บทที่ 934 พลังขั้นสุดยอด พลังสูงสุด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 934 พลังขั้นสุดยอด พลังสูงสุด

เมื่อหานเจวี๋ยและดวงจิตบรรพกาลอยู่ใต้เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุด สิ่งมีชีวิตที่คอยสังเกตการต่อสู้ไม่อาจรับรู้กลิ่นอายของทั้งสองได้อีกต่อไป พวกเขาทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเงยหน้ามองขึ้นไป สองตาหรี่ลง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หานฮวงพลันเหาะขึ้นไป เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ฝ่าบาท ท่านพ่อของข้าไปไหนแล้ว”

พอจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมองเห็นเขา สีหน้าก็อ่อนโยนลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตบะของเจ้าล้ำหน้าเราไปแล้ว ขนาดเจ้ายังไม่เห็น เราย่อมไม่เห็นเช่นกัน แต่เจ้าวางใจเถิด ในเมื่อท่านพ่อของเจ้ากล้าออกมาก็แปลว่ามีความมั่นใจเต็มที่”

หานฮวงเห็นรอยยิ้มของเขาก็เบาใจลงในทันใด

ในเวลาเดียวกันนี้ เหล่าอริยะในตำหนักเอกภพ ณ มรรคาสวรรค์ก็กังวลอยู่เช่นกัน ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น ห้าเทวทัณฑ์ที่อยู่ไกลออกไปในอาณาเขตเต๋าของนักพรตเต๋าเสินเผาก็ชมการต่อสู้อยู่เช่นกัน

“ท่านพ่อบุญธรรมของข้าหายไปแล้ว!”

อี๋เทียนเอ่ยด้วยความตกใจ เขาแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วฟ้าบุพกาล แต่ก็สืบไม่พบร่องรอยของหานเจวี๋ย

หานทั่วขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

การต่อสู้ระหว่างหานเจวี๋ยและดวงจิตบรรพกาลสั่นคลอนจิตใจของผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนในฟ้าบุพกาล

ศึกครั้งนี้สำคัญยิ่ง หากว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรชนะ เช่นนั้นรูปการณ์ของฟ้าบุพกาลจะยังคงเดิม หากว่าดวงจิตบรรพกาลชนะ อนาคตก็ยากจะคาดเดาได้

หลังจากพิฆาตสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ อริยะสวรรค์เกรียงไกรได้กลายเป็นยอดผู้แข็งแกร่งในฟ้าบุพกาล แต่เขาก็ไม่ได้คุกคามฟ้าบุพกาล ทว่าดวงจิตบรรพกาลนั้นต่างกันออกไป สรรพสิ่งไม่รู้จักเขา เพียงแต่แดนบรรพกาลก็ไม่ใช่สถานที่ดีอันใดอยู่แล้ว

….

เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดบิดเบี้ยวสั่นไหวรุนแรง ราวกับมังกรพิโรธเจ็ดตัว สะเทือนไปถึงมหามรรคสามพันวิถี

เทพมหาทัณฑ์เงยหน้ามองกฎเกณฑ์สูงสุด แสงเจ็ดสีส่องวูบวาบสะท้อนลงบนหน้าเขา

เขาหันไปมองหานเจวี๋ยที่อยู่ด้านล่าง พบว่าหานเจวี๋ยสงบนิ่งยิ่งนัก ไม่ลนลานเลยสักนิด

เขาอดถามไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือ”

หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “เกี่ยวพันถึงกฎเกณฑ์สูงสุด ข้าไม่กล้าวุ่นวายส่งเดช”

หากเกิดอะไรขึ้นโทษจะได้ตกอยู่กับพวกเจ้า!

เทพมหาทัณฑ์ถามต่อ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่หนี เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะดวงจิตบรรพกาลที่ครอบครองพลังเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดได้หรือ”

“หากหนีแล้วจะหนีไปที่ใดเล่า ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าก็จะมาบุกมรรคาสวรรค์อยู่ดี ข้ายังไม่แพ้ยังสามารถสู้ต่อได้”

หานเจวี๋ยยังคงตอบอย่างสบายๆ ราวกับกำลังคุยสัพเพเหระไม่ใช่การต่อสู้ตัดสินเป็นตาย

ปฐมยุคประทับนภาลอยอยู่ด้านหลังเขา วิญญาณของบุตรแห่งสวรรค์นับล้านคนนั้นถูกเขาควบคุมไว้ ดูดเข้าสู่ปฐมยุคประทับนภา รอให้จบศึกแล้วค่อยปล่อยออกไป

เทพมหาทัณฑ์เงียบไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

เขาก็กระอักกระอ่วนมากเช่นกัน ในใจมีความรู้สึกผิดนิดๆ ต่อหานเจวี๋ย

แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว!

เขากลายเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคมาระยะหนึ่งแล้ว เขารับรู้ได้ว่ายังมีตัวตนที่อยู่สูงขึ้นไปอีก ตัวตนเหล่านั้นชักใยบงการกฎเกณฑ์ฟ้าบุพกาลในความมืด เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

มีแต่ต้องพึ่งพาดวงจิตบรรพกาล เขาถึงจะมีโอกาสกลายเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคอย่างแท้จริง วาจาคือประกาศิต

‘ขออภัยด้วย อริยะสวรรค์เกรียงไกร สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจถึงความลำบากของข้า ไม่สิ เจ้าไม่มีวันนั้นแล้ว’

เทพมหาทัณฑ์รำพันอยู่ในใจ

ในเวลานี้เอง

กฎเกณฑ์สูงสุดสายหนึ่งพลันก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ นั่นคือดวงจิตบรรพกาล!

ดวงจิตบรรพกาลค่อยๆ ร่อนลงมา ออกห่างจากหกกฎเกณฑ์สูงสุดอีกหกสาย ทั่วร่างเขากลายเป็นแสงสีขาว ปรากฏให้เห็นเพียงดวงตามืดมิดเย็นชา ทอดมองหานเจวี๋ยจากมุมสูง

“จากนี้ไปเจ้าจะได้รับรู้ถึงพลังแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์!”

ดวงจิตบรรพกาลทิ้งตัวลงมาในทันใด รวดเร็วสุดขีด

ปฐมยุคประทับนภาขวางอยู่ด้านหน้าหานเจวี๋ย แต่ยังคงถูกดวงจิตบรรพกาลพุ่งกระแทกหล่นลงไป กลับไปที่แดนบรรพกาลในทันใด

รัศมีน่าหวาดหวั่นมหาศาลไร้ขอบเขตของทั้งสองเข้าครอบคลุมฟ้าบุพกาลอีกครั้ง ทำให้สรรพสิ่งตัวสั่นงันงก

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ไม่คิดเลยว่าดวงจิตบรรพกาลจะแข็งแกร่งขนาดนี้

ในไม่ช้า สองเท้าของเขาเหยียบลงบนแผ่นดินส่วนหนึ่ง ผืนแผ่นดินส่วนนี้แข็งแกระด้างอย่างยิ่ง มาถึงก้นบึ้งของฟ้าบุพกาลแล้ว

ปฐมยุคประทับนภาพังทลายลง หานเจวี๋ยจำเป็นต้องเคลื่อนตัวหลบเลี่ยง

“ฮ่าๆๆ! พลังวิเศษของเจ้าก็ไม่เท่าไรเลยนี่!”

ดวงจิตบรรพกาลลอยค้างอยู่ในอากาศ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

หานเจวี๋ยร่อนลงบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป ปรากฏเงาร่างเลือนรางขึ้นมาร่างแล้วร่างเล่า จากนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

วิชาผสานร่างจำลอง!

เขาทอดสายตามองดวงจิตบรรพกาล แค่นเสียงเอ่ย “แข็งแกร่งจริงๆ เพียงแต่เจ้าไม่กลัวจะถูกสะท้อนกลับบ้างหรือ ใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์สูงสุดมาก่อกวนฟ้าบุพกาล เจ้าจะต้องแบกรับบ่วงกรรมหนักมหันต์อย่างที่ยากจะจินตนาการได้ ต่อให้เอาชนะข้าได้ แล้วเจ้าจะครอบครองฟ้าบุพกาลอย่างไรเล่า”

เขากำลังถ่วงเวลาอยู่

ดวงจิตบรรพกาลลำพองตัวแล้ว เขาชูสองมือขึ้นมา หัวเราะอย่างโอหังพลางกล่าวว่า “ข้าไร้พ่ายแล้ว เจ้ายังไม่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า เมื่อได้ครอบครองพลังนี้ ข้าจะกริ่งเกรงผลกรรมไปไยเล่า ข้าต้องการให้ฟ้าบุพกาลอยู่ ฟ้าบุพกาลก็จะอยู่ ข้าอยากให้ฟ้าบุพกาลล่ม ฟ้าบุพกาลก็จะวอดวาย!

“อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง คุกเข่ายอมจำนนต่อข้าเสีย!

“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะกลายเป็นดวงจิตที่มีอำนาจสูงสุดรองลงมาจากข้าและเทพมหาทัณฑ์!”

เขาจ้องมองหานเจวี๋ย แววตาเต็มด้วยความสนุกสนาน

บ้าไปแล้วจริงๆ!

