บทที่ 925 พลังปฐมยุคอันไร้ขีดจำกัด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 925 พลังปฐมยุคอันไร้ขีดจำกัด

เมื่อเผชิญกับฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรของเจียงเจวี๋ยซื่อ แสงเทพห้าสีพลันพุ่งขึ้นมาจากด้านหลังจอมเทพข่งเซวี่ย พุ่งตรงเข้าใส่เจียงเจวี๋ยซื่อ

พลังวิเศษเลิศล้ำสองวิถีเข้าปะทะกัน!

แสงเทพห้าสีพลันมอดสลายไป!

จอมเทพข่งเซวี่ยหน้าเปลี่ยนสี หลีกหนีทันที ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรโจมตีผ่านไป มิติพังทลาย ปราณฟ้าบุพกาลปั่นป่วนไหวกระเพื่อม ราวกับคลื่นพายุดำมืดพัดถล่มโลกา

ทั้งสองทะลุผ่านห้วงมิติที่มีแสงสว่างส่องวูบวาบเคลื่อนเข้ามารวมกัน พลังเวทกระแทกชนกัน ทำให้มิติพังทลายลงอีกครั้ง มิติลึกลับที่อยู่ลึกเข้าไปอีกชั้นปรากฏออกมา

ศึกใหญ่ระหว่างพวกเขาสองสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทุกคนในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามล้วนรับรู้ได้

หานฮวงมาอยู่ข้างกายหานชิงเอ๋อร์ เงยหน้ามองการต่อสู้

“คนผู้นั้นก็เป็นอริยะมหามรรคเหมือนกันหรือ แข็งแกร่งเหลือเกิน!”

หานชิงเอ๋อร์ถามด้วยความตื่นเต้น ก่อนหน้านี้ท่องเที่ยวอยู่ในจักรวาลดารานานหลายปี นางและหานฮวงสนิทสนมกับเจียงเจวี๋ยซื่อแล้ว ล้วนเห็นเจียงเจวี๋ยซื่อเป็นศิษย์พี่ ย่อมไม่อยากให้เจียงเจวี๋ยซื่อปราชัย ยิ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเจียงเจวี๋ยซื่อ

หานฮวงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ใช่แล้ว ตบะของอีกฝ่ายแกร่งกล้ากว่าศิษย์พี่เจียง พลังวิเศษนี้ก็เลิศล้ำยิ่ง หากมิใช่เพราะศิษย์พี่เจียงมีฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร เกรงว่าคงยากจะต่อกรได้”

“ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ เช่นนั้นศิษย์พี่เจียงจะไม่แพ้ลูกเดียวเลยหรือ”

หานเจวี๋ยเอ๋อร์ถามด้วยความแปลกใจ ครั้งนี้หานฮวงไม่ได้ตอบ แต่จับตามองการต่อสู้อย่างใกล้ชิด

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หานฮวงถึงได้กล่าวว่า “ไม่แพ้ แต่ก็เอาชนะไม่ได้ ต้องกล่าวเลยว่ากลับชาติกำเนิดมหาโชคของศิษย์พี่เจียงเลิศล้ำโดยแท้ ระหว่างต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปได้สารพัดรูปแบบ เพียงแต่ความสามารถในการทำความเข้าใจของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อสู้กันมาถึงตอนนี้ ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรยังโจมตีไม่ถูกตัวเขาเลย ถึงขั้นที่สามารถสรรค์สร้างพลังวิเศษชนิดใหม่ขึ้นตามความเปลี่ยนแปลงของกลับชาติกำเนิดมหาโชคได้ด้วย”

หานชิงเอ๋อร์ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจถึงความเลิศล้ำเลย สามารถสรรค์สร้างพลังวิเศษขึ้นระหว่างต่อสู้ได้ด้วยหรือ

เช่นนั้นต้องมีคุณสมบัติเลิศล้ำถึงเพียงใดกัน

หลายวันต่อมา

เจียงเจวี๋ยซื่อและจอมเทพข่งเซวี่ยยุติการต่อสู้แล้ว

ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเลย แต่สีหน้าของเจียงเจวี๋ยซื่อย่ำแย่กว่า

‘คนผู้นี้แข็งแกร่งมาก!’

เจียงเจวี๋ยซื่อคิดในใจ

จอมเทพข่งเซวี่ยเองก็คิดเช่นเดียวกัน อีกทั้งความกดดันของเขาก็มีมากกว่า

‘ถ้าสู้กันต่อไป หากแพ้ขึ้นมา จะไม่นำความเดือดร้อนมาให้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการอีกหรือ’

จอมเทพข่งเซวี่ยคิดถึงจุดนี้ พลันหรี่ตาลง เอ่ยด้วยรอยยิ้มจองหอง “เด็กน้อย คุณสมบัติของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้ามาพบข้าเข้า หากเทียบกับข้าแล้ว เจ้ายังด้อยกว่ามากโข หากมิใช่เพราะมีผู้ทรงพลังอยู่ในจักรวาลนี้ เจ้าตายแน่นอน!”

