บทที่ 911 ความตั้งใจของเสี่ยวหลิ่ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 911 ความตั้งใจของเสี่ยวหลิ่ว

บทที่ 911 ความตั้งใจของเสี่ยวหลิ่ว

ถึงจะบอกกันว่าการช่วยดอกไม้ที่ร่วงโรยให้กลับมาอยู่ในสภาพดีได้อีกครั้งจะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ

แต่ถ้าเราได้ดอกไม้คุณภาพดีกลับมาแต่แรก จะไม่ยิ่งมีความสุขกว่าหรือ?

เสี่ยวเถียนมีเงิน เธอไม่ห่วงหรอกถ้าจะซื้อดอกไม้ที่ชอบเพิ่มอีกสักสองกระถาง

เธอกินข้าวกลางวันที่โรงแรม

กลุ่มของฟ่านชูฟางออกไปทำงาน เลยไม่ได้กลับมาในตอนกลางวัน

หยางลี่หมิงเลยให้เสี่ยวหลิ่วไปชวนเสี่ยวเถียนมากินข้าวด้วยกัน

เสี่ยวเถียนตอนเห็นเสี่ยวหลิ่วก็ต้องแปลกใจที่อีกฝ่ายเดินยิ้มเข้ามา

ผู้หญิงคนนี้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ เสี่ยวเถียนย่อมมองออกแต่แรก

แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมายืนยิ้ม ชวนไปกินข้าวด้วยกันเนี่ย?

ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

บางทีคงจะคิดได้แล้วมั้ง

เจ้าตัวคงคิดว่าเธอไม่ใช่คู่แข่ง เลยอยากอยู่แบบสงบสุขสินะ

เสี่ยวเถียนไม่คิดจะคุยด้วยอยู่แล้ว

ในเมื่อเราไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเมินเฉยต่อกัน

จากมุมมองเสี่ยวเถียน อีกฝ่ายก็เป็นแค่คนผ่านไปผ่านมาเท่านั้น!

เธอไม่อยากพูดอะไรอีก แต่ก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากพูดกับเธอก่อน

“เสี่ยวเถียน เมื่อเช้าพี่ไปซื้อหนังสือที่ร้านซินฮวามา แต่พี่ไม่ได้เรียนมาหลายปีแล้วน่ะ ก็เลยมีหลายเนื้อหาที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ”

อะไรนะ?

เด็กสาวมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ

แต่แล้วความคิดอันน่าเหลือเชื่อก็แวบเข้ามาในหัว

หรือที่จู่ ๆ ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้น มาจากผลงานของเสี่ยวหลิ่วหรือ?

แต่ไม่น่าเป็นไปได้หรือเปล่า?

ต่อให้เจ้าตัวจะอ่านหนังสือหรืออะไร ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเลยนี่นา

อีกอย่างระบบไม่เคยบอกด้วยว่าขอแค่คนเรียนหนังสือก็จะได้แต้มมาแล้ว

ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ ๆ แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นเลยนะ

เพราะแบบนี้แหละก็เลยไม่เข้าใจที่ได้แต้มมายังไงล่ะ

“ทำไมจู่ ๆ ถึงอ่านหนังสือล่ะคะ?” เธอสงสัยมาก

ต้องมีเหตุผลสิ

“พี่เห็นเธอตั้งใจอ่านหนังสือบนรถไฟน่ะ ก็เลยรู้สึกว่าพี่เหมือนกำลังทิ้งเวลาให้เสียไปเปล่า”

“พี่ได้ยินประธานหยางคุยกับท่านอธิบดีฟ่านด้วยว่าเธอเป็นนักศึกษา เรียนเก่ง เชี่ยวชาญหลายภาษา พี่ก็เลยคิดว่าตัวเองยังสาวอยู่เลยไม่ควรทำตัวไร้สาระอยู่แบบนี้น่ะ”

เสี่ยวเถียนยังคงประหลาดใจ ทำไมคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนถึงมาตั้งใจเรียน เพียงเพราะเห็นเธออ่านหนังสือได้ล่ะ?

ไม่ว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้เลยนะ!

“พี่รู้แล้ว เธอเหมาะจะสอนพี่จริง ๆ นะ!”

เสี่ยวหลิ่วละอายใจเล็กน้อย

โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ ๆ แต่กลับสู้เด็กไม่ได้

เลยกลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะถ้าพูดออกไป

แต่เธอเป็นคนกล้าเผชิญหน้า

เสี่ยวเถียนคาดไม่ถึงกับคำตอบ

ตอนนี้จึงไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี

“พี่เสี่ยวหลิ่วค่อย ๆ เริ่มทำดูนะ หนูชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยเคยชินไปแล้วน่ะ”

สุดท้ายก็เอ่ยตอบแบบห้วน ๆ ออกไป

เสี่ยวหลิ่วสัมผัสได้ถึงความไม่ใส่ใจในคำตอบ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

จากนั้นก็มองไปยังที่ไกล ๆ

“หลายครั้งที่คนเรามักจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ บางครั้งก็มีคำถามกับตัวเองว่าทำไปทำไม?”

