกกู่ครองรักกัดเข้า เพียงแต่กู่ครองรักแต่งเป็นตัวผู้กับตัวเมีย กู่ตัวเมียจะไม่กัดบุรุษ แล้วเหตุใดพ่อสามีของนางถึงถูกกัดได้

หรือว่าแมลงกู่ตัวนี้จะหิวโหยจนไม่สนว่าเป็นชายหรือหญิงแล้ว

เฉียวเวยย่อมคิดไม่ถึงว่าแมลงกู่คู่นี้คือตัวผู้กับตัวผู้ที่ถูกใต้เท้าเจ้าสำนักเลี้ยงดูจนกลายเป็นลักเพศไป แต่กระนั้นเรื่องนี้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือของที่หาไม่ได้ในจงหยวนเช่นนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าแม่ทัพน้อยมู่นำมาเองจากหนานฉู่ เช่นนั้นสมองเขาคงน้ำเข้าจนเลอะเลือนไปแล้ว

บ่าวไพร่และองครักษ์ถูกจีเหล่าฮูหยินและหลี่ซื่อเรียกกลับไปที่เรือนลั่วเหมย เหลือเพียงสวินชิงเหยาที่นั่งแบะอยู่กับพื้นพร้อมสีหน้าซีดขาว

เฉียวเวยกวาดตามองนางด้วยสีหน้าราบเรียบทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหา นางใช้เท้าเขี่ยขาคนบนพื้นแล้วเตะขวดสองขวดออกมา

เฉียวเวยหยิบขวดขึ้นมาดูแล้วยกดมกลิ่น เป็นกลิ่นของกู่ครองรัก แววตานางดูอ่อนแสงลงเล็กน้อย กำขวดนั้นไว้แล้วถามสวินชิงเหยาว่า “ของใคร”

สวินชิงเหยาหลบสายตา กำแขนเสื้อไว้ด้วยความตระหนก “ข้า…ข้าไม่รู้”

เฉียวเวยก้มลงมองคนบนพื้น นัยน์ตาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง นี่ของใคร”

สวินชิงเหยาหดตัวด้วยความหวาดหวั่น กลั้นใจตอบไปว่า “…ข้าไม่รู้ว่าเป็นของใคร”

เฉียวเวยหรี่ตา โน้มตัวลงยื่นมือที่เรียวยาวของตนไปจับคางอีกฝ่ายไว้ บังคับให้เงยหน้าขึ้นมา

สวินชิงเหยาไม่ยอมสบตา ไม่ยอมมองหน้าเฉียวเวยตรงๆ

เฉียวเวยเพียงยิ้มบางๆ เอ่ยถามทีละคำว่า “ขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย นี่ของใคร”

สวินชิงเหยาถูกบีบคางจนรู้สึกเจ็บ นิ้วมืออีกฝ่ายเย็นจัด ราวกับน้ำแข็งสลักก็ไม่ปาน นางเอ่ยตะกุกตะกักอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ…”

“ไม่รู้จริงๆ” เฉียวเวยพึมพำพร้อมระบายยิ้ม ปล่อยนางแล้วยืดตัวตรงขึ้น

ในขณะที่สวินชิงเหยาคิดว่าตนจะรอดพ้นจากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วนั้น จู่ๆ เฉียวเวยก็ยกเท้าถีบหน้าอกนางจนหงายหลังลงไปอยู่บนพื้นที่ไม่อ่อนนุ่มนัก นางรู้สึกเจ็บที่แผ่นหลังและหน้าอกจนน้ำตาไหลออกมา

เฉียวเวยมองนางเรียบๆ นัยน์ตาไม่มีแววทะนุถนอมเห็นใจเลยสักนิด “ตระกูลสวินของพวกเจ้า มีคนอย่างสวินหลันคนเดียวก็พอแล้ว คิดจริงๆ หรือว่าทุกคนควรค่าให้กูหน่ายนายหาทางช่วยเหลือ ขวดนี่เป็นของเจ้าก็คือของเจ้า ไม่ใช่ของเจ้าก็เป็นของเจ้า เจ้าปากแข็งนักก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจ ที่พ่อสามีข้าเป็นเช่นนี้ คนมีตาล้วนมองออกว่าเขาถูกคนลอบเล่นงาน เจ้าเพิ่งมาที่บ้านตระกูลจี อาจจะรู้จักข้าไม่ดีเท่าไรนัก คนอย่างข้าต่อให้ฆ่าคนผิดไปพันคน ก็จะไม่ยอมปล่อยใครสักคนไปเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่ปากแข็ง ยิ่งในใจข้ามีไฟสุมมากเท่าไร เวลาลงมือก็จะยิ่งไม่รู้หนักเบามากเท่านั้น!”

สวินชิงเหยาตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

เจินซื่อเดินเข้าไปในห้องแล้วเห็นว่าบุตรสาวไม่ได้ตามมา จึงรีบออกมาตามหา จึงได้เห็นว่าบุตรสาวของตนถูกเฉียวเวยเหยียบอยู่ที่พื้น น้ำตาจากความเจ็บปวดไหลทะลักออกมา ไฟโทสะของเจินซื่อจึงแตกเปรี๊ยะๆๆ ออกมาทันที “นังคนแซ่เฉียว! เจ้าทำอะไรน่ะ ปล่อยลูกสาวข้านะ!”

เฉียวเวยหันไปมอง สายตาราบเรียบหยุดมองที่ใบหน้าอีกฝ่าย “ปล่อยนางไปน่ะได้ เจ้ามานอนแทนสิ”

เจินซื่อสะอึกไป

เฉียวเวยลงน้ำหนักที่ขามากขึ้น สวินชิงเหยารู้สึกว่ากระดูกของตนใกล้จะถูกบดจนแตกเต็มที “…ท่านแม่…ช่วย…ด้วย…”

คนที่สามารถยกตัวแม่ทัพน้อยมู่ขึ้นมาได้ด้วยมือเดียว เจินซื่อไม่กล้าใช้กำลังด้วย นางร้องเสียงหลงพลางวิ่งเข้าไปในห้อง “ช่วยด้วย! ฮูหยินน้อยจะฆ่าคนแล้ว! นางจะฆ่าเหยาเอ๋อร์แล้ว…”

จีเหล่าฮูหยินมีเรื่องให้ปวดหัวมากพออยู่แล้ว ใครจะมีเวลามาสนใจบุตรสาวตระกูลสวินคนหนึ่งอีก นางโบกมือบอกให้หรงมามาออกไปแทน

หรงมามาออกไปดูเสร็จก็กลับมารายงานว่า “ฮูหยินน้อยกำลังซักถามคุณหนูสวินเจ้าค่ะ ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวของกับคุณหนูสวินด้วย”

จีเหล่าฮูหยินจึงไม่สนใจอีก ทิ้งให้เจินซื่อร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในลานคนเดียว

ถึงอย่างไรสวินชิงเหยาก็เป็นคุณหนูผู้บอบบาง ถึงแม้จะไม่เคยใช้ชีวิตที่หรูหราอย่างตระกูลจี แต่กลับไม่เคยต้องกังวลเรื่องกินอยู่ นางมีคนปรนนิบัติรับใช้มาตั้งแต่เล็กจนโต หากว่ากันที่เรื่องจิตใจแล้ว นางยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของสวินหลันด้วยซ้ำ แล้วยังคิดว่าจะรอดพ้นจากมือของเฉียวเวยไปได้อีกหรือ นับว่าเกินตัวไปมากจริงๆ

แค่ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ นางก็เจ็บจนทนไม่ไหว “ขวดนี้…ขวดนี้ข้าเป็นคนเอามา!”

เฉียวเวยถามต่อ “เอามาจากไหน”

สวินชิงเหยาตอบเสียงสั่น “บุรุษ…บุรุษคนหนึ่ง…ให้ข้ามา…”

บุรุษ? เฉียวเวยลูบคางด้วยความสงสัย “เขาเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร เอาให้เจ้าที่ไหน”

สวินชิงเหยาตอบว่า “เขาเอาเข้ามาให้ข้าที่เรือน แต่เขาชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ข้าไม่รู้…”

เฉียวเวยเพิ่มแรงกดที่เท้าลงไปอีก

สวินชิงเหยาเจ็บจนร้องครวญคราง “ข้าไม่รู้จริงๆ! ข้าไม่รู้จริงๆ…”

เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “ข้าว่าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตาสินะ”