ตอนที่ 225-1 ชนเผ่าลึกลับ สามีภรรยาร่วมเดินทาง
แม่ทัพน้อยมู่ใจเต้นตึกตักๆ สตรีนางนี้ถึงขั้นจับเขาชนกำแพง ทำไมกลับตาลปัตรกันไปหมดเช่นนี้!
“พูดมา!” เฉียวเวยตะคอกใส่อีกฝ่าย “ผลสองภพอยู่ในมือใคร”
แม่ทัพน้อยมู่ถลึงตาใส่นางอย่างขุ่นเคืองโดยไม่พูดอะไร
เฉียวเวยจับคางเขาเอาไว้ เส้นเลือดตรงขมับของแม่ทัพน้อยมู่เต้นตุบๆ!
สตรีไร้ยางอาย ไม่เพียงเอาตัวเขาชนกำแพง ยังคิดจะบังคับจูบเขาอีก!
เฉียวเวยบีบคางอีกฝ่ายจานใบหน้าที่ขาวราวกับก้อนเต้าหู้ขึ้นเป็นรอยนิ้วมือแดง “พูดมาสิ เป็นใบ้หรือ ข้าถามเจ้าว่าผลสองภพอยู่ในมือใคร”
อย่าคิดว่าเปลี่ยนประเด็นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจข้าแล้วข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไรนะ! สตรีไร้ยางอาย!
ลูกกระเดือกของแม่ทัพน้อยมู่เคลื่อนขึ้นลง “ชนเผ่าลึกลับ”
คิ้วเฉียวเวยพลันเลิกขึ้น “ชนเผ่าลึกลับ?”
แม่ทัพน้อยมู่ “ใช่ เจ้าไม่รู้หรือว่าเดิมทีผลสองภพมาจากชนเผ่าลึกลับน่ะ ผลสองภพก็เหมือนกับเพียงพอนเมฆา เป็นของล้ำค่าแห่งแคว้นด้วยกันทั้งสิ้น ต้นผลสองภพที่อยู่ในจวนไท่ซือนั้นก็มีคนเสี่ยงตายไปขโมยมาจากชนเผ่าลึกลับ”
เฉียวเวยนึกออกแล้ว หมิงซิวเคยบอกว่าผลสองภพมาจากชนเผ่าลึกลับจริงๆ เพียงแต่จับพลัดจับผลูถูกคนขโมยออกไปได้ หลังจากเกิดเรื่องคนผู้นั้นถูกชนเผ่าลึกลับไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง แต่ที่โชคดีคือเมล็ดของผลสองภพไปหลงอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวของจวนไท่ซือ
เฉียวเวยถามด้วยความสงสัยว่า “แต่ผลสองภพใช้เวลาถึงยี่สิบปีกว่าจะออกผล ต่อให้ไปที่ชนเผ่าลึกลับ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าจะมีโอกาสเด็ดผลสองภพกลับมาได้”
แม่ทัพน้อยมู่เชิดคางขึ้น “เรื่องนี้นับว่าเจ้าถามได้ถูกคนแล้ว ในใต้หล้านี้ไม่มีใครรู้จักชนเผ่าลึกลับดีไปกว่าตระกูลมู่ของพวกเราแล้ว! ในชนเผ่าลึกลับมีตำหนักธิดาเทพอยู่ ข้างในปลูกต้นสองภพอยู่เต็มไปหมด ทุกปีจะมีต้นที่ออกผล ส่วนหนึ่งของผลต้นสองภพ ธิดาเทพจะเก็บไว้กินเอง อีกส่วนหนึ่งจะส่งเป็นบรรณาการไปให้หัวหน้าชนเผ่า วันส่งบรรณาการคือวันส่งท้ายปี หากเจ้าโชคดีไปถึงตำหนักธิดาเทพก่อนวันส่งท้ายปี บางทีอาจจะขโมยกลับมาได้สักลูกสองลูก แต่ข้าขอบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังไว้ก่อน ชนเผ่าลึกลับไม่ได้เข้าไปง่ายเพียงนั้น ตระกูลมู่ของพวกเรารู้จักศิษย์ของชนเผ่านี้มาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยมีใครได้เข้าไป”
เฉียวเวยคลายมือที่บีบคางอีกฝ่ายออก “แล้วเจ้ายังมาคุยโวกับฮ่องเต้เราว่าตนเคยเข้าไปในชนเผ่าลึกลับอีกหรือ” ฮ่องเต้ตกใจจนฉี่เกือบราดทีเดียว รู้หรือไม่
แม่ทัพน้อยมู่กวาดตามองเฉียวเวยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “การเมือง การเมืองเจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ไม่เข้าใจ และไม่อยากสนใจด้วย แต่ว่า…” เฉียวเวยระบายยิ้ม “ขอบคุณเจ้ามากสำหรับข้อมูล”
นาง…นี่นางถึงขั้นยิ้มให้เขา คิดอยากจะยั่วยวนเขาอีกแล้วใช่หรือไม่ เขารู้เพียงเท่านี้ ต่อให้ยั่วยวนมากกว่านี้ก็ไม่มีอะไรจะบอกแล้ว!
แม่ทัพน้อยมู่ “เหตุใดเจ้าถึงอยากจะได้สิ่งนั้นนักหรือ เจ้าไม่ฝึกวรยุทธ์ ไม่ได้ป่วยไร้หนทางรักษา ของเช่นนั้นไม่มีประโยชน์กับเจ้าหรอก” ผลสองภพสามารถรักษาได้สารพัดโรค แก้ได้สารพัดพิษ เพิ่มวรยุทธ์ได้หนึ่งถึงสามเท่า แต่หากคนปกติกินลงไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการกินโสมต้นหนึ่งมากนัก นางจะวิ่งเข้าไปหาอันตรายเพียงเพื่อโสมต้นหนึ่ง นางฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร
เฉียวเวยหลุบตายิ้ม “คนที่สำคัญต่อข้ามากคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บภายใน ข้าจำเป็นต้องรักษาเขาให้หาย”
แม่ทัพน้อยมู่เผยอปาก “คงไม่ใช่…ใต้เท้าอัครเสนาบดีกระมัง”
เฉียวเวยไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ เพียงยิ้ม “พวกเรานับว่าไม่มีเรื่องคงไม่ได้รู้จักกัน หากข้าขโมยผลสองภพมาได้ จะเก็บไว้ให้เจ้าลูกหนึ่งนะ”
แม่ทัพน้อยมู่ถึบกับพูดตะกุกตะกัก “ข้าคง…ไม่ต้องหรอก” ก็ได้ เขาอยากได้แทบตายทีเดียว เขาเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ผลสองภพมีประโยชน์ต่อเขามาก
“เอาของมาให้ข้า” แม่ทัพน้อยมู่ยื่นมือออกไป
“ของอะไร” เฉียวเวยไม่เข้าใจ
แม่ทัพน้อยมู่จับแขนนางไว้มั่น แล้วล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของนาง เจ้าแกล้งยั่วข้ามานานเพียงนี้ ในที่สุดข้าก็ได้แกล้งเจ้ากลับเสียที!
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด ไม่รู้สึกสักนิดว่าตนกำลังถูกแกล้งอยู่
แม่ทัพน้อยมู่กระตุกมุมปากอย่างยอมแพ้ หยิบกริชที่ตนมอบให้เถ้าแกหรงเป็นรางวัลออกมา แล้วหยิบกริชสีดำสนิททั้งเล่มอีกอันจากเอวมายัดใส่มือเฉียวเวยแทน “กริชเฟิ่นเทียนใช้ดีกว่าอันนี้”
เฟิ่นเทียน? เจ้าสิ่งนี้ยังมีชื่อเสียด้วย
เฉียวเวยพลิกกริชในมือไปมาแล้วดึงออกจากฝัก ประกายดำขลับของคมกริชสว่างขึ้นจนทำให้อากาศคล้ายมีไอเย็นยะเยือก เฉียวเวยเก็บกริชกลับลงฝักเช่นเดิม “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
ผลสองภพลูกหนึ่งแลกกับกริช เฉียวเวยรู้สึกว่าแม่ทัพน้อยมู่ยังได้กำไรอยู่ แน่นอนว่าหากเฉียวเวยรู้ว่ากริชเฟิ่นเทียนเป็นสมบัติที่สืบทอดกันมาในตระกูลมู่ นางคงไม่คิดเช่นนี้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชนเผ่าลึกลับอยู่ที่ใด” เฉียวเวยถาม
แม่ทัพน้อยมู่ “หากข้ารู้ข้าคงไปนานแล้ว เพียงแต่ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ทางไปชนเผ่าลึกลับ แต่ที่ข้าบอกเจ้าได้คืออาวั่งเป็นสัตว์ที่ล่ามาได้จากภูเขาอวิ๋นซาน ภูเขาอวิ๋นซานอยู่ไม่ไกลจากตำหนักธิดาเทพ หากเจ้ามีโอกาสได้ไปที่ชนเผ่าลึกลับ อาวั่งสามารถพาเจ้าไปที่ตำหนักธิดาเทพได้”
“อาวั่งเป็นใคร” เฉียวเวยถาม
“เพียงพอนเมฆาตัวนั้นอย่างไร! ที่เจ้าเรียกว่า…ต้าไป๋น่ะ” แม่ทัพน้อยมู่เอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
เฉียวเวยหัวเราะพรืดออกมา ต้าไป๋ของนางที่แท้ก็มีชื่อที่น่าขันเช่นนี้เองหรือ
แม่ทัพน้อยมู่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่ควรบอกข้าบอกไปหมดแล้ว จะหาชนเผ่าลึกลับเจอหรือไม่คงต้องดูที่บุญวาสนาของเจ้า”
เฉียวเวยยิ้ม “ข้ารู้”
แม่ทัพน้อยมู่มองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ นี่นางไม่ได้จะบังคับจูบข้าหรอกหรือ ข้าจะต้องไปอยู่แล้ว เจ้าเข้ามาสิ!
