ภาค-5 ตอนที่ 114 มองสกุลหลินสู่ปรภพ (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เดือนห้า วันที่ยี่สิบ ทูตจากไต้โจวเดินทางเข้ามายังจิ้นหยาง องค์หญิงจยาผิงได้รับข่าวร้าย ร่ำไห้หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ตอบว่า “น้อมรับคำสั่งสอนของบิดา ไต้โจวมิได้อยู่เพื่อสกุลหลิน สกุลหลินอยู่เพื่อไต้โจว” นางให้พี่ชายทั้งสองนำกองทัพไต้โจวออกจากเมืองไปสวามิภักดิ์กับต้ายง

เจ้าแคว้นทราบเรื่องนี้เพียงถอนหายใจหลั่งน้ำพระเนตร มิกล้าขัดขวาง แล้วส่งคนมาบอกองค์หญิงว่า “อนุญาตให้ออกจากเมืองไปสวามิภักดิ์” ทว่าองค์หญิงกลับตอบว่า “บุญคุณเจ้าแคว้นมากมายนัก แม้นตายก็มิเสียใจ ไฉนเลยจะหันหลังจากไปได้” จึงจบลงฉะนี้

จักรพรรดิต้ายงได้ยินว่าองค์หญิงมิยอมสวามิภักดิ์ก็ทอดถอนใจอย่างมิทราบสาเหตุ ส่งราชทูตไปยังจิ้นหยางเกลี้ยกลอมให้ยอมจำนนหลายต่อหลายครั้งมิเลิกรา เจ้าแคว้นรู้สึกถึงความจริงใจของจักรพรรดิต้ายงจึงยอมจำนน

…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม

ในตอนนี้เอง พวกคนเถื่อนที่อยู่รอบนอกก็เริ่มวิ่งหนี ทหารพลีชีพตระกูลหลินสิบกว่าคนที่เหลืออยู่เงยหน้าขึ้นมอง ทหารม้าชุดเกราะสีครามเกือบดำกองหนึ่งกำลังเปิดฉากฆ่าล้างบางพวกคนเถื่อนที่กระบวนทัพแตกทลายดั่งเขาล้ม กีบเท้าเหล็กสั่นสะเทือนดุจเสียงอสนีบาต ธงปลิวสะบัดคล้ายมหานที ทัพหน้าของกองทัพต้ายงมาถึงแล้ว

ท่ามกลางฝุ่นดินฟุ้งตลบ ทหารม้าแห่งกองทัพต้ายงบุกมาถึงข้างกายพวกหลินถงแล้วแยกออกเป็นฝั่งซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว แม่ทัพแห่งกองทัพต้ายงคนหนึ่งควบอาชาทะยานเข้ามา ด้านข้างของเขามีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้สวมเกราะของทัพไต้โจวคนหนึ่งควบอาชาพุ่งนำหน้าออกมาพร้อมกับตะโกนถามเสียงดัง “ถงเอ๋อร์ ถงเอ๋อร์ ท่านพ่อเล่า”

ภายในหัวใจของหลินถงความยินดีที่รอดพ้นความตายผสมปนเปกับความรู้สึกเวิ้งว้างต่ออนาคตที่ยังไม่แน่นอน เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงก็พลันสลายหายไปสิ้น นางตะโกนตอบเสียงเครือ “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ท่านพ่ออยู่นกำแพง แต่ไม่มีเสียงมาสักพักใหญ่แล้ว เกรงว่า เกรงว่า…”

ชายหนุ่มผู้นั้นคำราม หันหลังกลับถลาไปยังบันไดทางขึ้นที่ถูกปิดตายแห่งนั้น แม่ทัพแห่งกองทัพต้ายงผู้นั้นถอนหายใจแผ่วเบาแล้วโบกมือ ทหารต้ายงจำนวนหนึ่งตามชายหนุ่มผู้นั้นไป แม่ทัพผู้นั้นเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ผู้น้อยหลี่เชวี่ย รองแม่ทัพแห่งกองทัพเวยอู่ของต้ายง รับบัญชาฝ่าบาทมาช่วยเหลือด่านเยี่ยนเหมิน มิทราบว่าท่านทั้งหลายยังมีแรงแหลือนำทางกองทัพใหญ่ตามไปไล่ล่าสังหารกองทัพคนเถื่อนหรือไม่”