หานเจวี๋ยสบถในใจ ตอนนี้ผสานร่างจำลองเทพมารสามพันตนครบแล้ว ภายในร่างอัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง เพียงแต่ถูกพลังปฐมยุคสกัดกั้นไว้ ดวงจิตบรรพกาลจึงสัมผัสถึงไม่ได้

“ขออภัยด้วย ธรรมะอธรรมอยู่คนละฝ่าย เจ้าไม่มีจิตเมตตาอาดูรสรรพสิ่ง ข้าย่อมไม่ไว้วางใจ ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะขอปกป้องฟ้าบุพกาลไว้ สู้ตายกับเจ้า!”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หานเจวี๋ยเอ่ยปฏิเสธอย่างผ่าเผยทรงคุณธรรม จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ดวงจิตบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

ดวงจิตบรรพกาลพลันโกรธเกรี้ยว “พวกเราก้าวข้ามยอดมหามรรคไปแล้ว เจ้าช่างกล้าหยิบยกเอาธรรมะอธรรมอันเป็นสิ่งผูกมัดของสิ่งมีชีวิตสามัญมาปฏิเสธข้า เจ้ากำลังดูหมิ่นความจริงใจของข้าอยู่ ในเมื่อเช่นนี้ เจ้าก็ตายเสียเถอะ!”

เขาชูมือขวาขึ้นมา ซัดฝ่ามืออกไปในทันใด พลังแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์สูงสุดโถมออกไป แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าทำให้ก้นบึ้งฟ้าบุพกาลสว่างดังยามทิวา ท้องนภาทั่วทุกซอกมุมในฟ้าบุพกาลล้วนถูกฉาบย้อมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎเกณฑ์สูงสุด

ทันทีที่ดวงจิตบรรพกาลลงมือ หานเจวี๋ยก็ซัดฝ่ามือออกไปเช่นกัน

โทสะเทพอนธการ!

ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร!

พลังแห่งมหามรรคสามพันวิถีผสานเข้ากับพลังปฐมยุค กลายเป็นพลังอันเลิศล้ำที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน แทบจะในชั่วพริบตานั้น หกกฎเกณฑ์สูงสุดที่บิดเบี้ยวสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่เหนือฟ้าบุพกาลพลันสงบลง

พลังขั้นสุดยอดของหานเจวี๋ยปะทะเข้ากับพลังสูงสุดของดวงจิตบรรพกาล ผืนแผ่นดินของก้นบึ้งฟ้าบุพกาลพังทลายลงในทันใด ทุกตัวตนล้วนถูกบดขยี้แหลกเป็นผง ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลสั่นสะเทือน

แสงสว่างจ้าส่องวาบ ไม่ทราบเลยว่ากาลเวลาผันผ่านไปนานหลายยุคแล้วหรือว่าแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

สีสันหวนคืนสู่ฟ้าดิน

หานเจวี๋ยและดวงจิตบรรพกาลทั้งสองยืนหันหลังให้กัน ลอยค้างอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศที่พังทลาย

แสงเทพบนร่างของดวงจิตบรรพกาลสลายไปคล้ายหมอกควัน เผยร่างวิญญาณดั้งเดิมออกมา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”

ดวงจิตบรรพกาลพึมพำกับตัวเอง เสียงสั่นพร่าไปหมด

เขาหันไปมองหานเจวี๋ยอย่างยากลำบาก

หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาในทันใด ซัดปฐมยุคประทับนภาลงบนร่างเขา

ครั้งนี้ดวงจิตบรรพกาลไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนอีก อีกทั้งเขาได้สูญเสียกำลังที่จะดิ้นรนขัดขืนไปแล้ว

เขาจ้องหานเจวี๋ยเขม็ง ดวงตาฉายแววหวาดกลัว

ไม่ผิด!

เป็นความหวาดกลัว!

ดวงจิตบรรพกาลที่ทะนงตนว่าไร้พ่ายแล้ว ไม่คิดเลยว่าพออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยจะยังแพ้ราบคาบอยู่ดี

“เจ้าเป็นใครกันแน่…”

ดวงจิตบรรพกาลเอ่ยถามเสียงสะท้าน ทว่าในใจเขามีคำตอบแล้ว

ที่แท้ตัวตนเหนือชั้นที่ล่องลอยไร้ตัวตนเหล่านั้นที่เขาหวาดกลัวมาตลอดก็อยู่ในฟ้าบุพกาลด้วย อริยะสวรรค์เกรียงไกรที่อยู่ตรงหน้าคือหนึ่งในตัวตนเหล่านั้น!

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าเป็นเพียงเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งที่เร้นกายบำเพ็ญอยู่ในมรรคาสวรรค์ หากมิใช่เพราะเจ้าจ้องจะทำลายมรรคาสวรรค์ให้ได้ ข้าคงไม่ลงมือ เหตุใดฝึกบำเพ็ญแล้วยังต้องการจะต่อสู้ให้ได้อีกเล่า ดวงจิตบรรพกาล เจ้าไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้ว”

พอสิ้นเสียงเขา ปฐมยุคประทับนภาก็บดขยี้ร่างวิญญาณของดวงจิตบรรพกาลทันที

………………………………………………………………