บทที่ 913 การค้นพบที่น่าทึ่ง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 913 การค้นพบที่น่าทึ่ง

บทที่ 913 การค้นพบที่น่าทึ่ง

ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานมองไปที่อาจารย์ฝางด้วยท่าทางจริงจัง ทั้งร่างกายแสดงออกถึงความสง่างามของบัณฑิต และทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างาม

เขาอายุประมาณหกสิบปี แต่เนื่องจากการบำรุงและรักษาที่ยอดเยี่ยม ใบหน้าของเขาจึงมีเพียงริ้วรอยของวัยเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อมองแวบแรกดูท่าทางใจดี และดูน่าเข้าหา

“ข้า หลิวจือเสี้ยน เจ้าเมืองรุ่ยเสียน แสดงความเคารพต่ออาจารย์ฝาง” หลิวจือเสี้ยนค้อมตัวคำนับอาจารย์ฝางด้วยความเคารพ

หลิวจือเสี้ยนเป็นขุนนางระดับเจ็ด เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ผู้นี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยสอนหนังสือให้กับองค์ชาย จึงมีท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งไม่ได้มีการอวดเบ่งว่าตนมีตำแหน่งแต่อย่างใด

ยิ่งกว่านั้น หลิวจือเสี้ยนเองก็รู้ว่าถ้าเขาทำเช่นนั้นต่อหน้าอาจารย์ฝาง มันเท่ากับเป็นการโอ้อวดต่อหน้าคนที่เก่งกว่า แม้ว่าอาจารย์ฝางจะออกจากวังหลวงมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเกียรติยศและชื่อเสียงยังคงติดตัวเขาอยู่เหมือนเดิม

กู้เสี่ยวหวานไม่กล้าปฏิบัติตนหยาบคาย และทำความเคารพทันที

การเคลื่อนไหวถูกควบคุมอย่างดี ไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ แต่ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไว้ของมือและเท้าล้วนดึงดูดสายตาของเขา

อาจารย์ฝางคลี่ยิ้ม และพยักหน้าเล็กน้อย

ชายชรามองไปยังเด็กหญิงที่บอบบางและสง่างามตรงหน้า หากแต่ท่าทางนิ่งสงบของนางน่าประทับใจยิ่งกว่า

ไม่น่าแปลกใจนักว่าครั้งที่อาจารย์ฮุ่ยหย่วนผ่านมาเยี่ยมเยือนที่นี่ อีกฝ่ายเอาแต่พูดถึงเด็กหญิงคนนี้อยู่ตลอดเวลา

จากคำพูดของอาจารย์ฮุ่ยหย่วน เขายังได้รับรู้เกี่ยวกับชื่อเสียงของกู้เสี่ยวหวานและยังได้รู้ว่าเด็กหญิงคนนี้มีสติปัญญาอันเป็นเลิศ และอาจารย์ฮุ่ยหย่วนยังเล่าชะตากรรมของเด็กหญิงคนนี้ให้เขาฟัง

ชะตากรรมของนางคือ การตายก่อนวัยอันควร

แต่เมื่อพิจารณาจากโหงวเฮ้งของเด็กสาวคนนี้แล้ว นางจะมีความมั่งคั่ง เกียรติยศ และชีวิตที่เต็มไปด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี

ช่างน่าสนเท่ห์จริง ๆ

และยังได้ยินมาว่าเด็กหญิงคนนี้ถูกผลักตกแม่น้ำท่ามกลางฤดูหนาวอันเย็นเยือก และเกือบถูกไฟคลอกตาย ตนเองเข้าใจเรื่องนี้ทันที บางทีนี่อาจเป็นเพราะการเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน หากหงส์ต้องการหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ และต้องการกระโจนเข้ากองไฟเผาตนเองให้มอดไหม้