หลินถงปาดน้ำตา ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าหลินถง ยินดีนำทางท่านแม่ทัพ”

หลี่เชวี่ยขมวดคิ้ว “ท่านหญิงเพิ่งรอดมาจากการสู้รบอันยาวนาน เกรงว่าคงจะทนต่อได้ยาก อีกทั้งหญิงไม่อยากไปดูสถานการณ์ของแม่ทัพเฒ่าหลินหรือ”

หลินถงตอบอย่างเด็ดขาด “ชีวิตของหลินถงมิใช่ของตน รอดมาจนถึงยามนี้ล้วนเป็นเพราะสวรรค์คุ้มครอง บิดาจะรอดหรือตาย หลินถงมิอาจทำประการใดได้ แต่หากปล่อยให้พวกคนเถื่อนถอยทัพหนีไปได้ แม้นตายหลินถงก็ไม่มีหน้าไปพบผู้เฒ่าทั้งหลายแห่งไต้โจว ขอท่านแม่ทัพโปรดวางใจ หลินถงยังทนไหว”

หลี่เชวี่ยยังลังเลอยู่เล็กน้อย ชื่อจี้จึงออกปากเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่โปรดวางใจ ผู้น้อยหวังจี้ ยินดีนำทางให้กองทัพใหญ่ด้วยกันกับภรรยา ผู้น้อยคุ้นเคยกับภูมิประเทศนอกด่านเยี่ยนเหมิน คงช่วยกองทัพใหญ่ไล่ล่าศัตรูได้ ขอท่านแม่ทัพมิต้องเป็นห่วงพวกเราสามีภรรยา”

ดวงตาของหลี่เชวี่ยผู้นั้นทอประกายวูบหนึ่ง เขาประสานมือให้จากบนหลังม้า “ที่แท้ก็คุณชายชื่อจี้ คนของฉู่เซียงโหว เสียมารยาทแล้วๆ ผู้น้อยเคยได้รับใช้ท่านโหวสมัยอยู่ในสวนเหมันต์ ก่อนออกเดินทางมาฉู่เซียงโหวไหว้วานให้ผู้น้อยสืบหาความเป็นไปของคุณชาย เห็นคุณชายปลอดภัยไร้อันตราย ผู้น้อยก็โล่งใจ มีคุณชายนำทาง พวกคนเถื่อนอยากหนีก็หนีไม่พ้นเป็นแน่”

ชื่อจี้พรูลมหายใจออกมาเบาๆ อดใจไม่ไหวถามขึ้นว่า “คุณชายของข้าก็มาที่ซินโจวด้วยหรือ”

หลินถงได้ยินในใจก็บังเกิดความขุ่นเคือง บังเอิญว่าทหารต้ายงจูงอาชาศึกมาพอดี นางจึงยกศอกถองท้องน้อยของชื่อจี้อย่างไม่บอกไม่กล่าว ระหว่างที่ชื่อจี้ข่มกลั้นความเจ็บปวด นางก็ขึ้นม้าศึกตัวใหม่ ควบอาชาทะยานไปยังทิศทางที่พวกคนเถื่อนหนีไปแล้ว ชื่อจี้ไม่มีเวลาพูดกับหลี่เชวี่ย รีบร้อนไล่ตามไปทันที ทหารกล้าแห่งตระกูลหลินที่เหลือรอดเหล่านั้นต่างหัวเราะด้วยเข้าใจความนัย หลายคนที่คิดว่าตนเองยังเหลือแรงอยู่ควบอาชาไล่ตามไปด้วย คอยนำทางกองทัพต้ายงอยู่ด้านหน้า

หลี่เชวี่ยก็ลอบขบขันเช่นเดียวกัน ความจริงตัวเขาเองก็ไม่ได้พบหน้าเจียงเจ๋อเหมือนกัน สิบกว่าวันก่อนเขาได้รับบัญชาให้เข้ามาในไต้โจว ชาวไต้โจวต่างล่วงรู้เรื่องที่ตระกูลหลินกับต้ายงเป็นศัตรูกัน ยามนี้ด่านเยี่ยนเหมินกำลังสู้รบถึงช่วงเวลาสำคัญ ไม่มีผู้ใดทำใจส่งข่าวไปยังด่านเยี่ยนเหมินลง พวกเขาล้วนกังวลว่าหากหลินหย่วนถิงรู้ข่าวต้ายงบุกเข้ามาในไต้โจว เขาจะเสียสละตนเองเพื่อประชาชนทั้งเขตแดน

