ภาค-5 ตอนที่ 112 โลหิตนองเยี่ยนเหมิน (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หลินถงเช็ดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดท่านพ่อจึงเอ่ยเช่นนี้ หากตายบนสมรภูมิ ลูกก็จะได้เข้าไปอยู่ในศาลบรรพชน นี่เป็นเกียรติยศปานใด ลูกจะแค้นเคืองท่านพ่อได้เช่นไร ขอท่านพ่อออกคำสั่ง พวกเราสมควรทำเช่นไร”

หลินหย่วนถิงยิ้มปลาบปลื้ม กล่าวว่า “ดี ตระกูลหลินของเรามิมีพวกรักตัวกลัวตายจริงๆ แต่พวกเจ้าก็จงอย่าทิ้งชีวิตง่ายๆ บางทีหลังศึกนี้พวกเจ้าอาจยังรักษาชีวิตมาได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าพูดถึงการเสียสละอย่างง่ายดาย ถงเอ๋อร์ เมื่อวานพ่อให้พี่ใหญ่ของเจ้านำสารขอยอมจำนนไปพบจักรพรรดิต้ายงแล้ว”

หลินถงตกใจยิ่งนัก โพล่งออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรกัน ยอมจำนน นี่เพราะเหตุใด ท่านเอาท่านแม่ พี่สาว กับพี่สาม พี่สี่ไปไว้ที่ใด”

หลินหย่วนถิงยกมือขัดคำพูดของหลินถง แล้วอธิบายอย่างสุขุม “ตระกูลหลินอยู่เพื่อไต้โจว มิใช่ไต้โจวอยู่เพื่อตระกูลหลิน ข้าขบคิดกระจ่างแล้ว กองทัพใหญ่ของจักรพรรดิต้ายงขวางเส้นทางระหว่างไต้โจวกับจิ้นหยางอยู่ ไต้โจวกลายเป็นกองทัพโดดเดี่ยว ทำได้เพียงเผชิญหน้ากองทัพคนเถื่อนตามลำพัง

แม้หนนี้ข้าอาจวางแผนการทำลายกำลังหลักของกองทัพคนเถื่อนได้ แต่กองทัพคนเถื่อนที่แตกกระจัดกระจายคงยิ่งเหิมเกริมโหดเหี้ยม กำลังหลักของไต้โจวถูกสกัดไว้ในจิ้นหยาง ไต้โจวมิเหลือกำลังรับมือการรุกรานครั้งรุนแรงที่สุดในรอบสิบกว่าปี หนทางเพียงหนึ่งเดียวคือยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง

จักรพรรดิต้ายงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา จะมิทราบความสำคัญของไต้โจวได้เช่นไร สาเหตุที่มิได้บุกตีไต้โจวก็เพราะติดที่ตระกูลหลินของพวกเราเท่านั้น ยามนี้ข้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าไปแจ้งขอยอมจำนน จากนั้นผลาญกำลังทหารที่เหลือในสมรภูมิที่ด่านเยี่ยนเหมิน จักรพรรดิต้ายงย่อมมิมีสิ่งใดให้กังวลอีก เขาจักต้องเดินทางข้ามคืนมาช่วยเหลือเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนหลายแสนของไต้โจวก็จะมิถูกพวกคนเถื่อนทำอันตราย”

หลินถงหลั่งน้ำตาดั่งสายฝน นางเข้าใจแล้วว่าบิดาจะเสียสละตระกูลหลินแลกกับความอยู่รอดของไต้โจว นางชักดาบคู่กายข้างเอวออกมากรีดบนแขนซ้าย โลหิตทะลักดั่งน้ำพุ น้ำตากับโลหิตช่วยขับเน้นซึ่งกันและกัน

หลินถงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ลูกเข้าใจความตั้งใจของท่านพ่อ ตระกูลหลินต้องเสียสละเพื่อไต้โจว หากลูกโชคดีมีชีวิตรอดกลับมาก็จะขอยอมจำนนต่อจักรพรรดิต้ายง มิมีทางปล่อยให้ทหารและประชาชนไต้โจวต้องกลายเป็นศัตรูกับทหารม้าเหล็กของต้ายงเพราะเรื่องส่วนตัวของตระกูลหลินเรา”