พอสิ้นเสียง จอมเทพข่งเซวี่ยก็หลบหนีไปทันที เลือนหายไปในชั่วพริบตา

เจียงเจวี๋ยซื่อหน้าเปลี่ยนสี สีหน้ามืดครึ้มจนแทบจะคั้นน้ำได้

อีกฝ่ายมองทะลุไปถึงตัวตนของท่านอาจารย์ได้ อาศัยเพียงจุดนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเขามากแล้ว!

หารู้ไม่ว่า จอมเทพข่งเซวี่ยเพียงหลับหูหลับตาอ้างไปมั่วๆ บังเอิญมั่วถูกพอดี

หลังจากเจียงเจวี๋ยซื่อแน่ใจว่าจอมเทพข่งเซวี่ยจะไม่ย้อนกลับมาแล้ว เขาถึงหันหลังกลับไปยังสถานที่บำเพ็ญ

หลิวเป้ยเห็นเขามีสีหน้าไม่สู้ดี ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ในเวลานี้จะพูดปลอบใดๆ ไปก็เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น เขาเชื่อว่าเจียงเจวี๋ยซื่อจะปรับสภาพจิตใจให้ดีขึ้นได้

หานเจวี๋ยที่อยู่ในอารามเต๋าก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน ที่ผ่านมาเขาเพียงทิ้งเสี้ยวเจตจำนงไว้สอดส่องการต่อสู้เท่านั้น ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว

เขาก็ไม่นึกโทษจอมเทพข่งเซวี่ยเช่นกัน ฟ้าบุพกาลถึงแม้จะกว้างใหญ่ แต่คิดจะหาสถานที่สงบปลอดภัยเพื่อฝึกบำเพ็ญกลับไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะสำหรับจอมเทพข่งเซวี่ยที่ในอดีตเคยเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งฟ้าบุพกาล สร้างศัตรูไว้มากเกินไป อีกทั้งมีที่พึ่งเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ย่อมเผชิญปัญหาจากทั่วสารทิศ

….

ฟ้าบุพกาลมืดมิด แดนบรรพกาลที่ถูกผ่าแยกเป็นสองส่วนดูคล้ายผืนทวีปสองผืนอยู่ติดกัน เวลานี้มีสิ่งมีชีวิตรวมตัวอยู่ที่แดนบรรพกาลนับไม่ถ้วนเลย แต่ละกลุ่มต่างเชิดธงของตนขึ้น เป็นตัวแทนเพื่อแยกแยะกลุ่มอิทธิพล ถึงขั้นที่มีอริยะมหามรรคเข้าร่วมด้วย หากว่าลองนับดูแล้วมีกลุ่มอิทธิพลไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันกลุ่มแน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจำนวนของผู้บำเพ็ญทั้งหมดเลย นั่นคือจำนวนตัวเลขที่น่ากลัวนัก

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยืนอยู่บนหลังคาของพระราชวังสีเงินยวงงามเพริศแพร้วหลังหนึ่ง ทอดสายตามองฟ้าบุพกาลที่อยู่ไกลออกไป

จ้านฝัวและแม่ทัพฟ้าทมิฬพลันปรากฏตัวขึ้น

“ฝ่าบาท กระหม่อมสืบพบร่องรอยของเจ้าเจดีย์โจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เขาและบุตรแห่งสวรรค์อีกหลายร้อยคนกลายเป็นหน่วยลาดตระเวนของแดนบรรพกาลไปแล้ว ต่างมีตบะระดับเสรีทั้งสิ้น กระหม่อมจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพฟ้าทมิฬรายงานเสียงขรึม

จ้านฝัวเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมเคยปะทะกับผู้ใต้บัญชาของดวงจิตบรรพกาลผู้นั้น ดวงจิตบรรพกาลผู้นั้นยังไม่มีเจตนาจะลงมือในตอนนี้ เกรงว่าคิดจะนั่งรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรับฟังเงียบๆ ทอดมองแดนบรรพกาลต่อไป

แม่ทัพเทพทั้งสองก็ไม่รบกวนเขา รอคอยด้วยความอดทน

ผ่านไปนานพักใหญ่

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา “แดนบรรพกาลจัดการยาก เราเดาว่าต่อจากนี้ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่”

จ้านฝัวถาม “จะไม่ช่วยเจ้าเจดีย์โจวผู้นั้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ยังมีบุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้นที่ติดตามวังสวรรค์ด้วย”

“ช่วยสิ ต้องช่วยแน่นอน แต่ไม่อาจเข้าปะทะตรงๆ ได้ เรากำลังรอคอยให้คนผู้หนึ่งมาถึงอยู่”

“ผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ”

จ้านฝัวและแม่ทัพฟ้าทมิฬสงสัย

เส้นสายเครือข่ายของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยากจะคาดเดาได้ ผู้ทรงพลังที่ผ่าแยกแดนบรรพกาลก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเชิญมา แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายยอมออกโรงเพียงครั้งเดียว

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหรี่ตาลง เอ่ยนามหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หลี่เอ่อร์”

จ้านฝัวและแม่ทัพทมิฬมีสีหน้าตกตะลึง

….

