ตอนที่ 224-2 เฉียวเวยรู้ความจริง
บุรุษในอาภรณ์ดำพลันเคลื่อนกำลังภายใน ปลายมีดของเฉียวเวยกดลึกลงไปที่ลำคอเขา “ตาเฒ่า ข้าขอบอกว่าเจ้าอย่าได้ผลีผลาม มือเจ้าเร็ว มีดข้าก็ไม่ช้า บนมีดยังอาบยาพิษเอาไว้เสียชุ่มฉ่ำ กรีดทีเดียวเห็นเลือด หากไม่กลัวตายก็ลองดู ดูสิว่าเราสองคนใครจะลงมือได้ก่อนกัน!”
บุรุษในอาภรณ์ดำมองนางด้วยหางตา “ข้าไม่ประสงค์จะเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “พูดเสียน่าฟังกว่าร้องอีกนะ! ไม่ประสงค์จะเป็นปฏิปักษ์กับข้า แล้วเหตุใดถึงต้องลอบทำร้ายข้าถึงสามครั้งสี่ครั้งด้วยเล่า”
ดวงตาบุรุษในอาภรณ์ดำฉายแววจนใจ “ข้าไม่ได้ลอบทำร้ายเจ้า”
เฉียวเวยจับท้ายทอยเขาไว้มั่น “ไม่ได้ลอบทำร้าย? เช่นนั้นที่เจ้าสะกดรอยตามข้า อย่าบอกนะว่าไม่ใช่เพราะคิดว่าข้าหน้าตาดีน่ะ”
ถนนเส้นนี้คนผ่านไปมาไม่มากแต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย คนที่เดินผ่านไปมาเห็นท่าทางของพวกเขาก็พากันตกใจวิ่งหนีไป
บุรุษในอาภรณ์ดำมองคนเดินถนนคนที่เท่าไรแล้วไม่รู้ที่ตกใจหนีไป เขาขมวดคิ้วเอ่ยเสียงขรึม “นายน้อยจี ออกมาพูดคุยกันหน่อย”
จีหมิงซิวจึงสั่งว่า “อี้เชียนอิน สกัดจุดเขาเสีย”
“ขอรับ”
อี้เชียนอินสกัดจุดชีพจรใหญ่ของบุรุษในอาภรณ์ดำแล้วแบกตัวอีกฝ่ายขึ้นไปวางบนรถม้า
รถม้านับว่ากว้างขวางพอสมควร เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดูต้นทางอยู่ด้านนอก อีกสี่คนนั่งอยู่ข้างในก็ดูไม่เบียดเสียดแต่อย่างใด
จีหมิงซิวมองชายในอาภรณ์ดำเรียบๆ “ที่เจ้ามาเข้าใกล้ฮูหยินของข้า เพราะมีจุดประสงค์ใดกันแน่”
บุรุษในอาภรณ์ดำโดนสกัดจุดเข้าไป จึงขยับได้เพียงปากกับตาเท่านั้น เขาหันไปมองเฉียเวยทีหนึ่ง ท่าทีดูลังเลเล็กน้อย อี้เชียนอินใส่ถุงมือหยิบดาวกระจายอาบยาพิษของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกมา “นายน้อยถามเจ้า เจ้าก็ตอบมาแต่โดยดี หาไม่แล้ว ข้ามีวิธีการนับร้อยที่จะทำให้เจ้าต้องร้องขอความตาย”
บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “วันนี้ที่มาตกอยู่ในมือพวกเจ้า ข้ายอมรับในความโชคร้ายของตนเอง”
อี้เชียนอินเอ่ยอย่างเยือกเย็น “แล้วเจ้ายังไม่รีบพูดมาอีก”
บุรุษในอาภรณ์ดำมองนิ่งไปที่เฉียวเวย “เจ้าคงยังไม่รู้ว่ามารดาแท้ๆ ของเจ้าเป็นใครกระมัง”
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวตอบอย่างสงบนิ่งว่า “รู้ เป็นคนจากชนเผ่าลึกลับของพวกเจ้า”
บุรุษในอาภรณ์ดำอึ้งไปเล็กน้อย มองจีหมิงซิวอย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาจะคาดเดาได้แล้ว หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ถูกต้อง นางเป็นคนของชนเผ่าข้า ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะอยากจะพาบุตรของนางกลับไป”
เฉียวเวยใช้มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าชี้มาที่ตนเอง “เจ้าหมายถึงยัยแก่อย่างข้า?”
