ทั่วฟ้าดินอาบโลหิตแดงฉาน ท้องนภา ดินโคลนรวมถึงบนชุดเกราะของเหล่านักรบล้วนเป็นสีแดงสด ห้วงอารมณ์แห่งความสิ้นหวังจู่โจมดุจเกลียวคลื่น ใบหน้าโหดเหี้ยมของศัตรูประหนึ่งอยู่ตรงหน้า มิว่าตนเองจะดิ้นรนเช่นไรล้วนมิอาจหลุดพ้นจากดาบหอกที่ตั้งเรียงรายกับห่าศรที่โปรยปรายดังสายฝน ในโมงยามที่เขาหมดหนทางที่สุด
ฉับพลันมีแสงตะวันฉายขึ้นบนท้องนภาอันมืดมิด ส่องทะลุม่านเมฆสีแดง นำพาความหวังอันอบอุ่นมาให้ จากนั้นท่ามกลางทะเลเลือดแห่งนั้นก็ปรากฏเงาร่างสวมอาภรณ์สีเขียวที่เขาคุ้นตาและเลื่อมใส “คุณชาย!” ชื่อจี้ตะโกนเรียกเสียงดัง หลังจากนั้นเขาก็ถูกคนเขย่าอย่างรุนแรงจนสะดุ้งตื่น
เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็เห็นดวงหน้างามที่เต็มไปด้วยโทสะของหลินถงมิผิดจากที่คาดสักนิด หลินถงว่าอย่างโมโห “ท่านเอาเจ้านายของท่านออกจากสมองก่อนได้หรือไม่ นี่เป็นหนที่สิบสี่ที่ท่านเรียกชื่อเขาระหว่างฝันแล้ว อย่าลืมว่าท่านอยู่ที่เยี่ยนเหมิน มิได้อยู่ข้างกายนายของท่าน ต่อให้นายของท่านทรงคุณธรรมอีกเท่าใด ตอนนี้มิใช่ปล่อยให้ท่านมาสู้เสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่หรือ หากมีแรงอยู่ก็คิดหาวิธีว่าจะจัดการพวกคนเถื่อนอย่างไรเถิด”
ชื่อจี้มองท่าทางบ่นเสียงเบาด้วยความขุ่นเคืองของหลินถงแล้วรู้สึกหวานซ่านในหัวใจ เขาฟังออกว่าในถ้อยคำของหลินถิงมีความอิจฉาอยู่เล็กน้อย แม้แต่ทหารกล้าของกองทัพไต้โจวที่เดินผ่านด้านข้างไปเหล่านั้น ในสายตาที่มองมายังทั้งสองคนก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พวกคนเถื่อนบุกโจมตีติดต่อกันแทบมิหยุดพักมาห้าวันห้าคืนแล้ว ตอนแรกทั้งสองคนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ช่วยอีกฝ่ายจากเงื้อมมือศัตรูมามิรู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนกระทั่งต่อมาชื่อจี้แสดงความสามารถในการบัญชาการทัพอันน่าทึ่งออกมา ดังนั้นเขากับหลินถงจึงเริ่มผลัดกันบัญชาการกองทัพต่อต้านศัตรู
นับจากนั้นเป็นเวลาสามวันเต็มๆ แล้วที่ทั้งสองคนทำได้เพียงสนทนากันระหว่างที่มาปลุกอีกฝ่าย แต่พวกเขามิรู้สึกเดียวดายแม้แน้อย คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ข้างกายตน ในห้วงเวลาและสถานที่อันความเป็นความตายมิอาจกำหนดเองได้เช่นนี้ ทั้งสองคนจงใจลืมเลือนสิ่งกีดขวางนานาประการระหว่างกัน ยกเว้นหลินถงที่มักจะอิจฉาความเลื่อมใสสุดขีดที่ชื่อจี้มีให้เจียงเจ๋ออยู่บ่อยครั้ง
ชื่อจี้ลุกขึ้นมานั่งแล้วเงี่ยหูฟัง มิมีเสียงเข่นฆ่า กองทัพคนเถื่อนคงยังมิมาบุกเมือง เขาเอื้อมมือไปกอดเอวบางของหลินถงแล้วออกแรงเล็กน้อย หลินถงมิทันระวังจึงถูกเขาดึงเข้าไปในอ้อมแขน แดนเหนือขนบธรรมเนียมเปิดกว้าง ทหารที่อยู่รอบด้านมิเห็นว่าผิดจารีต ตรงกันข้ามกลับเป่าปากเสียงดัง หลินถงหน้าแดงก่ำ ฟาดหนึ่งฝ่ามือเข้ากลางอกของชื่อจี้
