ภาค-5 ตอนที่ 110 พานพบกลางทาง (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ในใจข้าพลันปีติยินดี ในที่สุดก็ได้ความจริงประโยคหนึ่งมาแล้ว ดูท่าชีวิตข้าจะปลอดภัยไร้กังวล ข้ารีบเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอท่านประมุขโปรดแถลงไข” ลืมเลือนท่านั่งที่ไร้มายาทกับสภาพที่เรียกได้ว่าดูน่าเวทนาของข้าไปอย่างสิ้นเชิง

จิงอู๋จี๋ยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อผู้แซ่จิงลงมาจากหอกล้วยไม้ย่อมเท่ากับสละฐานะราชครูแล้ว หากหมายจะสังหารคน ไฉนยังต้องพะวงสิ่งใดอีก แม้ท่านยกเหตุผลมานับไม่ถ้วน แต่ความจริงแล้วการสังหารท่าน สำหรับข้าแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่าขมวดคิ้วหนหนึ่ง ไยต้องขบคิดถึงความรู้สึกของอวี้เฟย แล้วยิ่งมิต้องคำนึงถึงตำแหน่งฐานะอันใด ส่วนจะมีหรือมิมีประโยชน์ยิ่งมิจำเป็นต้องพิจารณา ต่อให้ข้าต้องการสังหารท่านเพียงเพื่อระบายโทสะก็มิมีผู้ใดเปลี่ยนความตั้งใจของข้าได้ เหตุผลเพียงประการเดียวที่วันนี้ข้ามิได้เอาชีวิตท่านก็คือข้ามิได้ต้องการสังหารท่านตั้งแต่แรก”

ข้าฟังแล้วเหงื่อกาฬหลั่งทั่วร่าง อันตรายนัก อันตรายนัก ดูจากสีหน้าจริงใจยามจิงอู๋จี๋เอ่ยวาจาก็ทราบแล้วว่าสิ่งที่เขากล่าวมิมีคำลวงแม้แต่น้อย เขามิต้องการสังหารข้าเท่านั้นจริงๆ แม้มิทราบว่าเพราะเหตุใด แต่ที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้เพราะสวรรค์คุ้มครองโดยแท้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็รีบกลับไปนั่งคุกเข่า แสดงท่าทางอันมีมารยาทที่สุดออกมา แล้วกล่าวขึ้นว่า “ขอบพระคุณท่านประมุขที่มิสังหาร มิทราบว่าเดินทางมาหนนี้ท่านประมุขมีสิ่งใดต้องการชี้แนะ หากเจียงเจ๋อมีสิ่งใดทำประโยชน์ให้ได้ จะมิปฏิเสธแน่นอน”

จิงอู๋จี๋ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ เขาได้ยินชื่อของเจียงเจ๋อมานานแล้ว แม้เขากับเจ้าสำนักเฟิงอี้เคยต่อสู้เอาชีวิตกัน แต่ระหว่างทั้งสองคนกลับไม่มีความเป็นอริแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเกิดความรู้สึกชื่นชมในตัวอีกฝ่าย แม้นับจากนั้นจะมีขุนเขาและด่านขวางกั้น แต่มิมีสักเพลาที่เขาลืมเลือนโฉมสะคราญอาภรณ์สีขาวเปื้อนโลหิตในวันนั้น

หลังจากได้ข่าวว่าฟ่านฮุ่ยเหยาสิ้นใจในพระราชวังเลี่ยกง จิงอู๋จี๋ก็คิดหาสารพัดวิธีสืบข่าวจนรู้ความเป็นไปทุกสิ่งตั้งแต่ตั้นจนจบ แม้บางเรื่องมิมีผู้ใดล่วงรู้ มิมีผู้ใดเล่าต่อ แต่ความเป็นไปคร่าวๆ ในเรื่องราวเหล่านั้นเขาก็พอทราบอยู่แปดถึงเก้าส่วน

ผู้ที่บีบให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ตายก็คือชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือจิงอู๋จี๋กลับมิมีความชิงชังในหัวใจแม้แต่น้อย ชายหนุ่มผู้นี้ใช้ขุมกำลังที่มีอยู่ในครอบครองทั้งหมดได้จนถึงขีดสุด จนเขามีแต่ความต้องการจะเอาชนะชายหนุ่มผู้นี้ในด้านสติปัญญาให้ได้ในสักวันเท่านั้น

แม้แต่การส่งชิวอวี้เฟยกับต้วนหลิงเซียวไปลอบสังหารทั้งสองหน สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังเป็นการต่อสู้ด้วยสมองและความกล้าหาญของทั้งสองฝ่าย มิได้อาศัยเพียงวรยุทธ์อันกล้าแข็งเข้าหักหาญเพียงอย่างเดียว น่าเสียดายสุดท้ายก็ล้มเหลว