บุรุษในอาภรณ์ดำไม่ชอบการเรียกขานของนางจึงขมวดคิ้วด้วยท่าทีแปลกๆ
จีหมิงซิวถามเรียบๆ ว่า “เหตุใดถึงต้องพากลับไปให้ได้”
บุรุษในอาภรณ์ดำยิ้มเย็น “ข้าได้ยินว่าบุตรของนายน้อยจีก็เคยร่อนเร่อยู่ในหมู่ชาวบ้านมาก่อน เช่นนั้นข้าขอถามนายน้อยสักนิดว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องพาบุตรของเจ้ากลับมา”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าเป็นพ่อของพวกเขา การรับตัวพวกเขาสามแม่ลูกกลับจวนเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม แต่เจ้าเล่าเป็นใคร”
บุรุษในอาภรณ์ดำตอบ “ข้าเป็นคนของชนเผ่านาง ในตัวนางมีสายเลือดของชนเผ่าพวกเราไหลเวียนอยู่ พวกเราไม่มีทางยอมให้สายเลือดของชนเผ่าเราไปร่อนเร่อยู่ข้างนอก”
คำอธิบายของอีกฝ่ายดูจะโน้มน้าวได้ดีไม่น้อย แต่จีหมิงซิวยังไม่ลืมที่เฉียวเจิงบอกไว้ ครั้งแรกที่เสิ่นซื่อได้พบกับเฉียวเจิง ตามตัวนางเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เช่นนี้ก็บอกได้ว่าเสิ่นซื่อต้องเผชิญกับการไล่ฆ่าอย่างโหดร้าย
บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นี้เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูยังบอกไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นมิตร แล้วเขาจะมีความสามารถในการคุ้มครองเฉียวเวยหรือไม่
หากไม่มี การที่ตนมอบเฉียวเวยไปให้เขา จะไม่เท่ากับส่งเฉียวเวยไปตายหรอกหรือ
จีหมิงซิวไม่ได้ถามว่าเสิ่นซื่อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาได้คำตอบในใจแล้ว จีหมิงซิวบอกว่า “ถึงแม้มารดาของนางจะเป็นคนจากชนเผ่าลึกลับของพวกเจ้า แต่บิดาของนางเป็นคนต้าเหลียง พวกเจ้าไม่มีสิทธิพาตัวนางไปจากต้าเหลียง”
นัยน์ตาบุรุษในอาภรณ์ดำมีประกายวาบผ่าน “หากข้ายืนยันจะพาไปให้ได้เล่า”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความเสียดายว่า “เช่นนั้นข้าคงทำได้แค่ฆ่าเจ้า”
บุรุษในอาภรณ์ดำยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่ามีแค่ข้าคนเดียวหรือที่กำลังตามหานางอยู่ พวกเจ้าไล่ฆ่าไปทีละคน จะฆ่าหมดหรือ”
สายตาจีหมิงซิวพลันแข็งค้าง “นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมีคนหาตัวนางตั้งมากมายเพียงนี้”
บุรุษในอาภรณ์ดำ “ก็บอกแล้วว่านางเป็นคนของชนเผ่าพวกเรา พวกเราต้องพานางกลับไปให้ได้”
จีหมิงซิวหันไปหาเฉียวเวยด้วยสายตาซับซ้อน “เจ้าอยากกลับไปหรือไม่”
เฉียวเวยม้วนผ้าเช็ดหน้า “ข้าอยากพบท่านแม่”
จีหมิงซิวถอนหายใจ “อันตรายมาก”
เฉียวเวยก้มหน้าลง “ข้ารู้ แต่หากข้าไม่ไป ข้าอาจจะเสียใจไปชั่วชีวิต”