ชื่อจี้ครางหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง หลินถงจึงนึกขึ้นได้ทันทีว่าเมื่อวันก่อนชื่อจี้ถูกศรยิงที่หน้าอก นางใจอ่อนขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ชื่อจี้ฉวยโอกาสกอดหลินถงเข้ามาในอ้อมอก หลินถงบ่นเสียงหวานคำหนึ่ง แล้วซุกใบหน้าลงกับแผ่นอกที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายบุรุษนั่น เขินอายจนยากจะเอ่ยคำใด ดูมิเหมือนแม่ทัพหญิงผู้บัญชาการพันทหารหมื่นอาชาสักนิด หัวใจของชื่อจี้สั่นไหว ความตั้งใจจะหยอกล้อตอนเริ่มแรกแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอันหวานละมุน
เวลานี้เอง หลินหย่วนฉงก็วิ่งมาแต่ไกล ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านหญิง น้องหวัง ท่านโหวเรียกพวกเจ้าไปหา” หวังจี้กับหลินถงกระโดดผละออกจากกันอย่างลนลาน หลินถงแทบจะมิกล้าสู้หน้าผู้อาวุโสและสหายร่วมรบด้านข้าง นางก้มหน้าซอยเท้าวิ่งจากไป พริบตาเดียวก็หายลับสายตา
ชื่อจี้กลับรีรอหวั่นวิตกอยู่เล็กน้อย ไต้โจวโหวหลินหย่วนถิงเป็นผู้ใด เขาพิทักษ์ไต้โจวมาหลายปี ทำให้พวกคนเถื่อนมิอาจบุกลงใต้ได้แม้แต่ก้าวเดียว แม้ยามนี้แก่ชราป่วยออดแอด แต่พยัคฆ์เฒ่าก็ยังมีอำนาจบารมีอยู่ แล้วเขาก็ยังเป็นบิดาของหลินถงอีกด้วย หัวใจของชื่อจี้เต้นระรัวด้วยความหวาดวิตก หันไปมองหลินหย่วนฉง มิมีความกล้าจะก้าวออกไป
หลินหย่วนฉงยิ้ม “โถ ทหารกล้าผู้ห้าวหาญชำนาญศึกบนสนามรบเหตุไฉนเอียงอายเช่นนี้เล่า วางใจเถิด พี่ชายข้าใจกว้างนัก มิคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่เจ้าหยอกถงเอ๋อร์หรอก”
ชื่อจี้หันไปมองภาพโลหิตเจิ่งนองทั่วท้องทุ่งอันชวนสลดด้านนอกเมือง แล้วเอ่ยอึกอัก “ตอนนี้ท่านหญิงไปพบหลินโหว หากพวกคนเถื่อนบุกโจมตีตอนนี้เล่า ข้าอยู่ที่นี่ดีกว่า”
ตอนนี้เองฝ่ามือทรงพลังก็ตบหนักๆ บนหัวไหล่ของเขา สุ้มเสียงชราที่ยังเปี่ยมพละกำลังกล่าวขึ้นว่า “เจ้าหนู วางใจแล้วไปเถิด มีตาเฒ่าอย่างข้าอยู่ที่นี่ เฝ้าชั่วยามสองชั่วยามมิมีปัญหาหรอก”
ชื่อจี้ยิ้มเจื่อน มิหันหลังกลับไปก็ทราบว่าผู้ที่มาคงจะเป็นแม่ทัพเฒ่าฉีแห่งไต้โจว ตั้งแต่บนจรดล่างผู้ใดกล้าเถียงแม่ทัพเฒ่าผู้เป็นทหารมาทั้งชีวิต ทั่วร่างมีแต่รอยแผลเป็นผู้นี้บ้าง แต่จะให้ไปพบหลินหย่วนถิงจริงๆ ในใจชื่อจี้ก็ลังเลตัดสินใจมิได้
ทันใดนั้นดวงตาของหลินหย่วนฉงก็ทอประกายคมปลาบ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “อะไรกัน เจ้ามิอยากไปพบท่านโหว หรือว่าเจ้าเพียงคิดเล่นๆ กับท่านหญิงเท่านั้นหรือ”
