ภาค 1-2 บทที่ 116

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 116 พานพบก็เพราะบังเอิญ
แต่รอยยิ้มบนหน้าของหนิงอวิ๋นเจาก็แข็งค้างอย่างรวดเร็ว

เขามองเห็นหน้าตาของนางแล้ว

หน้าตานางดูมอมแมมยิ่งนัก

เส้นผมของนางยุ่งเหยิงอยู่บ้าง เสื้อผ้าก็ยับเยินเปื้อนฝุ่นดินใบหญ้า นอกจากนี้กระโปรงของนางยังถูกขูดขาด ยังมีรอยเลือดอยู่ประปราย

ที่แท้สีหน้าพิกลของบรรดาสหายก็พิกลเพราะสิ่งนี้หือ?

เขาล้วนไม่ได้สนใจ

ทำไมถึงไม่ทันสนใจนะ

หนิงอวิ๋นเจาตอนนี้รู้สึกเสียมารยาทยิ่งนัก

“เจ้าเป็นอะไรไป?” เขาเอ่ยถาม มองรอยเลือดตรงหัวเข่าบนกระโปรงของนาง เห็นชัดนัก กระโปรงหน้าร้อนบาง นั่นจึงเป็นเหตุให้หกล้มขูดขาด

คุณหนูจวินก้มหน้ามองทีหนึ่ง

คืนวานกลางคืนเดินทางแกะรอย ถูกจูจั้นทำร้ายจนหัวเข่าล้มกระแทกพื้น…

“เมื่อครู่บนถนนนคนมากมาย ทั้งยังวิ่งวุ่นกะทันหันอีก ข้าถูกเบียดล้ม” นางว่า ก้มศีรษะลงเอ่ยขึ้น

เหมือนกับเด็กน้อยทำผิดอึกอัก

“ล้มตรงไหน?”หนิงอวิ๋นเจารีบเอ่ยถาม

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

“ไม่เป็นไร แค่รอยถลอกนิดหน่อยที่ขาเท่านั้น” นางว่าเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง

“ทำไมมามุงดูเรื่องสนุกนี่ล่ะ นี่อันตรายยิ่งนัก” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ถึงคิดขึ้นได้ “เจ้า…ครอบครัวล่ะ?”

เขามองไปซ้ายขวารอบด้านทีหนึ่งกลับไม่เห็นคนตระกูลฟาง

เดิมทีเขาก็จำคนตระกูลฟางได้ไม่กี่คนเหมือนกัน

คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยวาจา ก็มีคนร้องตกใจขึ้นมา

“คุณหนูจวิน !”

ทุกคนมองไป นี่ไม่ใช่คนตระกูลฟาง แต่เป็นเด็กรับใช้ของหนิงอวิ๋นเจา เสี่ยวติง

เสี่ยวติงสีหน้าประหลาดใจมองคุณหนูจวิน

“ท่านตามนายน้อยของข้ามาจากหยางเฉิงหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ออกมาบรรดาสหายที่เดิมทีสีหน้าพิกลยิ่งเบิกตาบื้อใบ้

จากหนางเฉิง ตามมาหรือ

สายตาของพวกเขาสลับไปมาระหว่างตัวหนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวิน ยิ้มมีเลศนัย

หนิงอวิ๋นเจาถูกคำพูดของเสี่ยงติงทำให้โมโหแล้ว

“พูดเหลวไหลอะไร” เขาตวาด

คุณหนูจวินหัวเราะ

นางกลับเข้าใจที่เสี่ยวติงร้องเช่นนี้ หากตอนนี้มีคนหยางเฉิงอยู่ เห็นภาพนี้เข้าก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรตอนแรกเรื่องจวินเจินเจินคลั่งรักหนิงอวิ๋นเจาทุกคนล้วนรู้

“ข้ามาเอง” คุณหนูจวินไม่สนใจเสี่ยวติง เอ่ยกับหนิงอวิ๋นเจา

พูดถึงตรงนี้ก็พ่นลมหายใจมองท้องฟ้า

หลิ่วเอ๋อร์

สายป่านนี้แล้ว หลิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาตกใจแย่แล้วกระมัง

“ข้ากลับก่อนล่ะ” นางคำนับหนิงอวิ๋นเจา แล้วก็คำนับบรรดาชายหนุ่มที่ลอบมองพวกเขาสีหน้าพิกลอยู่ด้านข้าง

บรรดาชายหนุ่มรีบคำนับคืน

“เจ้ามาเองรึ?” หนิงอวิ๋นเจาประหลาดใจมาก

คุณหนูจวินพยักหน้า

“ข้ากับสาวใช้ของข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมตรงด่านเหนือนอกเมือง” นางว่า “ข้าเช้าตรู่ออกมาคนเดียว สาวใช้ของข้ายังไม่รู้ ข้ากลับไปก่อน ไม่เช่นนั้นนางอยู่โรงเตี๊ยมคนเดียวอาจจะหวาดกลัวได้”