ข่าวความพ่ายแพ้ที่ตงชวนส่งมาถึงแล้ว สถานการณ์ฝั่งเป่ยฮั่นก็แทบจะกอบกู้กลับมามิได้แล้ว แม้จิ้นหยางยังมีกำลังพอต่อสู้อยู่ แต่ก็เป็นเพียงลมหายใจอันรวยริน ผู้ที่พ่ายแพ้หนนี้มิใช่ใครอื่น แต่คือตัวเขาจิงอู๋จี๋ การวางหมากทั่วหล้ากลายเป็นเพียงคำพูดเพ้อเจ้อ แม้แต่ศิษย์รักของตนก็พ่ายแพ้ในมือเจียงเจ๋อทีละคน แม้หนนี้พรรคมารมิสูญเสียกำลังแต่ก็พ่ายแพ้ยับเยิน จะมิให้เขาคิดอยากจะพบหน้าบัณฑิตอ่อนแอผู้จับวีรบุรุษนับมิถ้วนมาเล่นอยู่บนฝ่ามือคนนี้ด้วยตนเองได้เช่นไร

ไฉนเลยจะรู้ว่ายินชื่อเสียงมิสู้พบหน้า วันนี้ได้พานพบจึงเพิ่งตระหนักว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง ทั้งที่อยู่ต่อหน้าตนเอง แต่ชายหนุ่มผู้นี้ประเดี๋ยวก็นอบน้อม ประเดี๋ยวก็ทำตามใจ แปรเปลี่ยนไปมาจนทำให้เขาเกิดความรู้สึกจับทางมิถูก แต่ถึงกระนั้นเขากลับมีท่าทางเป็นธรรมชาติจนทำให้คนรู้สึกว่าความจริงแล้วเขาซื่อตรงจริงใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมิมีความหวาดกลัวและระแวงแม้แต่น้อย

การเผชิญหน้ากับเขาเสมือนดื่มน้ำข้าวหมาก ละม้ายคล้ายอาบสายลมวสันต์ ฉับพลันทันใดก็ค้นพบอย่างน่าตระหนกว่าตนเองจนมุมเสียแล้ว สถานการณ์ของชิวอวี้เฟยในวัดวั่นฝัววันนั้น ยามนี้จิงอู๋จี๋เพิ่งจะได้สัมผัสกับตนเองอย่างเต็มที่ จิงอู๋จี๋เหลือบมองศิษย์รักด้วยสายตาเห็นใจ แล้วกล่าวว่า “วันนี้ได้พานพบกันกลางทาง นับว่าเป็นเรื่องยาก ฉู่เซียงโหวยอมไว้ไมตรีให้พรรคมารของข้าหลายครั้งหลายหน คิดว่าคงจะมีคำพูดต้องการเอ่ยกับข้า ใช่หรือไม่”

ข้ากล่าวตอบอย่างสุขุม “ในเมื่อท่านประมุขกล่าวถึงเรื่องนี้ เจียงเจ๋อก็มิกล้าปิดบัง หากเจียงเจ๋อมีเจตาร้ายต่อพรรคมาร วันนั้นย่อมมิมีทางปล่อยคุณชายใหญ่ต้วนต้วนหลิงเซียว ศิษย์เอกของท่านประมุขไป วันนั้นพวกเรายังเป็นศัตรู อีกทั้งแพ้ชยะยังมิอาจทำนายได้ ดังนั้นเจียงเจ๋อจึงมิได้เอ่ยอันใดมาก แต่วันนี้ท่านประมุขเดินทางมาด้วยตนเอง พอดีได้เจรจาเรื่องนี้ ความจริงต่อให้ท่านประมุขมิพูด รอจนถึงวันที่ปิดล้อมจิ้นหยาง เจียงเจ๋อก็จะไหว้วานน้องอวี้เฟยช่วยแนะนำให้พบหน้าเช่นกัน”

จิงอู๋จี๋กล่าวอย่างเย็นชา “ท่านคิดจะเกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์หรือไร”

ข้ายิ้มละไมตอบว่า “ท่านประมุขเป็นบุคคลระดับใด ไฉนจะคุกเข่ายอมสวามิภักดิ์ คำว่าสวามิภักดิ์คำนี้อย่าเอ่ยถึงเลยดีกว่า เจียงเจ๋อเพียงมายื่นข้อเสนอหนึ่งแทนฝ่าบาทเท่านั้น เมื่อจิ้นหยางถูกโอบล้อมจะเป็นเวลาแห่งการล่มสลายของเป่ยฮั่น ในอดีตท่านประมุขพ่ายแพ้ในจงหยวนมาหนหนึ่งจึงหลบหนีมายังแดนเหนือ ฝ่าบาทเพียงหวังว่าหลังจากเป่ยฮั่นล่มสลาย ท่านประมุขจะมิเดินทางไปหนานฉู่อีก”