ชื่อจี้ตัวสั่นเทา ตอบเสียงเบาว่า “ต่อให้ท่านโหวอนุญาตแล้วจะทำอะไรได้เล่า ข้าฝ่าฝืนคำสั่งสอนของคุณชาย แม้คุณชายเมตตาปล่อยให้ข้ามาไต้โจว แต่วันหน้าหากคุณชายเรียกข้ากลับไปรับโทษทัณฑ์ ข้าก็มิอาจขัดขืน ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพคนเถื่อนทรงพลังนัก ด่านเยี่ยนเหมินตกอยู่ในวิกฤต แล้วต่อให้กองทัพคนเถื่อนถอยไปแล้ว หากต้องเผชิญกับกองทัพต้ายงจะทำเช่นไร”
เสียงของเขาแผ่วเบานัก แต่แม่ทัพเฒ่าฉีกับหลินหย่วนฉงล้วนได้ยินชัดเจน ดวงตาของทั้งสองคนฉายแววตกอยู่ในภวังค์ เรื่องนี้ไยมิใช่ปมเจ็บปวดในใจที่ทั้งสองคนแทบมิกล้าคิด หลินหย่วนฉงมองชื่อจี้ เมื่อนึกขึ้นมาว่าเจ้านายของชายหนุ่มผู้นี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ของไต้โจวย่ำแย่เช่นนี้ ในหัวใจก็มีความรู้สึกอยากจะพานระบายโทสะใส่เขา
แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียวผู้ทำศึกอย่างยากลำบากติดกันมาหลายวันคนนี้ วาจาร้ายกาจสักคำก็เอ่ยมิออก ทหารกล้าไต้โจวแต่เดิมก็เป็นพวกแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน หลินหย่วนฉงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไปเถิด ท่านโหวกำลังรอเจ้าอยู่ วันนี้เขาอุตส่าห์ห์ได้สติอย่างหาได้ยาก”
ห้องอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในด่านเยี่ยนเหมินประหนึ่งตัดขาดจากสนามรบอันคลุ้งคาวเลือด ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาเข้มข้น ตัวห้องมิมีสิ่งหรูหราแม้แต่น้อย มิแตกต่างอันใดจากบ้านของชาวบ้านทั่วไปของไต้โจว บนตั่งไม้กว้าง ผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น กำลังดื่มยาขมเฝื่อนถ้วยหนึ่งอย่างช้าๆ ด้วยการดูแลของหลินถง แม้หน้าตาจะซีดเซียว เส้นผมบนศีรษะขาวโพลน แต่ก็ยังมองเห็นเค้าโครงของความสง่างามในวันวาน เห็นชัดว่าในอดีตผู้เฒ่าคนนี้คงจะเป็นบุรุษรูปงามผู้หล่อเหลาองอาจคนหนึ่ง เมื่อชื่อจี้เดินเข้ามาในห้อง หัวใจกลับนิ่งสงบลง เขาเดินเข้าไปคารวะแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยหวังจี้ คารวะท่านโหว”
ดวงตาของผู้เฒ่าคนนั้นฉายแววดุดัน มองสำรวจชื่อจี้อย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็คือหวังจี้หมอเทวดาปั๋วเล่อและเป็นผู้ติดตามของฉู่เซียงโหวสินะ นามนี้เป็นนามจริงหรือปลอมกันเล่า”
ชื่อจี้รู้สึกว่าสายตาประหนึ่งกระบี่คมกริบของผู้เฒ่าคนนั้นมองทะลุมาถึงหัวใจของตน จึงถอนหายใจอย่างห้ามมิได้ มิน่าคนผู้นี้จึงพิทักษ์ไต้โจวมาได้เนิ่นนาน แรงกดดันสมกับเป็นยอดแม่ทัพผู้โด่งดัง เขาตอบอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยแต่เดิมเป็นกำพร้า นอกจากทราบว่าตนเองแซ่หวังก็ไร้นาม ในอดีตยามคุณชายของผู้น้อยเก็บผู้น้อยมาไว้ข้างกายได้มอบนามให้ว่าชื่อจี้ ต่อมาผู้น้อยจึงตั้งนามให้ตนเองว่าหวังจี้ มิใช่นามลวง”
