บทที่ 927 ไม่อาจสังเกตเห็น ไม่อาจรับรู้ได้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 927 ไม่อาจสังเกตเห็น ไม่อาจรับรู้ได้

“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ พวกเราพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับล้านปี ช่วยเหลือพึ่งพากันมานานยิ่ง เจ้าอยากช่วยมรรคาสวรรค์ พวกเราก็จะร่วมด้วย!”

เทวทัณฑ์รายหนึ่งเอ่ยอย่างจริงจัง อีกสองเทวทัณฑ์ที่เหลือต่างก็เห็นด้วย

ในกลุ่มห้าเทวทัณฑ์ หานทั่วและอี๋เทียนมีชื่อเสียงมากที่สุด แต่อีกสามเทวทัณฑ์ไม่รู้สึกอิจฉาเลย เนื่องจากทุกครั้งที่เผชิญอันตรายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อี๋เทียนและหานทั่วล้วนพยายามช่วยเหลือพวกเขาอย่างเต็มที่ แม้ว่าตนจะต้องโดนหางเลขไปด้วยก็ตาม ไมตรีระหว่างพวกเขาแน่นแฟ้นยั่งยืนมาเนิ่นนานแล้ว

อี๋เทียนสบถว่า “มัวทำตัวหยุมหยิมเป็นยายแก่กันอยู่ไย ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น จำเป็นต้องแสดงละครฉากนี้อีกหรือ พวกเจ้าทั้งสามฟังให้ดี ติดตามพวกเราไปพิทักษ์มรรคาสวรรค์ ต่อสู้กับมารมรรคา ปรมาจารย์ฟ้าทลายอันใด ดวงจิตบรรพกาลอันใด พวกเราห้าพี่น้องจะสังหารให้สิ้น ชื่อเสียงยังจะไม่กึกก้องเลื่องลืออีกหรือ”

วาจาของเขาทำให้สามเทวทัณฑ์ที่เหลือยิ้มออกมา ตะโกนโห่ร้องตาม ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน

หานทั่วยิ้มอย่างจนปัญญา ทว่าในใจกลับอบอุ่นนัก

มีพี่น้องเช่นนี้ ชีวิตนี้ยังจะร้องขอสิ่งใดอีกเล่า

“ได้! เช่นนั้นพวกเราพี่น้องก็ไปด้วยกันเถอะ!”

หานทั่วหัวเราะเสียงดัง ไม่กลัวเทพมหาทัณฑ์จะได้ยินเลย ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้พูดจาหักหาญกันตรงๆ แต่รูปการณ์คือแตกหักกันแล้ว

ขณะที่ห้าเทวทัณฑ์กำลังจะจากไป นักพรตเต๋าเสินเผาก็ตามมาถึง

“ห้าเทวทัณฑ์ เรื่องนี้อย่าได้รีบร้อนไป มิสู้ไปรอที่อาณาเขตเต๋าของข้าก่อนดีหรือไม่”

นักพรตเต๋าเสินเผาประสานมือกล่าวยิ้มๆ ท่าทางเป็นกันเอง

ห้าเทวทัณฑ์มองหน้ากัน

ดวงตาอี๋เทียนกลอกกลิ้งเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปเถิด มีอะไรเอาไว้ค่อยคุยตอนไปถึงแล้ว!”

“ถูกต้องๆ!”

นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สายตาที่มองอี๋เทียนเปี่ยมด้วยความชื่นชม

หานทั่วลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้ารับ

….

คำสั่งของเทพมหาทัณฑ์ก็ไม่ได้แพร่กระจายไปในฟ้าบุพกาล แต่หลังจากเหล่าดวงจิตมหามรรคทราบว่าต้องเลือกยืนอยู่ฝั่งไหน กองกำลังที่มุ่งหน้าไปยังแดนบรรพกาลก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ

ดวงจิตมหามรรคที่ดูเหมือนจะสูงส่งอยู่เหนือสรรพสิ่ง ต่างครอบครองกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ที่แตกต่างกันไป ใต้สังกัดของกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ก็มีสายสัมพันธ์โยงใยกันไปมามากมาย ถ่ายทอดกันไปกลุ่มต่อกลุ่ม ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างยิ่ง ตราบใดที่กลุ่มอิทธิพลในฟ้าบุพกาลต้องการก้าวหน้า ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดล้วนจะตกอยู่ที่ดวงจิตมหามรรค

เมื่อเวลาผ่านไป แดนบรรพกาลก็ค่อยๆ สงบลงเพราะเหตุนี้

ฝั่งมรรคาสวรรค์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว

ภายในตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยะมารวมตัว

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ระยะนี้ดูเหมือนกองกำลังต่างๆ ล้วนไม่พุ่งเป้าไปที่แดนบรรพกาลต่อแล้ว เว้นแต่กลุ่มอิทธิพลที่อยู่ในอาณาเขตนี้”