บุรุษในอาภรณ์ดำมีแววพอใจในดวงตา
จีหมิงซิวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับบุรุษในอาภรณ์ดำว่า “เจ้าพาตัวนางไปใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข”
“เงื่อนไขอะไร” บุรุษในอาภรณ์ดำถาม
จีหมิงซิว “ข้าต้องไปกับนางด้วย”
บุรุษในอาภรณ์ดำหน้าบึ้งลง “ไม่ได้ ชนเผ่าลึกลับไม่เคยมีคนนอกเข้าไปมาก่อน”
สายตาล้ำลึกของจีหมิงซิวหยุดมองใบหน้าขุ่นเคืองของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย ไว้รอให้คนต่อไปมาข้าค่อยหาทางจับเขา หากเขาไม่ยินดีพาข้าไป ข้าก็จะฆ่าเขาอีก ฆ่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีคนยอม”
บุรุษในอาภรณ์ดำกัดฟันแน่น เหตุใดถึงได้มีคนไร้เหตุผลเช่นนี้นะ
…
พอบุรุษในอาภรณ์ดำจากไปแล้ว “เฉียวเวย” ก็ดึงหน้ากากหนังคนออกจากใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่มากเสน่ห์ล้มบ้านล้มเมืองแทน “อึดอัดแทบแย่!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลิกผ้าม่าน “ท่านจะไปที่ชนเผ่าลึกลับจริงๆ หรือ สมองท่านไม่ได้ป่วยเป็นอะไรกระมัง สถานที่เช่นนั้นใช่เข้าไปเล่นๆ ได้หรือ กับแค่ลูกกระจ๊อกไร้นามคนหนึ่งยังรับมือได้ยากเพียงนี้ ท่านยังจะเข้าไปในรังของมันอีก ในนั้นไม่รู้ว่ามียอดฝีมือเช่นเขาอยู่มากน้อยเพียงไร ท่านรับมือไหวหรือ”
อี้เชียนอินพยักหน้า “ข้าก็ไม่เห็นด้วยที่นายน้อยจะเอาตัวเข้าไปสู่อันตราย ข้าสามารถแปลงโฉมเป็นนายน้อยแล้วไปกับเฟิ่งชิงเกอได้”
เฟิ่งชิงเกอปรายตามองอีกฝ่าย “เจ้าน่ะอย่าเลย ข้าคนเดียวก็พอ พวกเจ้ารอฟังข่าวจากข้าที่เมืองหลวงนี่แหละ ข้ารับประกันว่าจะพาท่านแม่ของฮูหยินน้อยกลับมาให้เอง ไม่ว่าเป็นหรือตาย!”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความสงสัย “ชนเผ่าลึกลับเข้าออกง่ายเพียงนั้น ก็คงไม่ถึงกับไม่มีข่าวเกี่ยวกับเสิ่นซื่อเลยมานานปีเพียงนี้”
“แต่ว่า…” ทั้งสามเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
จีหมิงซิวยกมือ “ไม่ต้องแต่แล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องหารืออีก”
ทั้งสองได้แต่ถอนหายใจด้วยความจนใจ นิสัยของนายน้อยดูเหมือนไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อใดที่ตัดสินใจไปแล้ว อาชาไนยก็ยังรั้งไว้ไม่ได้
…
ใกล้ถึงช่วงปีใหม่เต็มที การค้าของหอหลิงจือคึกคักขึ้นไม่น้อย กว่าเฉียวเจิงจะส่งคนไข้คนสุดท้ายออกไปก็เป็นเวลามื้อเที่ยงแล้ว ในขณะที่กำลังจะกลับห้องไปกินอะไรสักหน่อยนั้น ก็เป็นเฉียวเวยเดินตัวเปียกหิมะเข้ามา