หลินหย่วนถิงยิ้มละไมเอ่ยขึ้นว่า “ถงเอ๋อร์ โลงศพของพี่รองเจ้าขนกลับไปแล้วหรือไม่”
หลินถงขอบตาแดงเรื่อ กล่าวว่า “เจ้าค่ะ รอกองทัพคนเถื่อนถอยไปแล้ว ต้องให้ท่านพ่อเป็นประธานนำป้ายวิญญาณของพี่รองไปไว้ในศาลบรรพชน”
หลินหย่วนถิงตบไหล่หลินถงด้วยความรักและสงสาร แล้วกล่าวกับชื่อจี้ว่า “ขายหน้าหลานแล้ว ถงเอ๋อร์เด็กคนนี้ใจอ่อนนัก ความจริงมีสิ่งใดให้โศกเศร้ากัน ร้อยปีที่ผ่านมาตระกูลหลินแห่งไต้โจวสิ้นใจในสนามรบมากมายนับมิถ้วน พี่น้องห้าคนในรุ่นของข้า มีข้าเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดมาได้ พี่น้องทั้งหลายล้วนตายในสมรภูมิ มิมีจุดจบที่ดีสักคน ยามนี้ผลัดถึงตารุ่นพวกเขาแล้ว
เฮ้อ เฉิงเอ่อร์จากไปแล้ว ปี้เอ๋อร์ เฉิงซาน เฉิงยวนล้วนถูกกักอยู่ในจิ้นหยาง เมื่อกองทัพต้ายงปิดล้อมก็คงมีโอกาสตายถึงเก้าส่วน เฉิงอี๋นิสัยบุ่มบ่าม ถงเอ๋อร์อายุน้อยความรู้ตื้นเขิน หนนี้ตระกูลหลินจะกลายเป็นเมฆหมอกมลายหายไปก็มิแปลกอันใด
ตระกูลหลินของข้ามีธรรมเนียมอยู่ว่ามีเพียงป้ายวิญญาณของคนในตระกูลที่ตายบนสมรภูมิเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ตั้งอยู่ในศาลบรรพชนให้คนรุ่นหลังกราบไหว้บูชา ร้อยปีที่ผ่านมา ผู้ที่มิอาจเข้าไปอยู่ในศาลมีน้อยนิดนับคนได้ แต่เดิมข้าคิดว่าชายแดนสงบมาหลายปี ข้าคงจะได้ล้มป่วยสิ้นใจบนเตียง มิมีโอกาสได้เข้าไปในศาลบรรพชนแล้ว คิดมิถึงวันนี้กลับมีโอกาสอีกหน
ถงเอ๋อร์ พ่อตัดสินใจแล้วว่าจะเสี่ยงอันตรายสักครั้ง แลกกับการทำลายกำลังหลักของกองทัพคนเถื่อน แม้ทำเช่นนี้กองทัพที่พิทักษ์เยี่ยนเหมินอาจจะย่อยยับทั้งกองทัพ แต่กำลังหลักของพวกคนเถื่อนก็จะเสียหายหนัก ทำให้มีหนทางขับไล่พวกเขาออกจากไต้โจว”
หลิงถงหลุดร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดแล้วโถมเข้าไปในอ้อมแขนของบิดา น้ำตาทะลักออกมาดุจน้ำพุ นี่หมายความว่าหลินหย่วนถิงกำลังจะสั่งเสียเรื่องราวหลังจากนี้ ในใจนางจะมิทราบได้เช่นไร ชื่อจี้ก้าวเข้าไปหมายจะเอื้อมมือปลอบนาง แต่หลินถงกลับขยับหลบ ชื่อจี้ปวดแปลบในหัวใจ จึงเอ่ยเสียงดังฟังชัดขึ้นว่า “ท่านโหว ท่านหญิง หากมีงานสำคัญอันใดมอบให้ชื่อจี้ไปทำเถิด”
ในใจเขาคิดแต่ว่าต้องการตายก่อนหลินถง หลินหย่วนถิงเข้าใจความตั้งใจของเขา แววตาที่มองชื่อจี้ฉายแววชื่นชมขึ้นหลายส่วน ก่อนจะกล่าวว่า “คุณธรรมและความสามารถของหลานล้วนคู่ควรกับถงเอ๋อร์ น่าเสียดายที่ถงเอ๋อร์เป็นทายาทตระกูลหลินจึงมิมีเหตุผลให้ทอดทิ้งทหารและประชาชนไต้โจวเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ถงเอ๋อร์ เจ้าแค้นเคืองบิดาหรือไม่”