จิงอู๋จี๋ทำท่าเหมือนขบคิดบางสิ่ง “เจตนาของจักรพรรดิแห่งต้ายง ผู้แซ่จิงเข้าใจ ช่วงเวลาสำคัญแห่งการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งมาถึงแล้ว หากผู้แซ่จิงเดินทางไปหนานฉู่ แม้สุดท้ายจักรพรรดิต้ายงมีหนทางแก้ไข แต่ก็คงยุ่งยากยิ่งนัก”

ข้ายิ้ม “ความจริงเงื่อนไขนี้มิจำเป็นต้องเสนอขึ้นมาก็ได้ ท่านประมุขเป็นบุคคลเช่นไร เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นปรีชาสามารถ เคารพท่านประมุขอย่างยิ่งจึงได้รับความโปรดปรานจากท่านประมุข ส่วนหนานฉู่ราษฎรขี้ขลาด เจ้าแผ่นดินอ่อนแอ ขุนนางก็โง่เขลา ไฉนคู่ควรเป็นรังให้พญาหงส์ ขอเพียงท่านประมุขรับปาก ขุนเขาลำธารพันหมื่นลี้ของต้ายง ท่านประมุขจะไปมาได้ตามแต่ใจ

ศิษย์พรรคมารเมื่อถอดเกราะออกจากหน้าที่ จะมิถูกมองเป็นทายาทของแคว้นเป่ยฮั่น แม้คนฝ่ายธรรมะอาจมิอภัยให้ท่านประมุข ทว่าศิษย์พรรคมารแต่ละคนล้วนเป็นผู้กล้าและวีรบุรุษ ไยจะหวั่นเกรงสิ่งเหล่านี้ เมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ท่านประมุขย่อมได้มีชีวิตผ่อนคลายสุขสบาย”

ดวงตาของจิงอู๋จี๋ฉายแววดุดันขึ้นมาจางๆ แล้วกล่าวว่า “เงื่อนไขฟังดูดียิ่งนัก แต่ท่านก็พูดเองว่า เจ้าแคว้นมีไมตรีต่อพรรคมารของข้ามิน้อย ผู้แซ่จิงไร้ความสามารถ ไฉนจะทอดทิ้งเจ้าแคว้นกับทหารนับมิถ้วนในยามนี้ วันนี้มาพบหน้า เพียงเพราะต้องการจะเห็นความสง่างามของท่านเจียงสักหน่อยเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่เจรจากันเมื่อครู่ เป็นเพราะข้าคาดไว้แล้วว่าท่านคงมีบางสิ่งต้องการพูด ดังนั้นจึงปล่อยให้ท่านพูดให้ชัดเจน หลังจากกันวันนี้ พบกันหนหน้าคงเป็นยามตัดสินเป็นตาย ข้ามิต้องการให้ถึงเวลากองทัพต้ยงประชิดเมือง ท่านยังจะมาใช้ประโยชน์จากมิตรภาพที่อวี้เฟยมีต่อท่าน ท่านคิดจริงหรือว่าข้าจะรักตัวกลัวตาย”

ข้าคาดไว้แล้วว่าจิงอู๋จี๋จะกล่าวเช่นนี้ จึงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คำพูดนี้เป็นคำพูดจากใจจริงของผู้แซ่เจียง ผู้แซ่เจียงส่งสารหารือเกี่ยวกับเรื่องพรรคมารเป็นการลับกับฝ่าบาทหลายหน ฝ่าบาทมักตรัสว่าท่านประมุขกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ล้วนเป็นปรมาจารย์แห่งยุค ศิษย์สำนักเฟิงอี้รู้จักแต่ก่อความวุ่นวายในราชสำนักและวังหลัง มิเหมือนศิษย์พรรคมารผู้อาบโลหิตบนสนามรบ แลกเกียรติยศและคุณงามความชอบ

แม้ยามนั้นท่านประมุขพ่ายแพ้ แต่วันนี้ท่านประมุขเหนือกว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้มาไกลแล้ว ศิษย์พรรคมารมิมีวันทอดทิ้งสหายร่วมสำนัก จุดนี้ฝ่าบาทคาดเอาไว้แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็ยังเสนอดังนี้ เพราะฝ่าบาททรงชื่นชมศิษย์พรรคมารอย่างแท้จริง ขอเพียงท่านประมุขจดจำบทสนทนาวันนี้ไว้ในใจ จากกันวันนี้ สมควรฆ่าฟันกันเช่นไรก็ฆ่าฟันกันเช่นนั้น ฝ่าบาทมิคิดเคืองแค้น มิว่ายามใด ข้อเสนอนี้ล้วนยังมีผล”