“ข้าไปล่ะ” เฉียวเวยโบกกริชในมือ “ขอบคุณมาก ไว้ข้าได้ผลสองภพกลับมา จะส่งไปให้ที่จวนเจ้านะ”
ไป ไปอย่างนี้เลย?
“เจ้ารู้หรือว่าไปอย่างไร” แม่ทัพน้อยมู่เริ่มร้อนรน
เฉียวเวยส่ายหน้า
แม่ทัพน้อยมู่เริ่มเต้นเร่า ทะลุขีดจำกัดแล้วทะลุอีก “ข้ามีองครักษ์คนหนึ่งมาจากชนเผ่าลึกลับ… หากเจ้าสะกดรอยตามเขาบางทีอาจจะหาทางเข้าเจอได้”
แม่งเอ้ย บอกกระทั่งเรื่องศิษย์ชนเผ่าลึกลับ หากท่านพ่อเขารู้ได้เล่นงานเขาตายแน่…
…
เมื่อได้เบาะแสเกี่ยวกับศิษย์ชนเผ่าลึกลับ เรื่องหลังจากนี้ก็ง่ายขึ้นเยอะแล้ว ในมือจีหมิงซิวมีคนวรยุทธ์เป็นเลิศอยู่มากเพียงนั้น นางไม่เชื่อหรอกว่าจะหาใครที่สะกดรอยตามคนผู้นั้นโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัวไม่ได้ คนไกลตัวไม่ต้องพูดถึง สือชีนับว่าไม่เลว
แต่นางไม่ได้เจอสือชีนานแล้ว ไม่รู้ว่าสือชีถูกส่งไปทำภารกิจลับอะไรหรือไปอยู่ที่เรือนสี่ประสาน นางรอให้จีหมิงซิวกลับมาแล้วค่อยถามก็ได้ แต่เฉียวเวยกำลังตื่นเต้น จึงเริ่มทนรอไม่ไหว
เฉียวเวยขึ้นนั่งบนรถม้าของเฉียวเจิงเพื่อไปยังเรือนสี่ประสาน
พอลงรถแล้ว เฉียวเวยก็ให้รถม้ากลับไป ส่วนตนเดินเท้าไปตามถนนชิ่งเฟิง ตอนนางมาถึงเรือนสี่ประสาน นางเห็นแม่นางคนหนึ่ง…ที่รูปลักษณ์ดูคุ้นตายิ่งนัก
แม่นางผู้นั้นสวมชุดของนาง ใส่เครื่องประดับของนาง สวมรองเท้าของนาง ทั้งท่วงท่าและการยิ้มล้วนเหมือนกับนางราวกับแกะ
เฉียวเวยสงสัยว่าตนเองมองผิดไปจึงรีบขยี้ตา ในตอนนั้นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น จีหมิงซิวเดินออกมาจากห้องหนังสือ หยุดยืนที่ข้างกาย “ตน” แม่นางผู้นั้นระบายยิ้มพลางเรียกขานว่าท่านพี่ จีหมิงซิวยังตอบรับเสียด้วย
ลูกตาของเฉียวเวยแทบจะถลนออกจากเบ้า ยังไม่ทันได้คิดอะไรนางก็ขยับหลบไปอยู่หลังกำแพง
“พรุ่งนี้ขุนนางทูตจากหนานฉู่จะเดินทางกลับ พวกเราจะออกหลังจากพวกเขาหนึ่งชั่วยาม”
นี่เป็นเสียงของจีหมิงซิว
เฉียวเวยหรี่ตา จีหมิงซิวจะพาสตรีที่หน้าตาท่าทางเหมือนนางทุกกระเบียดนิ้วไปที่ใดกัน
“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว ครานี้ที่จะไปยังชนเผ่าลึกลับเป็นทางเดียวกับที่พวกเราจะกลับหนานฉู่”
นี่เป็นเสียงของบุรุษในอาภรณ์ดำ เพียงแต่เฉียวเวยไม่เคยได้ยินเสียงอีกฝ่ายมาก่อน จึงไม่รู้จัก ได้ยินแต่อีกฝ่ายพูดว่าอะไรนะ ชนเผ่าลึกลับ?
เฉียวเวยลอบยื่นศีรษะไปมองทางด้านนั้น บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดถึงคล้ายกับศิษย์ชนเผ่าลึกลับที่แม่ทัพน้อยมู่พูดถึงนัก