อาจารย์ฝางลอบสังเกตเด็กหญิงคนนี้ ก่อนจะพยักหน้าและยิ้มด้วยความพึงพอใจ

กู้เสี่ยวหวานกำลังสงสัยว่าอาจารย์ฝางจำตัวเองได้หรือไม่

พี่เย่จือเคยบอกว่าอาจารย์ฝางท่านนี้เป็นอาจารย์ของพ่อของเขา และครั้งนี้เราพบกันโดยบังเอิญ ก่อนที่นางจะมีเรื่องเดือดร้อนจนต้องให้มาหาเขา

ตอนนี้นางมาหาอาจารย์ฝางก็จริง หากแต่นางติดตามหลิวจือเสี้ยนมา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีเรื่องใดให้สนใจไปมากกว่าเรื่องผู้ประสบภัย ตอนนี้มีผู้ประสบภัยมากมาย หากพวกเราต้องการให้เมืองรุ่ยเสียนอยู่กันอย่างสงบสุข เราก็ทำได้แค่ทำให้ดีที่สุด ผู้มั่งคั่งจะบริจารคเงิน ผู้ที่มีเสบียงจะบริจาคอาหาร และผู้ที่มีแรงก็ลงแรงเพื่อช่วยกันปกป้องเมืองรุ่ยเสียนด้วยกัน ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เมืองนี้ได้รับผลกระทบ

ครั้นได้ยินคำอธิบายของหลิวจือเสี้ยนและจุดประสงค์การมาที่นี่ของเขา ดวงตาของอาจารย์ฝางก็สว่างขึ้น “ใต้เท้าหลิวก็ห่วงใยผู้ที่ตกเป็นผู้ประสบภัย ขุนนางที่ดีเช่นนี้ถือเป็นพรแก่ประชาชน”

ครั้นเห็นว่าอาจารย์ฝางชื่นชมเขา หลิวจือเสี้ยนจึงรีบกล่าวอย่างสุภาพ “อาจารย์ฝางยกย่องกันเกินไปแล้ว ทุกคนล้วนเป็นนประชาชน ในฐานะขุนนางควรต้องทำประโยชน์ต่อประชาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนในเมืองรุ่ยเสียนคือคนของข้า และผู้ประสบภัยที่อพยบมาจากที่อื่น ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในเมืองรุ่ยเสียน พวกเขาก็จะเป็นประชาชนของข้า และต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวจือเสี้ยนพูด ดวงตาของอาจารย์ฝางก็ซาบซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ “เอาล่ะ ใต้เท้าหลิวต้องการให้ข้าทำอะไร โปรดบอกมา”

แม้ว่าอาจารย์ฝางจะมีอายุหกสิบปีแล้ว แต่เขายังเป็นเหมือนกลับชายหนุ่ม จิตใจที่กล้าหาญมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ประชาชนนกำลังประสบปัญหา เขาจึงไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้อีกต่อไป

หลิวจือเสี้ยนมองไปที่กู้เสี่ยวหวานเพื่อส่งสัญญาณให้นางพูด

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า นางมองไปที่อาจารย์ฝางและพูดด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีผู้ประสบภัยพิบัติมากกว่าห้าร้อยคนในเมืองรุ่ยเสียน นี่เป็นข้อมูลจากบ่ายเมื่อวานนี้ ผู้ประสบภัยมีจำนวนมากขึ้น พวกเขาเดินทางจากทิศตะวันออกเฉียงใต้และกำลังมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้อาจารย์ฝางคงรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ไม่มีฝนตกทางตะวันออกเฉียงใต้มาหลายเดือนแล้ว และพืชผลก็แห้งเหี่ยวไปหมด เช่นเดียวกับเมืองรุ่ยเสียน แต่เนื่องจากฝนไม่ตกเป็นเวลานาน และในปีนี้ครึ่งหนึ่งของเมืองรุ่ยเสียนเพาะปลูกมันเทศ และพืชนิดนี้ยังทนความแห้งแล้งได้ ดังนั้นเมืองรุ่ยเสียนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จึงถือเป็นสถานที่ห่างไกลจากภัยพิบัติ”

