ตอนที่ 892 คิดเพ้อฝัน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 892 คิดเพ้อฝัน

ไป๋ชิงเจวี๋ยดวงตาบวมก่ำ ชายหนุ่มค่อยๆ ลงจากหลังม้า ลำคอของเขาจุกแน่นราวกับมีสิ่งใดขวางกั้นอยู่จนกล่าวสิ่งใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มมองดูไป๋จิ่นเจาวิ่งมาทางเขา จากนั้นอ้าแขนรับน้องสาวมากอดไว้ในอ้อมกอด

“พี่ชายเจ็ด ในที่สุดท่านพี่ก็กลับมาแล้ว! ท่านแม่และพวกข้าล้วนคิดว่าพี่ชายเจ็ดไม่อยู่แล้ว เสี่ยวสือชีเสียชีวิตไปแล้ว บันทึกสถานการณ์รบกล่าวว่าพี่ชายเจ็ดก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน ท่านแม่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว วันๆ เอาแต่สวดมนต์ภาวนาเจ้าค่ะ…”

เมื่อได้ยินเสียงน้องสาวร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน ไป๋ชิงเจวี๋ยกำแส้ม้าในมือแน่น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะของไป๋จิ่นเจาอย่างแผ่วเบา จากนั้นกล่าวขอโทษเสียงอ่อนโยน“เป็นความผิดของพี่เอง พี่กลับมาช้าเกินไป ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว!”

ฟางซื่อนั่งจิบชาอยู่ในเรือนของตัวเอง เมื่อได้ยินข่าวการมีชีวิตรอดของไป๋ชิงเจวี๋ยจึงงผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอันใดนะ! คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ! ไป๋ชิงเจวี๋ยบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกของไป๋ฉีชวนนายท่านสี่ของตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ!”

ผูหลิ่วที่เดินเข้ามารายงานข่าวนี้ด้วยรอยยิ้มตกใจกับปฏิกิริยาของฟางซื่อ นางรีบพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าค่ะ นายท่านให้ฮูหยินเปิดคลังสมบัติเลือกของแสดงความยินดีเตรียมไว้เจ้าค่ะ เดี๋ยวช่วงบ่ายนายท่านกลับจะมานำของไปที่จวนไป๋ด้วยตัวเองเจ้าค่ะ…”

ฟางซื่อได้ยินก็เซล้มลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง “คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลไป๋กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ…”

“ฮูหยินเจ้าคะ” ผูหลิ่วเห็นใบหน้าของฟางซื่อซีดเผือดจึงคิดว่าฟางซื่อไม่สบาย นางรีบเดินเข้าไปไกล “ฮูหยินเป็นอันใดไปเจ้าคะ”

“หาก…คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลไป๋กลับมาแล้ว อาผิงของข้าก็ไม่มีหวังในราชบัลลังก์นั้นแล้วสิ” ดวงตาของฟางซื่อแดงก่ำขึ้นมาทันที น้ำตาคลออยู่ที่ดวงตา ทั้งๆ ที่อาผิงสนิทสนมกับไป๋ชิงเหยียนถึงเพียงนั้น ต่อให้ไป๋ชิงเหยียนไม่แต่งตั้งอาผิงเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ทว่า หากอาผิงแต่งงานมีครอบครัวก็สามารถให้ไป๋ชิงเหยียนรับบุตรของอาผิงไปเป็นบุตรบุญธรรมและสืบทอดบัลลังก์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปได้

ตั้งแต่ที่รู้ข่าวการขึ้นครองราชย์ของไป๋ชิงเหยียน ฟางซื่อเอาแต่คิดทบทวนอยู่ทุกวัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็รู้สึกว่าหากไป๋ชิงเหยียนจะยกบัลลังก์ต่อให้ผู้อื่น หากนางไม่ยกให้อาผิง นางก็ต้องเลือกรับบุตรในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ค่อนข้างสนิทสนมไปเป็นบุตรบุญธรรมสักคน ไม่ว่าอย่างไรตัวเลือกนั้นก็ต้องเป็นอาผิงอยู่ดี

ดังนั้นสองสามวันก่อนฟางซื่อจึงส่งคนไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายของตัวเองฟัง ให้พี่ชายของตนยกบุตรสาวให้แต่งงานกับอาผิงและรีบมีทายาทโดยเร็วที่สุด หากได้บุตรชาย…วันหน้าผู้ที่ได้สืบทอดบัลลังก์แห่งนั้นต้องคือหลานชายของนางแน่นอน