บรรพชนพุทธเทวัญกล่าวว่า “หรือจะเป็นเพราะดวงจิตบรรพกาลแข็งแกร่งขึ้น”

“ผิดปกติยิ่ง แม้แต่สายสืบก็ลดลงไปกว่าครึ่ง”

ผานซินส่ายหน้าเอ่ยขึ้นมา เมื่อเอ่ยถึงแดนบรรพกาล ดวงตาเขาฉายแววหวาดหวั่นเล็กน้อย

เขาเคยลองบุกเข้าไปในแดนบรรพกาล ถึงแม้จะครอบครองป้ายคำสั่งพิฆาตมรรคาอยู่ ทว่าก็พ่ายแพ้กลับมาอย่างไม่เป็นท่า เกือบตายอยู่ด้านใน

สีหน้าของเหล่าอริยะล้วนเคร่งเครียดยิ่ง

สถานการณ์ต่างไปจากในอดีต ครั้งนี้ศัตรูเผยตัวแล้ว ทว่าไม่ได้เข้ามาโจมตีมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์ทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ทว่ากลับทำอันใดไม่ได้

ผู้ทรงพลังมากมายที่มุ่งหน้าไปยังแดนบรรพกาล ต่างพ่ายแพ้ทั้งหมด แรงกดดันของมรรคาสวรรค์ย่อมมหาศาลนัก

ฉิวซีไหลหรี่ตาลงกล่าวไปว่า “ข้าคิดว่าต้องมีคนผลักดันเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังแน่นอน บางทีดวงจิตบรรพกาลอาจจะร่วมมือกับกลุ่มอิทธิพลอื่น เป้าหมายในตอนนี้มีเพียงถล่มมรรคาสวรรค์กระมัง”

เหล่าอริยะได้ฟังวาจานี้ก็รู้สึกกระวนกระวาย

ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยได้ยินเองกับหูเลยว่าดวงจิตบรรพกาลจะคุกคามฟ้าบุพกาล

หากว่าดวงจิตบรรพกาลพุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์เท่านั้น หากเป็นไปตามนี้ ก็จะเหมือนกับเคราะห์ภัยครั้งก่อนๆ ต่อให้ศัตรูของมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือ

จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เช่นนี้ก็แปลว่าดวงจิตบรรพกาลได้รับความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นจึงกริ่งเกรงฟ้าบุพกาลขึ้นมา จำเป็นต้องเจรจาร่วมมือ กลุ่มอิทธิพลต่างได้แต่ยอมล่าถอยออกไป ถึงแม้ดวงจิตบรรพกาลจะคู่แค้นกับมรรคาสวรรค์ แต่มรรคาสวรรค์ก็แข็งแกร่งขึ้นตามวันเวลาเช่นกัน ในช่วงที่ดวงจิตบรรพกาลพักรักษาตัวอยู่นี้ จะต้องเตรียมดำเนินแผนโจมตีมรรคาสวรรค์อยู่แน่ ดูเหมือนเขาจะได้เปรียบ แต่มรรคาสวรรค์ก็ได้ประโยชน์เช่นกัน”

เหล่าอริยะพยักหน้ารับ รู้สึกว่ามีเหตุผล

สวีตู้เต้ากล่าวว่า “ในช่วงหลายแสนปีมานี้ ตบะของพวกเราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องกล่าวเลยว่าดวงชะตามรรคาสวรรค์มีประโยชน์จริงๆ พวกเราก็ใกล้จะพิสูจน์เสรีแล้ว”

เมื่อเอ่ยถึงตบะ เหล่าอริยะต่างยิ้มออกมา

การสังเวยดวงชะตามรรคาสวรรค์ ทำให้ตบะของเหล่าอริยะเพิ่มขึ้น มีอริยะเสรีถือกำเนิดขึ้นถึงสิบคนแล้ว และจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

ระดับอริยะเสรีในที่นี้เพียงบ่งชี้ถึงระดับพลังเท่านั้น เพราะอริยะมรรคาสวรรค์หาได้อิสระเสรีเช่นเดียวกับอริยะเสรีทั่วไปไม่ ต้องผูกติดกับมรรคาสวรรค์ไปตลอดกาล

เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยยิ้มๆ “ไม่ทราบเช่นกันว่าจะสามารถอาศัยดวงชะตามรรคาสวรรค์บ่มเพาะอริยะมหามรรคสักคนขึ้นมาได้หรือไม่”

สายตาของเหล่าอริยะมองที่เทพสูงสุดอู๋ฝ่า จอมอริยะเสวียนตูและผานซิน พวกเขาสามอริยะมีโอกาสสูงที่สุด

แม้ว่าพุทธสัจจะยุทธจะเป็นอริยะเสรีระยะสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่มาจากด้านนอก ไม่สามารถอาศัยดวงชะตามรรคาสวรรค์เพื่อทะลวงขั้นได้ ตบะของเขาค้างอยู่ในระดับเดิมมานานมากแล้ว หากไร้ซึ่งโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ ก็ยากจะพิสูจน์มหามรรคได้

สามอริยะเผชิญกับสายตาของเหล่าอริยะ ล้วนดูมีความมั่นใจอย่างยิ่งทั้งสิ้น

สำหรับระดับมหามรรค พวกเขาจำเป็นต้องคว้ามาให้ได้!