เฉียวเจิงตาพลันเป็นประกาย “เอ้า ลูกสาวคนดี เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลามาเยี่ยมพ่อได้”
สายตาเฉียวเวยเย็นยะเยือก
เฉียวเจิงพลันหุบยิ้ม “เป็นอะไรไป ใครรังแกลูกสาวพ่อ ใช่เจ้าคนชั่วจีหมิงซิวนั่นหรือไม่”
“เจี๊ยกๆ…” จูเอ๋อร์กระโดดเข้ามาหมุนตัวอย่างน่ารักเต็มที่
เฉียวเวยเดินไปนั่งที่เก้าอี้ “เจ้าลิงเปี๊ยก ไปเล่นทางนู้น”
จูเอ๋อร์เบ้ปาก ยืดหน้าอกน้อยๆ ที่แสนจะภูมิใจ กางร่มคันเล็กที่ไม่มีอยู่จริง จับชายกระโปรงในมโนภาพแล้วสะบัดก้นใส่เฉียวเวย เดินเข้าห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง
เด็กในร้านรินน้ำชาเข้ามาให้ เฉียวเจิงโบกมือบอกให้อีกฝ่ายถอยออกไป ถามเสียงเบาว่า “เป็นอะไรไปเสี่ยวเวย”
เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อออกมา พอกางออกก็ปรากฏยาเม็ดเล็กสีน้ำตาลให้เห็น นางถามเรียบๆ ว่า “นี่คือยาอะไรหรือ”
เฉียวเจิงหยิบขึ้นมาดม สายตานิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่แสดงท่าทีใดๆ ว่า “ก็แค่ยารักษาโรคท้องอืดทั่วไป”
“เป็นแค่ยารักษาโรคท้องอืดจริงๆ หรือ”
“ใช่แล้ว”
เฉียวเวยหรี่ตาแล้วเอายาเม็ดนั่นเข้าปาก
เฉียวเวยพลันหน้าถอดสี รีบจับคางบุตรสาวไว้ “คายออกมา! รีบคายออกมา!”
เฉียวเวยปิดปากแน่น พูดงึมงำๆ ว่า “ท่านบอกข้าว่าเป็นยาอะไร แล้วข้าจะคายออกมา!”
เฉียวเจิงพลันเดือดดาล “เจ้าเด็กนี่นี่นะ มันน่าตีนัก ข้าให้เจ้าคายออกมาได้ยินหรือไม่”
เฉียวเวยไม่หวั่นเกรงไฟโทสะของบิดาสักนิด “ข้าจะนับถึงสาม หากไม่บอกข้าจะกลืนลงไป! หนึ่ง… สอง…”
เฉียวเจิงร้องลั่น “เป็นยารักษาจีหมิงซิว! ยานี้เย็นจัดเกินไป คนเป็นสตรีกินไม่ได้”
เฉียวเวยกางมือแล้วเอายาที่ซ่อนอยู่ตรงหว่างนิ้ววางกลับลงบนผ้าเช็ดหน้า
เฉียวเจิงมองด้วยความอึ้งงัน “เจ้า…”
เฉียวเวยได้ใจ “ทหารไม่คร้านใช้เล่ห์กล”
เฉียวเจิงโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไร
เฉียวเวยพูดต่อว่า “ท่านปิดบังอะไรข้าเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาใช่หรือไม่ อย่าได้รีบร้อนปฏิเสธ วันนี้ตอนเช้าข้าเห็นเขากินยานี้เข้าไป เมื่อก่อนเขาต้องกินยากดไว้ก็ต่อเมื่อใช้กำลังภายใน แต่วันนี้เขายังไม่ได้ทำอะไรก็กินลงไปแล้วสองเม็ด”
“กินถึงสองเม็ดแล้วหรือ” เฉียวเจิงตกใจ
“หนักมากหรือ” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงบอกว่า “นี่เป็นยาที่ทำขึ้นจากเลือดของเสี่ยวไป๋ ตอนบาดเจ็บกินเพียงครึ่งเม็ดก็กดอาการเอาไว้ได้แล้ว เมื่อหลายวันก่อนเขามาหาข้า คือใช้หนึ่งเม็ด”
คิ้วเรียวของเฉียวเวยขมวดมุ่น “เช่นนี้แล้วอาการป่วยของเขาก็เลวร้ายลงมาตลอด?”
