“ฉันรู้ค่ะว่าเรื่องมันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ว่า……”
ปาจรีย์ขยับปากเล็กน้อย อยากพูดอะไรอีกบางอย่าง พงศกรยกมือขึ้น ตัดบทเธออีกครั้ง “เอาล่ะ ฉันบอกว่า เลิกพูดได้แล้ว”
ปาจรีย์ก้มหน้า “ค่ะ”
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในห้องผู้ป่วยก็เข้าสู่ความเงียบ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปาจรีย์ยังคงเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบายใจ แล้วถาม “คุณพงศกรคะ คุณเป็นหมอสมอง งั้นคุณรู้ไหมคะ ว่าก้อนเลือดในสมองคุณ มันจะหายไปมั้ย?”
เธอกังวลอย่างมากว่ามันจะไม่หายไป หลังจากนั้นมันจะค่อยๆ กลายเป็นมะเร็งขึ้นมาคงจะยุ่ง
เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอเคยดูละครเรื่องหนึ่ง นางเอกละครมีก้อนเลือดในสมอง กดทับเส้นประสาทการมองเห็น หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆ กลายเป็นมะเร็งแล้วก็ตายในที่สุด
ดังนั้นเธอจึงคิดได้ว่า เพียงแค่ปัญหาเดียวเล็กๆ ก็สามารถกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในท้ายที่สุด
เรื่องมีสิ่งบางอย่างอยู่ในสมองแบบนี้ ไม่สามารถเพิกเฉยได้
เมื่อมองปาจรีย์ที่สองมือกำลังกุมกันแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ริมฝีปากของพงศกรก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “หายได้”
“จริงเหรอคะ?” ปาจรีย์ดวงตาเป็นประกาย บนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
พงศกรพยักหน้า “ฉันคือหมอสมอง เธอคิดว่าฉันจะไม่รู้เหรอ?เธอคิดว่าฉันจะล้อเล่นกับอาชีพตัวเองงั้นเหรอ?”
“ไม่ค่ะๆๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนี้” ปาจรีย์รีบส่ายหน้าอธิบาย “ฉันแค่ดีใจมากไปหน่อย เลยอดที่จะเช็คไม่ได้”
“อ๋อเหรอ?ดีใจเกินไป?” พงศกรโน้มเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วจ้องไปที่ดวงตาของเธอ “ฉันไม่เป็นไร เธอดีใจมากเลยเหรอ?”
สายตาของปาจรีย์รีบแวบหลบสายตาของเขา หลังจากนั้นก็พยักหน้า “ค่ะ ฉันดีใจมาก พ่อของฉันเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้น ถ้าคุณเป็นอะไรไป ครอบครัวเราคงไม่สบายใจ ดังนั้นพอได้ยินว่าคุณไม่เป็นอะไร ฉันก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แบบนี้ ครอบครัวเรา ก็จะได้ไม่ต้องแบกรับภาระทางจิตใจมากเกินไป”
ปาจรีย์เม้มริมฝีปากบาง “ฉันนึกว่า เพราะว่าเธอเป็นห่วงฉันซะอีก”
ประโยคที่เขาพูดขึ้นไม่ได้เสียงดังนัก ปาจรีย์จึงได้ยินไม่ชัด จึงเอียงหัวอย่างสงสัย “คุณพงศกร คุณว่าอะไรนะคะ?”
“เปล่าหรอก” พงศกรหลับตาลง ตอบกลับอย่างแผ่วเบา
ปาจรีย์รู้สึกได้ว่าอยู่ๆ เขาก็เย็นชาขึ้น แต่กลับไม่รู้สาเหตุ ยักไหล่เล็กน้อย และไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่ถาม “ใช่แล้วคุณพงศกรคะ ก้อนเลือดในสมองคุณ นานแค่ไหนถึงจะหายไปคะ?”
