เริ่มมีความรู้สึกกับเด็ก?
เป็นไปได้ยังไง
ปาจรีย์ส่ายหัวและถอยหลังไปสองก้าว มองที่สายตาของพงศกร รู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม
เห็นได้ชัด ว่าเธอยังคงไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาพูด
พงศกรเม้มปาก และก็ไม่ได้ยืดหยัดที่จะให้เธอต้องเชื่อ
ยังไงซะ ความระมัดระวังในใจของเธอที่มีต่อเขาก็ไม่สามารถกำจัดไปได้ในวันเดียว เธอไม่มีทางเชื่อเขาได้ในวันเดียว
ดังนั้น เรื่องของความเชื่อใจ ต้องค่อยเป็นค่อยไป
“เธอไม่เชื่อก็ช่างเถอะ เธอก็ถือซะว่าฉันโกหกเธอแล้วกัน” พงศกรพูดนิ่งๆ
ปาจรีย์กัดปาก
เธอบอกแล้ว เขาจะมีความรู้สึกกับเด็กได้ยังไง
เขาพูดเล่นจริงๆ ด้วย
แต่การแกล้งแบบนี้ เขาเองก็ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เหมือนกัน
สูดหายใจหนึ่งที ปาจรีย์ถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างงั้นคุณพงศกรคะ ตกลงแล้วทำไมคุณถึงยอมให้ฉันเก็บเด็กไว้คะ แถมยังให้ฉันนอนโรงพยาบาล ฉันมั่นใจมาก ว่าคุณอยากให้ฉันคลอดเด็กออก แล้วหลังจากคลอดออกมาแล้วล่ะคะ?คุณจะเอาเด็กไปทิ้งใช่มั้ย?”
สิ่งที่เธอกังวลที่สุดในตอนนี้คือเรื่องนี้
ใช่ เธอไม่ได้กังวลว่าเขาจะให้เธอเอาเด็กออกอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่กังวลคือ เมื่อเธอคลอดเด็กออกมาแล้ว เขาจะเอาเด็กไปทิ้ง หรือไม่ก็ให้คนอื่น ทำให้พวกเธอแม่ลูกชาตินี้ไม่ได้เจอกันอีก
ถ้าเป็นแบบนี้จริง เธอก็จำเป็นต้องบอกว่า วิธีการของเขานั้นมันชั่วช้ามาก
การแก้แค้นวิธีนี้ ช่างไร้มโนธรรมจริงๆ
การเอาเด็กไป ทำให้เธอไม่ได้เจอลูกอีกตลอดไป พอเอามาเปรียบเทียบกับการให้เธอเอาเด็กออก มันทรมานกว่ามาก
คิดเพียงเท่านี้ สีหน้าของปาจรีย์ก็กลายเป็นสีขาว และหายใจเร็วขึ้นอยากควบคุมไม่ได้ เมื่อมองไปที่สายตาของพงศกร ก็เพิ่มความระวังตัวมากขึ้น
พงศกรสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอได้อย่างเป็นธรรมดา จากสายตาของเธอ ก็เข้าใจได้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ส่ายหน้าอย่างจำใจ “เก็บความคิดที่ทำให้คนอื่นช็อคของเธอไปซะ การอุ้มเด็กไปทิ้ง พงศกรอย่างฉันทำไม่ลงหรอก”
ปาจรีย์กลืนน้ำลาย “เพราะงั้น……คุณพงศกร คุณจะไม่เอาเด็กไปใช่ไหม?”