โดยเฉพาะจอมอริยะเสวียนตู!

หากเขาอยากนั่งในตำแหน่งผู้ดูแลอันดับสองอย่างมั่นคง ก็ต้องบรรลุสู่ระดับมหามรรคให้ได้ มิเช่นนั้นคงยากจะทำให้ผู้อื่นยอมสยบให้

“เรื่องแดนบรรพกาลให้จับตามองต่อไป ขณะเดียวกันการพัฒนาภายในมรรคาสวรรค์ก็ห้ามลดต่ำลง ต้องบุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลต่อไป ปริมาณของเมืองฟ้าบุพกาลก็ยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องวางรากฐานให้หนาแน่น พอถึงเวลาต้องห้ามไม่ให้มารมรรคาได้มีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่มรรคาสวรรค์” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

จอมอริยะเสวียนตูสั่งการ เหล่าอริยะพยักหน้ารับ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

เมื่อเหล่าอริยะแยกย้ายไปหมดแล้ว จอมอริยะเสวียนตูถึงได้แสดงสีหน้าเป็นกังวล

ความแข็งแกร่งของดวงจิตบรรพกาลเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

‘แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังรับมือกับศัตรูด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ แล้วมรรคาสวรรค์จะสังหารดวงจิตบรรพกาลได้หรือ’

จอมอริยะเสวียนตูคิดเงียบๆ

เขาหวนนึกถึงมหันตภัยในวันวานเหล่านั้น หานเจวี๋ยมักจะพิชิตศัตรูได้อย่างทรงอานุภาพเสมอ จุดนี้จึงทำให้เขามีความมั่นใจ

หากไม่มีหานเจวี๋ย เขาไหนเลยจะกล้ากลับมาดูแลมรรคาสวรรค์อย่างไร้ซึ่งความลังเล

‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องเชื่อใจเขา เชื่ออย่างถึงที่สุด!’

พอคิดเช่นนี้แววตาของจอมอริยะเสวียนตูก็แน่วแน่ขึ้นมา เขารู้ตัวดียิ่งนัก ต่อให้ความสามารถดูแลจัดการของตนจะยอดเยี่ยมแค่ไหน มรรคาสวรรค์ก็ยังต้องการการปกป้องจากอริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพึ่งพาหานเจวี๋ย ต่อให้กลับไปอยู่ใต้สังกัดเหล่าจื่อ ก็ต้องเผชิญกับการถูกกีดกันเช่นกัน

เมื่อเลือกแล้วก็ต้องเดินไปให้สุดทาง นั่นคือวิถีทางที่ถูกต้อง!

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ช่วงเกือบหนึ่งแสนปีมานี้พลังปฐมยุคในร่างเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง แข็งแกร่งขึ้นมหาศาล

ตอนนี้พลังของเขาบรรลุถึงจุดที่ยากจะบรรยายออกมาได้ เขาสามารถทำลายล้างมรรคาสวรรค์ได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียวเท่านั้น

เป็นความแข็งแกร่งระดับนั้น!

พลังปฐมยุคไม่จำเป็นต้องกระทบเข้ากับร่างศัตรูเท่านั้นถึงจะทำลายร่างต้นได้ แต่สามารถโจมตีศัตรูในรูปแบบที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจจินตนาการถึงได้

สัมผัสถึงไม่ได้ ไม่อาจสังเกตเห็น ไม่อาจรับรู้ได้ ทว่ามีพลังทำลายล้างคุกคามชีวิตอย่างเผด็จการนัก!

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง หานเจวี๋ยมิใช่ระดับยอดมหามรรคแล้ว บรรลุถึงระดับหนึ่งที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก เพียงแต่ยังสู้ผู้สร้างมรรคาไม่ได้ก็เท่านั้น

หานเจวี๋ยมองเข้าไปในโลกอนธการ

เทพมารชีวิตกำลังเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ในดาวดวงหนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมามีเทพมารฟ้าบุพกาลอีกสามตนถือกำเนิดขึ้นจากปราณฟ้าบุพกาลอีกสามกลุ่ม ต่างอาศัยอยู่กันคนละทิศทาง

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในอีกหนึ่งล้านปีให้หลังจะมีเทพมารฟ้าบุพกาลจำนวนมากถือกำเนิดขึ้นจากปราณฟ้าบุพกาลแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้นโลกอนธการจะรุ่งโรจน์ถึงเพียงใดกันเล่า

หานเจวี๋ยตั้งตารอยิ่งนัก!

………………………………………………………………