“ประมาณเดือนกว่า” พงศกรเอนหลังพิงหัวเตียงอีกครั้งแล้วตอบ
ปาจรีย์พยักหน้า “งั้นก็ดีค่ะ”
เดือนกว่าเลยเหรอเนี่ย ไม่เร็ว แต่ก็ไม่ได้นานมาก ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตที่รับได้
“แต่ในหนึ่งเดือนนี้ คุณจะมีอาการเวียนหัวหรือปวดหัวมั้ยคะ?” ปาจรีย์ถามพงศกรถามแล้วถามอีก
พงศกรมองขึ้นไป แล้วอืมเพื่อตอบรับ “ประมาณนั้น เป็นปรากฏการณ์ปกติ”
“ใช่มั้ยคะ” ปาจรีย์พยักหน้าทันที
เธอส่ายหัวตามจิตสำนึก “ยังค่ะ”
ใบหน้าพงศกรมืดลง “เพราะอะไรถึงยัง?”
“ลืมค่ะ” ปาจรีย์ก้มหน้า ตอบด้วยเสียงเบา
พงศกรเม้มริมฝีปากบางอย่างแน่น “ฉันบอกเธอไปแล้วเมื่อตอนกลางวัน ว่าให้เธอรีบจัดการไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงไม่ฟัง นี่ตกลงว่าเธอลืมจริงๆ หรือตั้งใจไม่ทำกันแน่?”
“ฉัน……ฉันลืมจริงๆ ค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ” ปาจรีย์โบกมืออธิบาย
พงศกรมองที่เธอ ราวกับกำลังจะยืนยันความจริงเท็จจากเธอ
แต่เมื่อมองไปที่ท่าทางประหม่าและหวาดกลัวของเธอ ท้ายสุดก็ถอนหายใจอย่างใจอ่อน “ครั้งนี้ช่างมันเถอะ”
เมื่อปาจรีย์ได้ยินว่าเขาไม่ยึดมั่นกับมัน ดวงตาก็เป็นประกาย จึงรีบขอบคุณ “ขอบคุณค่ะคุณหมอพงศกร”
พงศกรไม่ตอบอะไร แต่กลับถือโทรศัพท์ แล้วกดอะไรบางอย่างในโทรศัพท์
ปาจรีย์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง มองเขาอย่างระมัดระวัง
หลังจากมองไปสักพัก เธอกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยปาก “คุณพงศกรคะ ฉันอยากรู้ค่ะ ว่าทำไมคุณต้องให้ฉันเข้าพักที่โรงพยาบาลด้วย?คุณหมอสั่งให้ฉันดูแลร่างกายให้ดีๆ เพราะจะได้คลอดอย่างราบรื่น แล้วถึงจะให้ฉันนอนที่โรงพยาบาล คุณ……”
“เธอจะพูดอะไร?” พงศกรขมวดคิ้ว หลังจากนั้นก็คว่ำโทรศัพท์ แล้วเงยหน้าขึ้น
ปาจรีย์สูดหายใจลึก “ฉันจะพูดว่า คุณไม่อยากให้ฉันคลอดเด็กคนนี้ออกมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอคะ?คุณไม่ชอบเขา เพราะว่าเขาอยู่ในท้องฉัน เพราะฉะนั้นเมื่อคุณรู้ว่าภาพเด็กในท้องนั้นไม่มั่นคง ก็ควรจะโล่งใจไม่ใช่เหรอคะ?ทำไมถึงอยากกให้ฉันนอนที่โรงพยาบาลกันล่ะ?การที่ฉันนอนโรงพยาบาล ก็มีแต่จะทำให้รักษาเด็กคนนี้เอาไว้”
ริมฝีปากพงศกรฉุดขึ้น “ที่แท้เธอก็อยากพูดเรื่องนี้?”