เฉียวเจิงถอนหายใจ “น่ากลัวจะเป็นอย่างนั้น”
สายตาของเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
ก่อนหน้านี้เขาถูกพลังสะท้อนกลับมากเกินไป นี่เป็นหลักการเดียวกับคนที่เหนื่อยล้าเกินไป” เฉียวเจิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจของเขาโทษตัวเองอยู่เล็กน้อย หากครานั้นจีหมิงซิวไม่ได้เอาผลสองภพผลเดียวที่มีให้กับเขา ก็คงไม่อาการหนักเช่นทุกวันนี้ โอกาสที่ผลสองภพจะรักษาเขาได้มีมากกว่าห้าส่วน เมื่อรวมกับยาที่ทำจากเลือดของเสี่ยวไป๋ ก็มั่นใจได้สักเจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่เวลานี้…
เฉียวเจิงมองหน้าเฉียวเวย “เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
“อื้อ” เฉียวเวยจ้องนิ่งไปที่หิมะที่ทับถมกันอยู่ในลาน “ข้ารักษาเขาให้หายได้แน่”
เฉียวเจิง “เสี่ยวเวย…”
“ต้องได้แน่” เฉียวเวยลุกขึ้นด้วยสายตาแน่วแน่แล้วก้าวออกจากหอหลิงจือไป
หิมะโปรยปรายลงมาหนักขึ้น ผู้คนที่เดินไปมาพากันทยอยกางร่มน้ำมัน เฉียวเวยไม่อยากนั่งรถ สองมือซุกอยู่ในขนกระต่ายอุ่นมือ เดินเงียบๆ ออกไปยังถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ
แต่แล้วจู่ๆ เสียงเกือกม้าก็ดังใกล้เข้ามาก่อนจะหยุดลงข้างๆ นาง
เฉียวเวยไม่แม้แต่จะมอง ยกเท้าก้าวเดินต่อไป
คนบนหลังม้ากระโดดลงมา ยื่นแส้ออกไปขวางทางนางไว้ “เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่”
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาที่เรียบเย็นประหนึ่งสายน้ำหยุดมองที่ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อของแม่ทัพน้อยมู่ “เจ้าเองหรือ”
“ก็ต้องเป็นข้าสิ เจ้าคิดว่าเป็นใครเล่า” แม่ทัพน้อยมู่มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่านางไม่มีแม้แต่บ่าวติดตามจึงเดินกลับไปที่ม้าแล้วหยิบร่มน้ำมันคันหนึ่งออกมากางเหนอศีรษะให้นาง “ให้”
เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ “ไม่ต้อง”
แม่ทัพน้อยมู่มีเรื่องให้อับอายขายหน้าในบ้านตระกูลจี ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อยากพบเจอใครในบ้านตระกูลจีอีก ไม่รู้ว่าต้องใช้กำลังใจเพียงใดถึงได้กระโดดลงจากหลังม้ามาพูดคุยกับนางเช่นนี้ นางกลับชักสีหน้าใส่เขาเสียอีก “นี่ เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ใครรังแกเจ้าหรือ”
เฉียวเวย “ไม่มีใครรังแกข้า”
แม่ทัพน้อยมู่ไม่เชื่อ “ไม่งั้นเจ้าจะทำหน้าเช่นนี้หรือ”
เฉียวเวยไม่ตอบ
บรรยากาศดูจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
แม่ทัพน้อยมู่เงยหน้ามองฟ้า “ข้าต้องไปแล้ว”
“ขอให้เดินทางราบรื่น” เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ
น้ำเสียงขอไปทีเช่นนี้ ยินดีด้วย เจ้าดึงดูดความสนใจข้าสำเร็จแล้ว!
แม่ทัพน้อยมู่กระแอมให้ลำคอโล่ง “พอข้ากลับไปหนานฉู่แล้ว อาจจะไม่มีโอกาสได้มาที่ต้าเหลียงอีก แต่หากเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการ สามารถบอกข้าได้ ข้าจะให้คนเอามาให้ ของดีของพวกเราหนานฉู่มีมากนัก”
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “ข้าอยากได้ผลสองภพ ท่านมีหรือไม่”
แม่ทัพน้อยมู่เอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสาระ “ของสิ่งนี้น่ะหรือ ในมือข้าไม่มี แต่ข้ารู้ว่าใครมี”
สายตาเฉียวเวยพลันชะงัก ดึงมือออกมาคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ แล้วดันตัวเขาติดกำแพง “ใคร?”