ชื่อจี้ฟังถึงตรงนี้ก็ปวดใจแทบวางวาย สิ่งที่สองพ่อลูกคู่นี้กล่าวออกมา เขามิอาจโต้แย้งได้แม้แต่น้อย วันวานก่อนจากมา คุณชายก็เคยบอกเป็นนัยแล้วว่าถึงแม้ไต้โจวจะเอาชนะพวกคนเถื่อนได้ ตระกูลหลินก็ยากจะหนีจุดจบล่มสลาย ด้วยเหตุนี้คุณชายจึงหวังว่าเขาจะผละตัวออกมา จะพาหลินถงไปด้วยกันก็ได้ จะรักษาคนผู้หนึ่งไว้ยังพอทำได้อยู่ นั่นคือความหมายที่คุณชายมิได้เอ่ยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

แต่ยามนี้เขาเข้าใจแล้ว สตรีที่ตนรักเป็นวีรสตรีในหมู่อิสตรีอย่างแท้จริง นางมิมีทางยอมอัปยศเพื่อเอาตัวรอดเป็นอันขาด

เขาคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง กล่าวขึ้นว่า “ท่านโหว ผู้น้อยรักมั่นต่อท่านหญิงจากใจจริง ขอท่านโหวหมั้นหมายท่านหญิงให้แก่ชื่อจี้ ชื่อจี้ยินยอมพร้อมใจร่วมเป็นร่วมตายกับท่านหญิง”

ดวงตาของหลินหย่วนถิงฉายแววพึงพอใจ แต่กลับส่ายหน้าตอบว่า “หลานเอ๋ย หลายวันมานี้เจ้าช่วยทหารและประชาชนไต้โจวของข้าพิทักษ์ด่านเยี่ยนเหมินก็ผิดต่อนายของเจ้ามากแล้ว ยามนี้ไยต้องก้าวลงมาหาความตาย ฉู่เซียงโหวกำลังเป็นที่โปรดปราน อนาคตภายภาคหน้าของเจ้าย่อมสว่างไสวรุ่งโรจน์ ไฉนต้องละทิ้งทุกสิ่งเพื่อบุตรสาวของข้า”

ชื่อจี้มิตอบ แต่ปลดขลุ่ยไม้ไผ่ข้างเอวออกมาเป่าบรรรเลงเพลง เสียงขลุ่ยดังก้องกังวาน แม้หลินหย่วนถิงเกิดในตระกูลทหาร แต่ก็ตบแต่งองค์หญิงผู้เป็นยอดหญิงเป็นภรรยาจึงพอคุ้นเคยกับดนตรีอยู่บ้าง ฟังไปช่วงหนึ่งก็ปรบมือร้องคลอ “แม่ทัพร้อยศึกปราชัยสิ้นศักดิ์ศรี เหลียวมองมาตุภูมิหมื่นลี้ อำลาสหายมิหวนคืน ลมประจิมหนาวเหน็บเหนืออี้สุ่ย หิมะพร่างพรมบนอาภรณ์ ผู้กล้าขับขานบทเพลงโศก หากวิหคล่วงรู้ทุกข์ในโลกหล้า คงหลั่งน้ำตาโลหิตขับขาน ผู้ใดหนอจักร่วมร่ำสุราชมจันทร์”

บทกวีเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญทำให้เหล่าทหารที่คุ้มกันอยุ่นอกห้องต่างเงี่ยหูฟัง ในใจเต็มไปด้วยความกล้าที่จะมุ่งสู่ความตาย

หลินหย่วนถิงถอยหายใจกล่าวขึ้นว่า “คิดมิถึงว่าเจ้าจะเข้าใจความกล้าหาญของการเดิมพันชีวิตบนสมรภูมิ ดี ดี เจ้าคู่ควรกับถงเอ๋อร์จริงๆ”

เวลานี้เอง เสียงขลุ่ยพลันแปรเปลี่ยน กลับกลายเป็นความรู้สึกตรอมตรมอันรุนแรงแต่แฝงความมุ่งมั่นมิลังเล หัวใจของหลินถงสั่นไหว จมดิ่งลงไปในท่วงทำนองที่ชายหนุ่มคนรักทุ่มเทหัวใจบรรเลง จนถึงขั้นมิทราบว่าเสียงเพลงหยุดไปตั้งแต่เมื่อใด จากนั้นนางก็ได้ยินชื่อจี้เอ่ยอย่างหนักแน่นทีละคำว่า “แม้นต้องสละชีวิตที่เหลือก็มิเสียใจ ขอท่านโหวหมั้นหมายท่านหญิงให้ข้าด้วย”