“หลังจากพี่จบมัธยมปลาย ก็ทำงานที่ที่บ้านช่วยหาให้เลย”

“พวกเขาบอกว่าพี่เป็นผู้หญิง มีคนที่บ้านช่วยหางานให้ก็ดีถมถืดแล้ว”

“แต่พี่ไม่พอใจที่พวกเขาทำแบบนั้น แล้วพวกเขาก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกพี่ด้วย กลับเอาแต่เป็นคิดห่วงอนาคตของลูกชายที่จะสืบทอดตระกูลมากกว่า”

“พี่เป็นคนอ่อนไหว ปากอย่างใจอย่าง เพราะงั้นก็เลยทำให้พี่ยิ่งนิสัยแย่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ”

“แต่เพราะสิ่งที่เธอทำ พี่จึงเข้าใจอะไร ๆ หลายอย่าง การที่คนอื่นไม่สนใจเราไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ที่สำคัญคืออย่ายอมแพ้และมุ่งมั่นเพื่อตัวเองในแบบที่ดีที่สุด”

เสี่ยวเถียนไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาให้เธอฟังรวดเดียวแบบนี้

ถึงจะไม่ชอบเสี่ยวหลิ่ว แต่เวลาคนอื่นคุยด้วย เธอก็ยังมีความอดทนในการฟังนะ

ถ้าหล่อนอยากพูดเธอก็จะรับฟังเอง!

“แล้วยังไงต่อคะ?”

เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไป

“พี่ตั้งใจว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะ แต่มันเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนเองก็เลยมาหาคนช่วยสอน พอเปิดเทอมก็ไปเรียนได้แล้ว แต่ว่า…ก็ยังมีปีหน้าอีกนี่นา พี่จบมัธยมปลายตอนอายุ 16 ปีนี้ก็อายุ 19 แล้ว แต่คงไม่แก่เกินเรียนหรอก”

แล้วถ้าที่บ้านไม่อยากให้เรียนล่ะ?

ไม่เป็นไรเลย เพราะสองสามปีที่ทำงาน เธอมีเงินเก็บอยู่บ้าง พอจะส่งตัวเองเรียนได้

เสี่ยวหลิ่วเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เห็นแววตาก็รู้แล้วว่าพบเส้นทางของตัวเองแล้ว

เสี่ยวเถียนหัวเราะ

วางแผนได้ดีทีเดียว ช่วงอายุ 18 ถึง 19 ปี คืออายุปกติที่จะเรียนมหาวิทยาลัยสำหรับสิบปีให้หลัง

แถมตอนนี้คนเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่คนอายุน้อยอะไร การที่เสี่ยวหลิ่วจะไปสอบก็ไม่ถือว่าฉิวเฉียดอะไร

“พี่เสี่ยวหลิ่วมาถูกทางแล้วค่ะ!”

สถาบันการศึกษาในยุคนี้ขาดแคลนคนเรียนหนังสือ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อนาคตไม่สามารถเทียบได้คือ คุณสามารถรักษาตำแหน่งหน้าที่การงานไว้ก่อนแล้วไปเรียนหนังสือได้ บางทีอาจจะได้เงินเดือนมาส่งตัวเองเรียนด้วยก็ได้นะ

ถ้าเสี่ยวหลิ่วได้เรียน อนาคตไกลแน่นอน

คุณย่าหยางไม่ใช่คนขัดขวางความก้าวหน้าของลูกน้องอยู่แล้ว เผลอ ๆ ท่านจะสนับสนุนเต็มที่เสียด้วยซ้ำ

“แต่พี่ไม่ได้เรียนมาสามปีเลยน่ะสิ ลืมไปหมดแล้วละ”

เสี่ยวหลิ่วเป็นคนที่รู้ข้อเสียตัวเอง

ตนไม่ได้ฉลาด แต่เชื่อว่าถ้าขยันจะเอาชนะมันได้

ขอแค่ตั้งใจก็เรียนได้เสมอ แล้วถ้าหน้าหนาพอก็ขอให้คนสอนเอาสิ เช่นเสี่ยวเถียนที่อยู่ตรงหน้านี่ไง!

“หวังว่าจะได้เจอกันในมหาวิทยาลัยสักวันนะคะพี่เสี่ยวหลิ่ว สู้ ๆ นะ!”

เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าคนพี่วางแผนจะให้ตนสอนในเรื่องที่เจ้าตัวไม่เข้าใจ

เธอชอบคนที่รักการเรียนรู้ โดยเฉพาะคนที่สามารถหาแต้มคะแนนเข้าระบบให้ด้วย

ทั้งสองเดินคุยกันไปจนถึงห้องอาหารชั้นสอง

พวกเธอดูสนิทสนมกันมาก

กระทั่งหยางลี่หมิงยังแปลกใจ เธอเตรียมที่ไว้ให้ทั้งสองคนนั่งห่างกันสามเมตรเลยล่ะ ใครจะไปรู้ว่าพวกเธอจะเดินจับมือคุยกันมาน่ะ

แต่หยางลี่หมิงเป็นคนฉลาด เรื่องของเด็ก ๆ เธอย่อมไม่เข้าไปยุ่ง