มองนางหันกายไป หนิงอวิ๋นเจาก็รีบติดตาม

“ข้าไปส่งเจ้าเอง” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองบรรดาสหายของเขาทีหนึ่ง

“ไม่ต้องหรอก” นางว่า

“ข้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสมควร”หนิงอวิ๋นเจาคิดเล็กน้อยเอ่ยขึ้น แล้วมองขาของคุณหนูจวินทีหนึ่ง

คุณหนูจวินก็ไม่ได้ถนัดปฏิเสธคนอย่างไร นางทำธุระของตนเองมาโดยตลอด ส่วนเรื่องของผู้อื่นล้วนเป็นเรื่องของผู้อื่น

ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยวาจาอีกเดินไปข้างหน้า

หนิงอวิ๋นเจากวักมือเรียกเสี่ยวติงที่ยืนยิ่งอยู่ กำชับเสีงเบาหลายประโยค เสี่ยวติงเดินไปทางถนน ส่วนหนิงอวิ๋นเจาตามคุณหนูจวินไป

มองสองคนนี้พริบตาเดินออกไปจากสายตา ชายหนุ่มหลายคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ตะลึงอยู่บ้าง

“คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึง” ชายหนุ่มคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นมา

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนได้สติกลับมา สบถเป็นแถบทันที

“คิดไม่ถึงหนิงอวิ๋นเจาคนเช่นนี้ ถึงกับมีนางในใจด้วย”

“นอกจากนี้ยังเป็นคนคลั่งรักคนหนึ่ง ถึงกับพันลี้ตัวคนเดียวตามมาจากหยางเฉิง”

“ไม่แปลกที่อวิ๋นเจาตั้งแต่ปีนี้มาก็ใจไม่สงบ”

“ไม่ต้องพูดแล้ว จดหมายจากภรรยาที่ส่งมาจากเมฆเหล่านั้นก็ย่อมเป็นสิ่งนี้สินะ”

ทุกคนล้อหัวเราะครื้นเครงบรรยากาศสุขสันต์ จนกระทั่งมีคนด้านหลังกระแอมทีหนึ่ง

“คุณชาย อาหารของพวกท่านจะเก็บหรือว่าห่อกลับขอรับ?”

ชายหนุ่มหลายคนหันกลับมา มองเห็นพนักงานโรงน้ำชาหน้าตาดุร้ายโหดเหี้ยมสี่ห้าคนล้อมเข้ามาหาพวกเขา

เพราะปีหน้าสอบใหญ่ นักเรียนมากมายล้วนจากต่างถิ่นมารวมกันที่เมืองหลวง อยู่ทีหนึ่งนานขนาดนี้ ทั้งยังมาถึงสถานที่แปลกใหม่ นักเรียนมากมายทนต่อความเย้ายวนไม่ไหวเงินทองหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วว่องไวยิ่งนัก

บัณฑิตกินแล้วชักดาบเรื่องนี้ช่วงนี้ไปจนถึงสอบใหญ่สิ้นสุดพบเห็นเป็นปกติ

แต่โรงน้ำชาซานหยวนของพวกเขาหาใช่สถานที่ซึ่งทำตามอำเภอใจเช่นนั้นได้

“แล้วก็ พวกท่านผู้ใดจะเป็นคนจ่ายเงินขอรับ?” พนักงานที่เป็นหัวหน้ามองมาดร้ายเอ่ยถาม

ถูกคนตั้งคำถามสงสัยเช่นนี้ บวกกับรอบด้านชาวบ้านมุงดูชี้นิ้ว บรรดาชายหนุ่มก็ลนลานอับอายขึ้นมาอยู่บ้าง

“เขาไม่ได้จ่ายเงินหรือ?”

“ข้าไม่ได้เอาเงินมานะ”

“ข้าก็ไม่มี”

“เขาบอกจะเลี้ยงพวกเรา แต่หนีไปแล้ว”

“เขาจะไปส่ง ทิ้งเสี่ยวติงไว้จ่ายเงินก็ได้ไหม”

“วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าอะไรเรียกได้หญิงทิ้งเพื่อน”

หนิงอวิ๋นเจามองโรงเตี๊ยมด้านหน้า

“โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่เลวเลย” เขาพยักหน้าเอ่ยชม “เจ้าเลือกเองหรือ?”