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรวบรวมผู้คนกันเองแล้วคอยขัดขวางการรุกคืบของกองทัพต้ายง แม้หลี่เชวี่ยจะประกาศหลายหนว่าต้องการมาช่วยเหลือด่านเยี่ยนเหมิน ทว่าชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังคิดว่าต้ายงจะมาตีชิงตามไฟ ภายใต้เงื่อนไขว่ามิอาจทำร้ายชาวบ้านไต้โจว กองทัพต้ายงกล่าวได้ว่าเดินหน้าแต่ละก้าวยากเย็นนัก แต่ละคืนมักต้องตกใจตื่นอยู่หลายครั้ง ลำบากนักกว่าจะมาถึงไต้จวิ้นได้

ในตอนนั้นชาวบ้านไต้โจวต่างคิดว่าหลี่เซวี่ยต้องการจะบุกไต้จวิ้น ที่แห่งนั้นมีศาลบรรพชนของตระกูลหลินตั้งอยู่ ฮูหยินของไต้โจวโหวองค์หญิงใหญ่อันชิ่งตอนนี้ก็อยู่ที่ไต้จวิ้น หลี่เชวี่ยแม้แต่ชุ่นเดียวก็ยากจะเดินทัพต่อ

ในตอนที่เขาลำบากจนพรรณนาไม่ถูกนี่เอง เขาก็พบกับหลินเฉิงอี๋ที่เตรียมตัวจะเดินทางไปหากองทัพต้ายงเพื่อขอสวามิภักดิ์และขอกองหนุนพอดี แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น คนส่งสารของเจียงเจ๋อก็เดินทางมาหาหลี่เชวี่ย แจ้งกับเขาว่าชื่อจี้ช่วยเหลือตระกูลหลินคุ้มกันด่านอยู่ที่ด่านเยี่ยนเหมิน แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนในสังกัดของเจียงเจ๋อจึงมาอยู่ที่ด่านเยี่ยนเหมิน แต่หลี่เชวี่ยผู้เคยเป็นองครักษ์ในสวนเหมันต์มาก่อนก็ทำได้เพียงอุทานอย่างตกตะลึงในการคาดการณ์ดุจเทพของท่านเจียงเท่านั้น

เมื่อมีหลินเฉิงอี๋นำทาง ทัพหน้าของกองทัพต้ายงจึงรีบเร่งตรงมายังด่านเยี่ยนเหมินโดยแทบไม่ถูกขัดขวางแม้แต่น้อย ในใจหลี่เชวี่ยทราบดีว่าฝ่าบาทเห็นความสำคัญของตระกูลหลินแห่งไต้โจวยิ่งนัก ดังนั้นจึงห้อตะบึงมาตลอดทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบพลทหารที่เหลือรอดหนีออกมาจากด่านเยี่ยนเหมินก็ยิ่งร้อนใจดังเพลิงผลาญ พอมาถึงด่านเยี่ยนเหมินก็ทันช่วยหลินถงกับชื่อจี้จากห้วงวิกฤตได้อย่างฉิวเฉียด ในใจเขารู้สึกโชคดียิ่งนัก

ดูท่าหลินหย่วนถิงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี แต่ยามนี้หลินถงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งไต้โจวที่หลินหย่วนถิงแต่งตั้งด้วยตนเองแล้ว มีนางคอยร่วมมือย่อมทำให้ไต้โจวสงบได้ เรื่องนี้หลินถงเกรงว่าคงจะสำคัญยิ่งกว่าหลินเฉิงอี๋ ดูจากที่ช่วงเวลาสุดท้ายหลินหย่วนถิงมอบหน้าที่ใหญ่หลวงให้แก่บุตรสาวคนเล็กมิใช่บุตรชายคนโตก็ทราบจุดนี้แล้ว แล้วยิ่งร่วมทางกับหลินเฉิงอี๋มาทั้งกลางวันกลางคืน เขาก็มองออกแล้วว่าแม้หลินเฉิงอี๋จะมีวิชาขี่ม้ายิงธนูสูงส่ง นิสัยตรงไปตรงมา ทว่าไม่มีศักยภาพในการเป็นแม่ทัพใหญ่