พงศกรอืมเพื่อตอบรับ “ฉันไม่ได้จิตใจแบบนั้น”
ปาจรีย์กำมือแน่น ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “ดีจัง ฉันนึกว่าที่คุณจะให้ฉันลอดเด็กออกมา เพราะว่าจะเอาเด็กไป แล้วไม่ให้เราแม่ลูกได้เจอกันอีก เพื่อสนองจุดประสงค์การแก้แค้นของคุณ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวพูด พงศกรก็รู้สึกหมดคำพูด “นี่เธอมโนเก่งมากเลยนะ”
ปาจรีย์ก้มหน้า “ขอโทษค่ะคุณพงศกร ฉันก็ไม่ได้อยากจะคิดแบบนี้หรอก มันเพราะคุณมอบเงาในใจให้ฉันมากเกินไปจริงๆ ฉันเลยจำเป็นต้องคิดให้มากกับทุกเรื่อง”
ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้อยากจะคิดเรื่องพวกนี้หรอก คิดมากไป เธอก็คิดว่าตัวเองประหม่า จนจะกลายเป็นโรคประสาทอยู่แล้ว
แต่เธอช่วยไม่ได้จริงๆ
หลังจากที่พงศกรได้ฟังสิ่งที่ปาจรีย์อธิบาย ในใจก็รู้สึกเหนื่อยในเวลาเดียวกัน และรู้สึกละอายใจ
เพราะที่เธอคิดไปเรื่อยแบบนี้ ทั้งหมดมันมาจากความกดดันและเงาดำที่เขามอบให้เธอจริงๆ
“ช่างเถอะ” พงศกรดันแว่นตาและคลึงที่สันจมูก “ที่ฉันให้เธอเก็บเด็กไว้ ให้นอนที่โรงพยาบาลดูแลร่างกายเพื่อคลอดให้ดี ไม่มีเหตุผลอื่น และก็ไม่ได้คิดจะเอาเด็กไป ไม่ให้พวกเธอแม่ลูกไม่ได้เจอหน้ากันอีกทั้งชาติด้วย อยู่ๆ ฉันก็แค่อยากจะเห็น ว่าลูกของฉันจะหน้าเป็นยังไง จะฉลาดหรือโง่”
เขาตั้งใจพูดแบบนี้ เพื่อขจัดความสงสัยสุดท้ายในใจของปาจรีย์
ปาจรีย์กะพริบตา จ้องมองไปที่พงศกร ราวกับอยากจะเห็นว่าสิ่งที่พงศกรพูดนั้นจริงหรือเปล่า
แต่เพื่อมองไปสักพัก เมื่อมองไปที่พงศกรภายใต้สายตาของเธอ สีหน้านั้นไม่ได้เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย จึงสบายใจอย่างมาก
สิ่งที่เขาพูด น่าจะเป็นความจริง ที่อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจกะทันหัน ให้เธอเก็บเด็กไว้ ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความรู้สึกต่อเด็ก และก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากจะแก้แค้นเธอ
แต่เพราะว่าเขาเริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นกับเด็กคนนี้
เขาแค่อยากรู้ ว่าเด็กที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จะหน้าตาเป็นยังไงแค่นั้น
พูดตรงๆ เขาแค่มีอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาแค่นั้น ที่สนใจเด็กคนนี้ขึ้นมา ส่วนอย่างอื่น ก็ไม่มีอะไร
แต่ก็แล้วแต่ เธอก็ไม่ได้หวังให้เขามามีความรู้สึกกับเด็กคนนี้ แค่เขาอย่ามาหลอกใช้เด็กคนนี้ วางแผนกับเด็กคนนี้ หรือใช้เด็กคนนี้มาแก้แค้นตระกูลสวนจันทร์ก็พอ
อย่าอื่น เธอไม่เพ้อฝัน
“เอาล่ะ ไปจัดการเรื่องนอนโรงพยาบาลเถอะ ถ้าเธอต้องการเด็กคนนี้ล่ะก็ รีบๆ ซะ อย่ายืดเยื้อ” พงศกรมองไปที่ปาจรีย์ แล้วก็พูดขึ้น
ปาจรีย์พยักหน้า “ฉันรู้แล้วค่ะ เดี๋ยวฉันไป ตอนว่าตอนนี้เย็นแล้ว คุณพงศกร คุณหิวยังคะ?”
พงศกรมองขึ้นไป “ยังได้อยู่”
ไม่ได้บอกว่าไม่หิว บอกแค่ว่าได้อยู่ แต่จริงๆ หิวแล้วใช่ไหมคะ?
ปาจรีย์ถกแขนเสื้อขึ้น “งั้นคุณอยากกินอะไรคะเดี๋ยวฉันไปทำ”
เธอมองเขาแล้วถาม
พงศกรค่อยๆหลับตา เหมือนกำลังครุ่นคิด
ผ่านไปประมาณสองสามวินาที เขาก็เงยหน้าขึ้น สั่งอาหารมาสองสามอย่างช้าๆ
ปาจรีย์พยักหน้า คิดในใจว่าเธอทำเป็นทั้งหมด และทำที่นี่ก็ได้ จึงยิ้มและตอบรับ
“งั้นโอเคค่ะ งั้นฉันไปทำอาหารก่อนนะคะ” พูดอยู่ ปาจรีย์ที่กำลังจะเดินไปที่ครัว
“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นพงศกรก็เรียกเธอ
ปาจรีย์หยุดฝีเท้า แล้วหันไป “คุณพงศกร คุณจะสั่งอะไรอีกคะ?”