ทว่า บัดนี้ไป๋ชิงเจวี๋ยกลับมาแล้ว ไม่ว่าจะมองจากสายเลือดหรือความสัมพันธ์…คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลไป๋ล้วนสนิมทสนมกับไป๋ชิงเหยียนมากกว่าอาผิงอยู่แล้ว ต่อให้ไป๋ชิงเหยียนจะรับบุตรบุญธรรม นางก็ต้องเลือกรับบุตรของไป๋ชิงเจวี๋ยแน่นอน เช่นนี้นางจะทำเช่นไรดี

หากเป็นเช่นนี้บัลลังก์ที่อยู่ตรงหน้านางก็จะหลุดลอยไปในทันที!

เมื่อผูหลิ่วฟังคำกล่าวของฟางซื่อจบจึงเบิกตาโพลงขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง “ฮูหยิน ต่อให้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลไป๋ไม่กลับมา คุณชายของเราก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบัลลังก์นั่นอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

เหตุใดจึงมีความคิดเพ้อฝันเช่นนี้กัน!

“เจ้าจะไปเข้าใจอันใด! คนใตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่สนิทสนมกับไป๋ชิงเหยียนที่สุดมีเพียงอาผิงของข้าเท่านั้น ตอนนั้นนางไร้ที่พึ่งพาจึงได้แต่พึ่งพาอาผิงของข้า ทว่า บัดนี้ไป๋ชิงเจวี๋ยกลับมาแล้ว อาผิงของข้าคงโดนเขี่ยทิ้งแน่!”

“ฮูหยิน!” ผูหลิ่วอุทานออกมาอย่างตกใจ “นั่นคือฝ่าบาทนะเจ้าคะ เหตุใดถึงกล้าเอ่ยนามของพระองค์เช่นนี้เจ้าคะ”

ฟางซื่อกำลังเสียใจ นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือพลางกล่าวเสียงสะอื้น “ข้าเอ่ยอยู่แต่ใจจวนของข้ามันจะเป็นอันใดไป”

ผูหลิ่วเห็นใบหน้าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมของฟางซื่อจึงไม่ได้กล่าวโน้มน้าวอีก นางได้แต่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น

จวนไป๋

เมื่อฮูหยินสี่หวังซื่อได้รับรายงานว่าไป๋ชิงเจวี๋ยกลับมาแล้ว นางจึงรีบไปที่เรือนหน้าด้วยความตื่นเต้นปนดีใจ เมื่อเห็นต่งซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อต่างมากันพร้อมหน้าแล้ว หวังซื่อจึงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแล้วทำความเคารพต่งซื่อ “ได้ยินว่าอาเจวี๋ยกลับมาแล้ว ข้า…ข้า…”

“เอาล่ะ” ต่งซื่อตบไปที่ฝ่ามือของหวังซื่อเบาๆ จากนั้นประคองให้นางลุกขึ้น “พวกเราไปรอต้อนรับเขาที่หน้าจวนเถิด”

หวังซื่อพยักหน้า น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย นางเดินออกไปนอกจวนพร้อมกับฮูหยินคนอื่นๆ เพื่อรอต้อนรับคุณชายตระกูลไป๋ไป๋ชิงเจวี๋ยที่ฟื้นคืนชีพจากความตายและไม่ได้กลับมาบ้านนานถึงสามปี

ข่าวการกลับมาของคุณชายเจ็ดไป๋ชิงเจวี๋ยแห่งตระกูลไป๋แพร่ไปทั่วเมืองซั่วหยางอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่รับรู้ข่าวต่างพากับไปรอต้อนรับที่หน้าจวนไป๋พร้อมกับบรรดาฮูหยินตระกูลไป๋เพราะต้องการยลโฉมใบหน้าของคุณชายเจ็ด

ฮูหยินสี่หวังซื่อชะโงกหน้ามองไปที่ถนนอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนขึ้นมาว่า “มาแล้ว มากันแล้ว!” หวังซื่อถลกชายกระโปรงเดินลงจากบันไดไปหนึ่งขึ้น นางเห็นคนสามคนขี่ม้าตรงมาตามถนนยาวท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า