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งแสนปี

ตบะของหานเจวี๋ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เพียงแต่ยังมองไม่เห็นสัญญาณของการทะลวงขั้นในขณะนี้เลย

แม้ว่าจะเป็นเทพมารปฐมยุคระดับยอดมหามรรคก็ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญจนบรรลุระยะสมบูรณ์ได้ภายในไม่กี่แสนปี ถึงอย่างไรเทพมารฟ้าบุพกาลก็ยังไม่แน่ว่าจะฝึกบำเพ็ญจนบรรลุยอดมหามรรคได้เช่นกัน

หลังจากหานเจวี๋ยครบรอบปิดด่านฝึกบำเพ็ญสิ่งแรกที่ทำคือสอดส่องเทพมารชีวิตในโลกอนธการ

เทพมารชีวิตเริ่มสำรวจโลกอนธการแล้ว

สำหรับเขาแล้วโลกอนธการกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง แทบจะไร้ขอบเขตเสียด้วยซ้ำ หลังจากเขาไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกก็หยุดสำรวจแล้วฝึกบำเพ็ญต่อ

หานเจวี๋ยบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น คิดจะชุบเลี้ยงเทพมารชีวิตให้เป็นดวงจิตแห่งโลกอนธการ วันหน้าจะได้กลายเป็นเอกาจิตผู้ถ่ายทอดมรรคาแก่สิ่งมีชีวิตอนธการ

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงค่อยๆ ถ่ายทอดความเข้าใจส่วนหนึ่งในมรรควิถีส่วนหนึ่งให้เทพมารชีวิตอย่างเงียบเชียบ

เทพมารชีวิตไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้เลย หลงนึกว่าตนเกิดการตระหนักขึ้นหลังจากออกท่องโลกอนธการ

หานเจวี๋ยไม่กลัวว่าเทพมารชีวิตจะก้าวนำล้ำหน้าตนไป โลกอนธการเป็นของเขา เทพมารชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกอนธการผสานรวมกับโลกอนธการแล้ว ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าโลกอนธการได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแซงหน้าหานเจวี๋ยไปเลย

เขาถึงขั้นที่สามารถใช้พลังแห่งโลกอนธการบดขยี้เทพมารชีวิตโดยตรงได้ด้วยซ้ำ

หานเจวี๋ยสอดส่องเทพมารชีวิตอยู่ครู่หนึ่งก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

ดวงจิตบรรพกาลยังคงเป็นหนามตำใจเขาอยู่ ต้องทะลวงขั้นให้ได้ในเร็ววัน เพื่อทำลายล้างดวงจิตบรรพกาล!

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

นับตั้งแต่จอมเทพข่งเซวี่ยหนีไป จักรวาลดาราก็ไม่มีผู้ทรงพลังมารุกรานอีก มีผู้บำเพ็ญผ่านทางมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลังจากรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันแกร่งกล้าของของเจียงเจวี๋ยซื่อ ก็รีบจากไปกันหมด

เพียงพริบตาเดียว

เวลาผ่านไปสี่แสนปีแล้ว

ตบะของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นมากยิ่ง ถึงแม้จะยังไม่ทะลวงขั้น แต่เขารับรู้ได้ว่าพลังของตนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจริงๆ พลังปฐมยุคสะสมรวมกันจนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ภายในสี่แสนปีนี้พลังปฐมยุคของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

เสมือนพลังปฐมยุคไร้ซึ่งขีดจำกัด!

พลังยอดมหามรรคทั่วไปหากปะทะเข้ากับพลังปฐมยุคแล้ว จะสลายไปทันที กล่าวอีกนัยคือ ตอนนี้ระดับยอดมหามรรคแทบจะคุกคามหานเจวี๋ยไม่ได้เลย

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ตอนนี้ข้าสามารถสังหารดวงจิตบรรพกาลในเสี้ยววินาทีได้หรือยัง’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยร้อยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่ได้]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

‘ข้ามีโอกาสชนะดวงจิตบรรพกาลอยู่กี่ส่วน’

[มีโอกาสเอาชนะอยู่แปดส่วน]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

………………………………………………………………