หลินหย่วนถิงหันไปมองหลินถงแล้วถามขึ้นเรียบๆ “ถงเอ๋อร์คิดเช่นไร”

ดวงตาของหลินถงวาวน้ำตา ใบหน้าแดงระเรื่อแต่แฝงความเศร้าสร้อย ด้วยทราบดีว่าอีกประเดี๋ยวนางจะต้องเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย โอกาสรอดมีเพียงหนึ่งในสิบ แต่จะให้นางปฏิเสธความรักของชายหนุ่มผู้ยินยอมพร้อมใจมุ่งสู่ความตายเคียงข้างนางได้เช่นไร นางผินหน้าหลบ ตอบว่า “แล้วแต่ท่านพ่อจะเห็นควร”

คิ้วกระบี่ของหลินหย่วนถิงเลิกตั้ง กล่าวว่า “ดี ในเมื่อพวกเจ้าสองคนใจตรงกัน ข้าก็จะให้พวกเจ้าสมหวัง หวังจี้ บุตรสาวของข้าตบแต่งมิจำเป็นต้องเลือกฤกษ์งามยามดี หากเจ้ายินดี พวกเจ้าจงกราบไหว้ฟ้าดิน ผูกพันเป็นสามีภรรยาบนกำแพงด่านเยี่ยนเหมิน ต่อหน้าข้า ต่อหน้าทหารกล้าพันหมื่นของกองทัพไต้โจวเป็นเช่นไร”

ชื่อจี้ยินดียิ่งนัก โขกศีรษะตอบว่า “หวังจี้โขกศีรษะคารวะท่านพ่อตา ทุกสิ่งแล้วแต่ท่านพ่อตาจะเห็นควร”

ใต้กำแพงด่านเยี่ยนเหมิน หัวใจของคนเถื่อนทั้งหลายที่บุกตีด่านล้มเหลวตลอดหลายวันที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะเดือดพล่าน หวันเหยียนน่าจินเห็นกำลังพลที่พิทักษ์ด่านเยี่ยนเหมินอ่อนแรงลงทุกที จึงหมายมั่นว่าหนนี้จักต้องสำเร็จ หลังจากดื่มเลือด หักศรสาบาน กองทัพพันธมิตรของเผ่าคนเถื่อนก็รวมพลกันใต้กำแพงด่านอีกหน หวันเหยียนน่าจินกับหัวหน้าเผ่าจากเผ่าต่างๆ ที่เหลือชี้กำแพงด่านเยี่ยนเหมินแล้วหารือกันว่าจะบุกตีอย่างไร

ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงกลองและดนตรีดังมาจากบนกำแพงด่าน กองทัพคนเถื่อนทั้งหลายมองไปจนสุดสายตาก็เห็นเหนือประตูใหญ่ของด่านเยี่ยนเหมิน ทหารไต้โจวผู้สวมชุดเกราะวาววับแยกกันยืนอยู่สองฝั่ง บนหอกดาบกระบี่ทวนผูกผืนผ้าสีแดง แต่ละคนล้วนมีท่าทางเปรมปรีดา บ่าวสาวผู้สวมชุดมงคลคู่หนึ่งกำลังคำนับกันและกันสาบานเป็นสามีภรรยากันต่อหน้าผู้เฒ่าหน้าตาเที่ยงธรรมคนหนึ่ง หลังจากคำนับสามหน บนกำแพงด่านพลันมีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นทั่ว พวกคนเถื่อนทั้งหลายเงี่ยหูฟัง คนเหล่านั้นตะโกนดังลั่นว่า “ขอให้ท่านหญิงกับท่านเขยครองคู่ร้อยปี อยู่เคียงคู่จนเส้นผมขาวโพลน”

หวันเหยียนน่าจินโกรธจัด ยกแส้อาชาชี้ ตวาดว่า “คนพวกนี้กล้าดูหมิ่นกองทัพใหญ่ของพวกเรา ต่อหน้าสองกองทัพกลับแขวนโคมผูกผ้ากราบฟ้าดิน เริ่มบุกตีด่านทันที ข้าจะให้งานมงคลของพวกเขากลายเป็นงานศพ หลินหย่วนถิงอยู่บนนั้น หลายปีที่ผ่านมาบิดาและพี่น้องของพวกเราตายในมือคนผู้นี้ไปเท่าใด ผู้ใดเอาศีรษะของเขามาได้ย่อมเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้าของพวกเรา ตกรางวัลทองคำพันตำลึง หญิงงามหนึ่งนาง”