คนหนึ่งคือไป๋จิ่นเจา คนหนึ่งคือเสิ่นคุนหยาง ส่วนอีกคนคือบุตรชายของนาง…ไป๋ชิงเจวี๋ย

เมื่อหวังซื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายตัวเอง น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องน่ายินดี ทว่า เหตุใดนางจึงรู้สึกปวดใจเช่นนี้ หวังซื่อกุมเสื้อบริเวณหน้าอกแน่น น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย

เมื่อไป๋ชิงเจวี๋ยมองเห็นมารดาและคนตระกูลไป๋ที่ยืนอยู่หน้าประตูจวน ขอบตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นทันที ดวงตาเริ่มพร่ามัว เขารีบเร่งขี่ม้าตรงไปหามารดาของตัวเองที่ยืนอยู่หน้าจวนไป๋

ไป๋ชิงเจวี๋ยที่ถึงจวนไป๋เป็นคนแรกกระตุกบังเหียนม้าให้หยุดลง ชายหนุ่มมองไปทางมารดา ท่านป้าและอาสะใภ้ของตัวเอง ลำคอของเขาร้อนผ่าว เขาปล่อยบังเหียนม้าแล้วลงจากหลังม้า จากนั้นก้าวไปคุกเข่าลงตรงหน้าจวนไป๋ ชายหนุ่มถอดหมวกเกราะออก จากนั้นก้มศีรษะคำนับแนบพื้น เขาพยายามกลั้นน้ำตาพลางตะโกนออกมาเสียงสะอื้น “คุณชายเจ็ดของตระกูลไป๋ไป๋ชิงเจวี๋ยแห่งค่ายทหารโหยวหลงกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ”

เมื่อหวังซื่อได้ยินคำรายงานตัวของบุตรชายก็รีบเดินลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็ว

ไป๋ชิงเจวี๋ยหยัดกายตรง สบตากับมารดาของตัวเองนิ่ง ทว่า สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาเอ่ยเรียกมารดาเสียงสะอื้น “ท่านแม่…”

หวังซื่ออยากเอ่ยตอบบุตรชาย ทว่า ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกปวดใจราวกับถูกใบมีดกรีดเช่นนี้ นางได้แต่เปล่งเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมาพลางรั้งตัวบุตรชายเข้ามากอดแน่น จากนั้นคุกเข่าลงพร้อมบุตรชาย

หวังซื่อใช้มือที่เปียกชื้นประคองใบหน้าของบุตรชายขึ้น นางมองสำรวจใบหน้าที่ยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายคลึงกับสามีของบุตรชาย จากนั้นลูบไล้ใบหน้าของบุตรชายไม่หยุดหย่อนราวกับกลัวว่านี่เป็นเพียงความฝัน

นางคิดว่านางจะไม่มีโอกาสได้ยินบุตรชายเรียกนางว่าท่านแม่อีกแล้ว นางคิดว่าสามีปกป้องบุตรชายของนางไว้ไม่ได้ทำให้บุตรชายของนางเสียชีวิตลงที่หนานเจียงทั้งหมด

“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเจวี๋ยเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้มารดา “ข้ากลับมาแล้วขอรับ ข้ากลับมาช้าเกินไป…”

กล่าวกันว่าบุรุษไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ ทว่า การได้พบหน้าของครอบครัวอีกครั้งหลังผ่านความเป็นความได้มาทำให้ไป๋ชิงเจวี๋ยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

ใจของหวังซื่อแทบสลาย นางกอดบุตรชายแน่นพลางเงยหน้าเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา

เมื่อก่อนนางเคยโกรธเกลียดเทวดามากเท่าใด บัดนี้นางก็รู้สึกขอบคุณพวกเขามากเท่านั้น ขอบคุณที่เทวดามอบอาเจวี๋ยคืนมาให้นาง!

ต่งซื่อ หลี่ซื่อและฉีซื่อยืนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่หน้าจวนไป๋ ต่งซื่อกล่าวขึ้นเป็นคนแรก “เอาล่ะ! มาร้องไห้กันอยู่นอกจวนเช่นนี้ใช้ดีที่ใดกัน อาเจวี๋ยเพิ่งกลับมาเหนื่อย เราเข้าไปคุยกันต่อในจวนเถิด!”