ปาจรีย์ตอบรับด้วยเสียงเล็ก “ค่ะ ที่จริงแล้วฉันอยากถามมาตลอด ว่าทำไมอยู่ๆ คุณถึงเห็นด้วยกับการให้ฉันเก็บเด็กไว้ ตอนแรก ที่คุณบอกว่าฉันสามารถเก็บเด็กไว้ได้ และยอมไม่เอาพ่อฉันเข้าคุก ถึงแม้ว่าในใจฉันจะดีใจมาก แต่ก็รู้สึกหวาดหวั่นมาตลอด ฉันไม่คิดว่าคุณจะยอมให้เก็บเด็กคนนี้ไว้ได้จริงๆ ”
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ล่ะ?” พงศกรกอดอกแล้วจ้องเธอ
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก “ง่ายมากเลยค่ะ เพราะว่าคุณให้ฉันเอาเด็กออก ถึงแม้ว่าฉันจะจำความทรงจำครั้งนั้นไม่ได้ แต่จากที่คนรอบข้างเล่าให้ฟัง รวมถึงความกลัวที่ฉันมีต่อคุณ ฉันก็รู้ได้ว่าเรื่องราวครั้งนั้นสำหรับฉัน มันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ แล้วฉันก็ยิ่งมั่นใจมาก ว่าคุณไม่ต้องการเด็กคนนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นหลังจากนั้น อยู่ๆคุณก็บอกให้ฉันเอาเด็กไว้อย่างผิดปกติ ฉันเลยคิดว่ามันแปลกไปหน่อย ทำไมอยู่ๆคุณถึงเปลี่ยนใจกันคะ?”
“เธอคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?” พงศกรถามกลับไม่ตอบคำถาม
ปาจรีย์ครุ่นคิด ส่ายหัว “พูดความจริง ฉันไม่รู้ค่ะ แล้วก็คิดหาเหตุไม่ออกด้วย คงไม่ใช่เพราะอยู่ๆ คุณมีความรู้สึกถึงความเป็นพ่อที่รักลูกต่อเด็กคนนี้ เลยเปลี่ยนใจให้เก็บเด็กคนนี้เอาไว้หรอกนะ?”
พูดเพียงเท่านี้ เธอก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้
ความรู้สึกของความเป็นพ่อที่มีต่อเด็กคนนี้?
จะเป็นไปได้ยังไง!
เธอเป็นแม่ของเด็กคนนี้ เขาไม่ชอบเธอขนาดนี้ เกลียดเธอขนาดนี้ ไม่ยอมให้เธอคลอดลูกของเขา เพราะฉะนั้นจะมีความรู้สึกกับเด็กในท้องเธอได้ยังไงกัน
เวลารักก็รักทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ในเวลาเดียวกันตอนเกลียดก็เกลียดทุกอย่าง
เมื่อเห็นสีหน้าเยาะเย้ยของปาจรีย์ นัยน์ตาพงศกรก็มืดลง
เขาไม่ต้องถามให้มากความ ก็พอจะเดาได้ ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
รู้สึกหมดหนทางอยู่ในใจ
หลายครั้ง ที่เธอคิดคำตอบออกแล้วแท้ๆ แต่เธอแค่ไม่อยากจะเชื่อ แถมยังปฏิเสธอย่างมาก
หรือว่า เขาไม่คู่ควรกับความเชื่อใจของเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?
แต่ก็ใช่ สิ่งที่เขาทำในอดีต มันได้ทำให้เธอเริ่มที่จะลืมมันไปอย่างสิ้นหวัง สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว เขาก็แค่คนแปลกหน้าที่มีความแค้นต่อเธอคนหนึ่ง
ในเมื่อเป็นคนแปลกหน้า ก็ยิ่งไม่คู่ควรกับความเชื่อใจ
ดังนั้น ที่เธอปฏิเสธจากการคาดเดาทั้งหมด ก็เป็นผลกรรมของเขาเช่นกัน
พงศกรคลึงที่คิ้ว “ปาจรีย์ ถ้าฉันบอกว่า ที่ฉันอยากให้เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้ เป็นเพราะว่ากับเด็กคนนี้นั้น ฉันเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาแล้วจริงๆล่ะ?”
ปาจรีย์ตาเบิกกว้าง “อะไรนะ?”