เวลานี้เองก็มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ท่านข่าน ผู้ใดมิทราบบ้างว่าตระกูลหลินมีบุตรสาวงามดั่งบุปผาอยู่คู่หนึ่ง มิสู้เอาเช่นนี้ ผู้ใดสังหารหลินหย่วนถิงได้ก็มอบเจ้าสาวบนกำแพงด่านให้เขา”

หวันเหยียนน่าจินเงยหน้ามอง ก็เห็นว่ามั่วเอ่อร์กานหัวหน้าเผ่าของเผ่าไป๋หลางเป็นคนตะโกนขึ้นมา เขายิ้มน้อยๆ ประกาศเสียงดัง “ถ่ายทอดคำสั่งข้า ผู้ใดสังหารหลินหย่วนถิงได้ ท่านหญิงหงสยาจะเป็นอนุภรรยาของเขา แต่ทุกท่านต้องจับท่านหญิงผู้เป็นเจ้าสาวในงานแต่งคนนี้มาให้ได้เป็นๆ”

แม่ทัพของพวกคนเถื่อนอีกคนหนึ่งหัวเราะลั่น “เจ้าสาวในงานแต่ง บิดาชอบแย่งเจ้าสาวของผู้อื่นที่สุดแล้ว หลินหย่วนถิง รีบล้างคอเจ้ารอบิดาไปตัดเสียเถิด”

กองทัพไต้โจวบนกำแพงด่านได้ยินถ้อยคำสกปรกจากด้านล่าง แต่ละคนหน้าขรึมดั่งสายน้ำ แต่พวกเขาล้วนเงียบงันมิพูดจา ความอัปยศต้องเอาเลือดล้าง ชื่อจี้ผู้เดิมทีมีความสุขดั่งอยู่ในห้วงฝันหน้าเขียวคล้ำ ทว่าเขาทำเพียงถอดชุดเจ้าบ่าวออก เผยให้เห็นชุดเกราะวาววับบนร่าง ส่วนหลินถงเหลือบมองด้านล่างอย่างเย็นชา มือเรียวงามฉีกหนเดียว ชุดแต่งงานสีแดงตัวนั้นพลันกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคล้ายหมู่มวลผีเสื้อ เผยให้เห็นเกราะอ่อนสีแดงเพลิง ทั้งสองคนยืนขนาบข้างกายหลินหย่วนถิง ดูละม้ายคล้ายคู่เทพบุตรเทพธิดาบนภาพวาดมงคลพลัดหลงลงมาเยือนโลกมนุษย์

หลินหย่วนถิงนั่งบนเก้าอี้ พละกำลังของเขามิเพียงพอให้หยัดยืนอยู่บนสองขาของตนเองได้นาน กล่าวเสียงกังวานว่า “หวันเหยียนน่าจิน เจ้าบุกเข้ามา บิดากับอาของเจ้าล้วนตายใต้กำแพงด่านเยี่ยนเหมิน ข้าก็อยากเห็นว่าเจ้าจะมีความสามารถตีด่านสำเร็จหรือไม่ แต่เจ้าเป็นถึงข่านผู้ยิ่งใหญ่แล้ว คงมิมีความคิดจะลงสมรภูมิสังหารศัตรูเฉกเช่นก่อนหน้านี้แล้วกระมัง”

ถ้อยคำเสียดสีอันร้ายกาจทำให้หวันเยียนน่าจินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา พวกคนเถื่อนแต่เดิมก็นับถือความองอาจกล้าหาญ เมื่อหวนนึกว่าหลายวันที่ผ่านมาหวันเหยียนน่าจินมิเคยเข้าสู่สมรภูมิด้วยตนเอง ก็ลอบกระซิบกระซาบกันอย่างห้ามมิได้ หวันเหยียนน่าจินเป็นคนถือดีอย่างที่สุดคนหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงเหี้ยม “หลินหย่วนถิง เจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจักตัดศีรษะเจ้าด้วยตนเอง แล้วลักตัวบุตรสาวแสนรักของเจ้ากลับไปเป็นทาส”