เวลานี้เอง บนกำแพงด่านพลันมีเสียงคำรามร่ำไห้อย่างเจ็บปวดแสนสาหัสดังขึ้น หลี่เชวี่ยถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นจึงเห็นหลินเฉิงอี๋ถลาลงมาจากบันได พลิกกายขึ้นอาชาศึกกำลังจะพุ่งออกไปนอกด่าน หลี่เชวี่ยเห็นเขาน้ำตาไหลนองหน้า สองตากลายเป็นสีเลือด ในใจพลันรู้สึกสงสาร จึงส่งสายตาออกคำสั่ง องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหลินเฉิงอี๋ฉวยจังหวะที่เขาไม่ทันระวัง กระแทกด้ามกระบี่โจมตีเขาจนสลบแล้วประคองลงมา

ตอนนี้เอง ผู้ช่วยแม่ทัพคนหนึ่งก็เดินลงมาจากกำแพง เขาเดินมาถึงเบื้องหน้าอาชาของหลี่เชวี่ยแล้วส่ายหน้า ถอนหายใจด้วยความชื่นชม “ท่านแม่ทัพ กองทัพไต้โจวสมกับเป็นวีรบุรุษผู้กล้า บนกำแพงด่านเสมือนหนึ่งสนามรบของอสุรา กองทัพหมาป่าหิมะสามพันคนกับกองทัพไต้โจวสู้รบกันจนตายเกือบหมด เหลือเพียงแม่ทัพแห่งกองทัพไต้โจวนามว่าหลินหย่วนฉงยังมีชีวิตอยู่กับทหารกองทัพไต้โจวอีกหลายคนที่แม้บาดเจ็บสาหัส มิอาจพูดหรือขยับเคลื่อนไหวได้ แต่ก็น่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ผู้น้อยให้หมอทหารเข้าไปช่วยรักษาแล้ว หลินหย่วนถิงสู้จนตัวตาย ข้างกายมีแต่ศพของกองทัพหมาป่าหิมะกับทหารไต้โจว จากที่ผู้น้อยเห็น เขาคงใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อศัตรู วางกำลังพลดักซุ่มไว้ข้างกายเพื่อสังหารกองทัพของข้าศึก”

หลี่เชวี่ยถอนหายใจอย่างนึกชื่นชมอยู่ในใจเช่นกัน “เอาละ พวกเราก็ไปไล่ล่าศัตรูกันเถิด อย่าปล่อยให้ผู้อื่นดูแคลนกองทัพอู่เวยของพวกเรา” กล่าวจบก็ชักม้าหวดแส้ทะยานออกไปนอกด่านเยี่ยนเหมิน

หลังจากผ่านมาสองร้อยปี ทหารม้าเหล็กของจงหยวนก็เหยียบย่ำแผ่นดินของพวกคนเถื่อนอีกหน หนนี้ไล่ล่ามาไกลถึงสามร้อยลี้ หลี่เชวี่ยได้กองทัพไต้โจวนำทางจึงทำลายกำลังหลักของพวกคนเถื่อนจนย่อยยับ

ยี่สิบปีหลังจากนี้ กองทัพไต้โจวที่รวบรวมกำลังพลขึ้นใหม่บุกจู่โจมทุ่งหญ้าอยู่หลายหน บุกตีพวกคนเถื่อนแต่ละเผ่าจนแตกกระเจิง เผ่าเก๋อเล่อแทบสิ้นเผ่าพงศ์ นับแต่นั้นเป็นเวลานานถึงห้าสิบปี เผ่าคนเถื่อนวางธงหยุดตีกลองศึก ไม่กล้าหมายตาด่านเยี่ยนเหมินอีก ชายแดนทางเหนือมั่นคงดุจปราการเหล็ก

ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวในภายภาคหน้า อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเลย เรื่องเร่งด่วนก็คือหลังจากด่านเยี่ยนเหมินได้ชัยชนะครั้งใหญ่ จะเผชิญหน้ากองทัพต้ายงที่ควบคุมทั้งไต้โจวอยู่อย่างไร