คุณหนูจวินคิดเล็กน้อย มือป้องปากเอนกายไปทางเขานิดๆ

“เลือกตามที่บนแผนที่แนะนำ” นางเอ่ยเสียงเบา

แผนที่อะไร หนิงอวิ๋นเจาเข้าใจทันที

“เจ้าระวังเช่นนี้ถูกต้องยิ่ง” เขาเม้มปากยิ้ม “ต่อให้เป็นข้าถามก็ไม่อาจพูดเสียงดังออกมาได้”

คุณหนูจวินยิ้ม

เรื่องนี้ไม่มีอะไรคู่ควรให้เอ่ยชม

“ตอนนี้เมืองหลวงตึงเครียดอยู่บ้าง เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “อยู่ที่นี่การกระทำคำพูดจาล้วนต้องระวังไว้บ้าง”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย

“เจ้ามา ไม่ไปทักทายคนบ้าง”

ที่จริงเขาหวิดหลุดปากออกไปแล้วว่าทำไมไม่ไปทักทายข้าบ้าง

ยังดีคิดได้ว่าคำถามนี้ไม่มีเหตุผลจริงๆ

เขากับนางไม่ได้ไปถึงขั้นที่ต้องทักทายกัน

แต่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ทักทายใครเล่า? ร้านแลกเงินครอบครัวมิตรสหายที่เมืองหลวง เขารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้ทักทาย?

ฟังแล้วก็ยังเป็นการบอกว่านางไม่ได้ทักทายตนเอง

คุณหนูจวินมองเขาอยากจะเอ่ยปาก

“หยางเฉิงฝั่งนั้นล้วนบอกว่าเจ้าออกไปตรวจโรคให้ผู้คนแล้ว” หนิงอวิ๋นเจารีบเอ่ยต่อ “คิดไม่ถึงที่แท้เจ้ามาถึงเมืองหลวง”

พูดจบประโยคนี้ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอีก

เรื่องที่เกิดขึ้นที่หยางเฉิง เขารู้ได้อย่างไร?

เหมือนเขาสนใจสอดส่องนางอยู่ตลอดอย่างนั้น

ความจริงแล้วเขาก็สนใจข่าวคราวที่หยางเฉิงจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่การสอดส่องอย่างเด็ดขาด

เขาเพียงแค่เป็นห่วงที่บ้านจะขัดแย้งอะไรกับตระกูลฟางอีก

เขาเอ่ยเหตุผลนี้ออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“นอกจากนี้เรื่องที่หยางเฉิงครั้งนี้เกี่ยวข้องไปถึงราชโองการ ดังนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ในเมืองหลวงย่อมรู้แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง

คุณหนูจวินมองเขา กลืนคำพูดที่จะพูดลงไป

ที่ควรพูดที่ไม่ควรพูดเขาล้วนรู้แล้ว นางย่อมไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว

“เพราะครั้งนี้มาทำธุระส่วนตัวบางอย่าง ดังนั้นนอกจากคนในครอบครัว จึงไม่ได้บอกแก่ผู้อื่น” นางยิ้มเอ่ยขึ้น แล้วก้มศีรษะย่อเข่า “ขอบคุณคุณชายหนิง”

แค่นี้ก็สมเหตุสมผลทั้งยังสบายขึ้นมาแล้ว หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้า

เสี่ยวติงเวลานี้ก็ไล่ตามหลังมาทัน

“คุณชาย คุณชาย” เขามองซ้ายมองขวาตามมาตลอดทาง มองเห็นหนิงอวิ๋นเจาอยู่ด้านหน้าประตูโรงเตี๊ยมก็รีบตะโกนอย่างดีใจ เข้ามาใกล้ข้างหน้าส่งห่อของอย่างหนึ่งในมือไปให้ “ซื้อมาแล้วขอรับ”

คุณหนูจวินมองห่อผ้านี้ หนิงอวิ๋นเจาส่งมันข้ามมา

“ถือโอกาสซื้อเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนชุดหนึ่งมา” เขาเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “เผื่อไว้”

เผื่อว่านางไม่มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนหรือ?

คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือรับไป

“เผื่อได้ถูกต้องจริงๆ” นางก็เอ่ยนิ่งสงบ “ข้าสัมภาระน้อยเดินทางสะดวก เมื่อวานเพิ่งมาถึง ยังไม่ทันได้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่เลย”

หนิงอวิ๋นเจามองนาง คิดถึงคำพูดประโยคสองประโยคที่นางเอ่ยกับตนเอง

เจ้าคิดมากแล้ว ข้าไม่ได้คิดมาก

ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดมาก เจ้าก็ไม่ได้คิดมาก

“บังเอิญจริง” เขายิ้มเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินคำนับ

“บังเอิญจริงๆ” นางก็ยิ้มเอ่ยตอบเช่นกัน