จิงอู๋จี๋ฟังมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง หนนี้ตนต้องการมาพบเจียงเจ๋ออย่างกะทันหันจึงมาดักกลางทางเพื่อพบหน้าเช่นนี้ ตอนนี้มิทราบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องน่ายินดีหรือเรื่องน่าเสียใจ ตนเองได้ยินเงื่อนไขดีๆ เช่นนี้จากจักรพรรดิต้ายังหวั่นไหวอย่างห้ามมิได้ แล้วนับประสาอันใดกับศิษย์พรรคมารทั้งหลาย เมื่อพวกเขามีทางถอยแล้ว พวกเขายังจะเอาชีวิตเข้าแลกในสงครามอันโหดร้ายอีกหรือ หรือว่าความแตกต่างนี้จะเปลี่ยนโชคชะตาของเป่ยฮั่น

แต่มิว่าเช่นไร ในใจจิงอู๋จี๋ก็มีความรู้สึกซาบซึ้งอยู่จางๆ พรรคมารจะมิล่มสลายสิ้นสำนักเพราะล่วงเกินราชสำนักต้ายงที่อาจรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งสำเร็จ นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้ฟังมาแล้ว

เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ จิงอู๋จี๋ก็หลับตาลงอย่างเชื่องช้า แล้วกล่าวว่า “เย็นแล้ว ท่านเจียงสมควรออกเดินทางต่อ อวี้เฟยบรรเลงสักเพลงส่งท่านโหวเดินทาง”

ชิวอวี้เฟยขานรับคำสั่งเสียงเบา เดินไปยังมุมหนึ่งของกระโจม แล้ววางพิณ ‘สี่เฉิน’ แสนรักตัวนั้นบนเข่า สิบนิ้วขยับแผ่วเบา เสียงพิณใสกระจ่างกังวาน ท่วงทำนองไพเราะฟังดูล่องลอย ความทุกข์เศร้าของการจากลาแปรเปลี่ยนเป็นดั่งเมฆหมอกบนขอบฟ้า

ข้าลุกขึ้นคำนับจรดพื้น วันนี้ได้พบหน้าก็นับว่าบรรลุเป้าหมายของข้าแล้ว เวลานี้เป็นเวลาสมควรแก่การขอตัว ข้าเดินออกจากกระโจม สวมรองเท้าผ้าไหม หนนี้ข้ามิเดินกลับไปแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อหิ้วข้ากลับมาถึงบนรถม้าอย่างรวดเร็วยิ่ง ฮูเหยียนโซ่วออกคำสั่งคำเดียว ทหารม้าห้าพันนายก็ขึ้นเหนืออย่างรวดเร็ว มิมีความคิดจะรั้งอยู่ต่อแม้สักนิด

จวบจนกระทั่งเดินทางออกมาได้สามสิบลี้ ข้าพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เหตุไฉนจึงมิคิดล้อมสังหารจิงอู๋จี๋เสีย แม้ข้าทำเช่นนั้นจะเสียหายมากมายอย่างยากจะเลี่ยง ทั้งยังมีโอกาสที่ชีวิตของตนเองจะปลิดปลิว แต่ข้ามิได้เลิกล้มความคิดเพราะขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ามีโอกาสชนะไม่มาก แต่เพราะมิมีความคิดร้ายผุดขึ้นมาเลยตั้งแต่แรก

ในใจพลันกระจ่าง ประมุขพรรคมารช่างเป็นยอดคนในใต้หล้าโดยแท้ เพียงอาศัยบารมีที่แสดงออกมาเล็กน้อยผ่านกิริยาและวาจาก็ทำให้ข้าเลื่อมใสได้ บุคคลเช่นนี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้เทียบได้เสียที่ไหน หากทั้งสองคนต่อสู้กันในวันนี้ ชัยชนะจักต้องเป็นของประมุขพรรคมารเป็นแน่

ข้าอดมิได้หันไปมองเสี่ยวซุ่นจื่อ เขาจะได้รับผลกระทบเพราะถูกกดดันหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะมิส่งผลเสียต่อการฝึกฝนของเขาหรือ ผู้ใดจะคิดว่าพอข้าหันไปมอง สีหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อกลับแจ่มใส เขาเงียบงันมิพูดจากำลังใคร่ครวญบางสิ่งอย่างลึกซึ้ง ดูท่ามิเพียงการฝึกฝนของเขาจะมิได้รับผลเสียประการใด แต่ยังก้าวหน้าไปอีกหน่อยด้วย ข้าโล่งใจ หันไปมองต้นข้าวฟ่างกับข้าวสาลีสีเขียวสองข้างทางแล้วเผยรอยยิ้มพึงพอใจ