พงศกรมองที่เธอ “เอาเอกสารรับรองเธอมาให้ฉัน”
“เอกสารรับรอง?” ปาจรีย์ชะงัก หลังจากนั้นถาม “คุณจะเอาไปทำอะไรคะ?”
เขาคงไม่เอาเอกสารรับรองของเธอไปยึดหรอกนะ?
เพื่อดับทางไม่ให้เธอแอบหนีไป
พงศกรมองไปที่สีหน้าของปาจรีย์ ก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เส้นสีดำสองสามเส้นเลื่อนผ่านขึ้นมาบนหน้าผาก “นี่เธอคิดเรื่อยเปื่อยอีกแล้วนะ”
ปาจรีย์แลบลิ้น ไม่พูดอะไร
ช่วยไม่ได้ ก็เธอมันอดไม่ได้นี่หน่า
เมื่อกี้เธอพูดไปแล้ว ว่าเงาดำที่เขาทิ้งไว้ในจมันใหญ่เกินไป เพียงแค่ยื่นข้อเสนอหรือเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ มาให้เธอ เธอก็อดคิดเยอะไม่ได้
“เปลี่ยนโรคนี้ของตัวเองซะ” พงศกรขมวดคิ้ว “เป็นแบบนี้ต่อไป ประสาทแข็ง ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นโรคประสาท”
ปาจรีย์ฝังมันเข้าไปในหัวลึกเกินไป
เธอก็รู้ว่าตัวเองประสาท มโนไปทั่วนั้นไม่ดี ทำให้ตัวเองป่วยได้
แต่ว่า เธออดไม่ได้จริงๆ ก็ควบคุมไม่ได้นี่
แต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เธอค่อยๆ เปลี่ยนก็พอ
“ที่ฉันจะเอาใบรับรองเธอ ก็เพราะจะจัดการเรื่องเข้าแอดมิดให้เธอ” พงศกรเม้มปากพูด
ปาจรีย์ตาเบิกกว้าง “จะจัดการเรื่องแอดมิดให้ฉัน?”
“อืม” พงศกรพยักหน้า ไม่ปริปาก
พงศกรโบกมือ “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณพงศกร เรื่องแบบนี้ ฉันจัดการเองก็ได้ เมื่อกี้นี้ฉันก็ตอบตกลงว่าจะแอดมิดแล้วไม่ใช่เหรอคะ บอกว่าเดี๋ยวไปจัดการ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวฉันไปจัดการเองก็พอแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวไปใครจะรู้ว่าเธอจะลืมหรือไม่ลืมอีก” พงศกรผลักแว่น เริ่มหงุดหงิด “เอาล่ะ รีบเอาเอกสารรับรองมาให้ฉัน ฉันจะจัดการให้เธอเลย”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือ ท่าทางที่ไม่ยอมถ้าไม่ให้เอกสารไป
ปาจรีย์เห็นท่าทีแล้ว หมดหนทาง ทำได้แค่เดินไปที่กระเป๋าตัวเอง หยิบเอกสารรับรองออกมา ยื่นไปที่มือเขา
เมื่อพงศกรเห็นว่าเธอเชื่อฟัง จึงรับมาอย่างพอใจ “ไปทำธุระเถอะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณพงศกร” ปาจรีย์โค้งตัวให้เขาเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ห้องครัว
ภายในห้องคนไข้เหลือเพียงแค่พงศกรคนเดียว เขาก้มมองเอกสารรับรองในมือ ดวงตามืดสนิท
รูปบนเอกสารรับรอง คือรูปที่ปาจรีย์ถ่ายตอนเรียนมหาลัย แค่เห็นเขาก็จำได้ทันที
เพราะเขาเคยเห็น หน้าตาตอนที่เธอเรียนมหาลัย
และเธอก็เป็นคนขี้เกียจมาก และก็ไม่เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นที่ชอบถ่ายรูป
ดังนั้นหลายปีมานี้ รูปที่เธอใช้ในเอกสารรับรองทั้งหมด ใช้เป็นรูปที่ถ่ายตอนเรียนมหาลัย บอกว่าขี้เกียจเปลี่ยน แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว
ดังนั้น แบบนี้ไม่เรียกว่าขี้เกียจแล้วเรียกว่าอะไร?