“มีภูเขาสูงหลายแห่งในเขตหมินซาน ไม่ว่าจะระหกระเหินไปที่ใดก็ต้องผ่านเมืองรุ่ยเสียนก่อน ผู้ประสบภัยเหล่านี้เพียงต้องการหาสถานที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ และเอาชีวิตรอดเท่านั้น ตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองรุ่ยเสียนแล้ว พืชผลส่วนใหญ่นอกเมืองล้วนเขียวชอุ่ม ผู้ประสบภัยเหล่านั้นคิดว่าพวกเขาสามารถมาหาอาหารในเมืองรุ่ยเสียนได้ และไม่ต้องปล่อยให้ตนเองอดตาย แต่ภายในชั่วข้ามคืน พืชผลถูกขุดขึ้นมาเกือบครึ่ง”

ทุกวันนี้เกษตรกรในเมืองรุ่ยเสียนรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าต้นกล้ามันเทศส่วนใหญ่ในที่นาของพวกเขาถูกถอนรากถอนโคน

ปีนี้เป็นเพราะเกิดจากความแห้งแล้ง สิ่งอื่นที่ปลูกเอาไว้ล้วนเหี่ยวเฉาแห้งตาย แต่ต้นกล้ามันเทศยังคงเติบโตได้ดี เหล่าชาวบ้านจึงรู้สึกมีความสุข ปีนี้พวกเขาคาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลพืชอันดี แต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่ถึงวันเก็บเกี่ยวเสียแล้ว พวกมันไม่ได้ถูกภัยแล้งทำให้แห้งตาย แต่พวกมันทั้งหมดถูกถอนรากถอนโคน และถูกกินไปเพราะผู้ประสบภัยเหล่านี้

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เมืองรุ่ยเสียนจะกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอีกแห่งหนึ่ง

ในเวลานั้น ผู้คนของเมืองรุ่ยเสียนจะต้องทิ้งบ้าน และหนีหัวซุกหัวซุนหาทางรอดให้ชีวิต

กู้เสี่ยวหวานบอกอาจารย์ฝางเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน และอาจารย์ฝางรู้สึกงงงวยเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งนี้

เขาเคยได้ยินเรื่องต้นกล้ามันเทศ ขณะนั้นมีคนนำมันเทศใส่เกวียนมาที่บ้านของเขา

อีกฝ่ายยังบอกเขาว่า เด็กหญิงตรงหน้าบอกว่ามันเทศอุดมไปด้วยสารอาหาร ผู้สูงอายุสามารถกินมันได้เพื่อช่วยให้สำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ เนื่องจากอายุของเขา ฟันของเขาจึงไม่ค่อยแข็งแรงนัก และชอบที่จะกินอาหารนิ่ม ๆ อ่อน ๆ

หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสชาติของมันเทศ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป และต้องกินมันเทศพวกนี้ในทุกวัน

มีวิธีการกินที่หลากหลาย และต้องไม่กินมากจนเกินไป

เขารู้ว่าการปลูกต้นกล้ามันเทศในเมืองรุ่ยเสียนถูกแนะนำโดยเด็กหญิงตรงหน้าเขา หากแต่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ใต้เท้าหลิว ข้ามีข้อสงสัยเล็กน้อย เมืองรุ่ยเสียนไม่เคยปลูกอะไรเช่นนี้มาก่อน เหตุใดปีนี้ถึงปลูกมันได้เล่า?”

หลิวจือเสี้ยนมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน และพูดด้วยความภาคภูมิใจ “เรื่องนี้ต้องขอบคุณแม่นางกู้ทั้งหมด ถ้านางไม่ได้ค้นพบสิ่งที่ดีเช่นมันเทศนี้ที่มีความแข็งแกร่งและทนแล้งได้ กินได้ทั้งลำต้นและใบ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าผู้คนในเมืองรุ่ยเสียนคงจะต้องออกไปขออาหารด้วย”

——————————————-