ภาค-5 ตอนที่ 115 มองสกุลหลินสู่ปรภพ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ไต้โจววันนี้ ในกองทัพมีกำลงพลเหลืออยู่เพียงพันกว่าคน แม่ทัพใหญ่ยังคงเป็นท่านหญิงหงสยาหลินถง แม้กำลังทหารจะเหลือน้อย แต่จากประสบการณ์ตั้งแต่หลี่เชวี่ยเข้ามาในไต้โจว หากตระกูลหลินปลุกระดมประชาชนไต้โจวให้ต่อต้านกองทัพต้ายงโดยมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น นั่นจะต้องเป็นศึกอันยากลำบากหนหนึ่งอย่างแน่นอน

สาเหตุที่หลินหย่วนถิงต้องป้องกันด่านเยี่ยนเหมินอย่างยากลำบากโดยไร้กองหนุน ประการที่หนึ่ง เพราะตามปกติแล้วกองกำลังชาวบ้านที่ได้รับการฝึกฝนในแต่ละเมืองแต่ละอำเภอของไต้โจวจะถูกใช้ปกป้องถิ่นฐานเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะไม่เข้าร่วมสงครามใหญ่ ประการที่สอง การเข้ามาในไต้โจวของกองทัพต้ายงทำให้เมืองและอำเภอต่างๆ รู้สึกกดดันไม่น้อย

หลังจากหลินถงนำโลงศพกลับมายังไต้จวิ้น หลี่เชวี่ยก็อยากจะเร่งรัดให้หลินถงเดินทางไปพบจักรพรรดิต้ายงที่ซินโจว แต่เขาก็ไม่กล้าจุดโทสะให้ปวงชน ยามนี้พวกคนเถื่อนถอยไปแล้ว ทุกเมืองของไต้โจวทราบข่าวร้ายที่หลินหย่วนถิงรบจนตัวตายแล้ว พวกเขาต่างพากันเดินทางมาเซ่นไหว้ร่วมพิธีศพอย่างเศร้าโศก ทอดสายตามองทั่วทั้งไต้โจว ล้วนเห็นแต่อาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาวดั่งหิมะ สภาพเช่นนี้หลี่เชวี่ยจะยังกล้าเร่งรัดหลินถงได้เช่นไร

องค์หญิงใหญ่อันชิ่งทราบข่าวสามีกับบุตรรักตายในสนามรบ กองทัพต้ายงบุกเข้าดินแดน ก็ล้มป่วยจนลุกไม่ไหว หลินหย่วนฉงใช้ไม้เท้าลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว ในฐานะผู้อาวุโส เขาจึงเป็นประธานในการจัดพิธีศพ หลินเฉิงอี๋กับหลินถง รวมถึงชื่อจี้ล้วนเฝ้าอยู่ข้างโลง ทุกคนโยนเรื่องการเข้าเฝ้าจักรพรรดิต้ายงออกไปจากสมองอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่ชื่อจี้ก็ไม่ปรารถนาจะไปเผชิญหน้ากับหลี่จื้อ ผู้ใดจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะจัดการกับตระกูลหลินเช่นไร ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เชวี่ยจึงทำได้เพียงรายงานกลับไปแจ้งจักรพรรดิต้ายงอย่างจนปัญญา แล้วรอคอยทำตามพระบัญชา

เดือนห้า วันที่สิบสี่ ชื่อจี้ลากขาอันหนักอึ้งเดินไปยังห้องโถงจัดพิธีศพ เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้นทุกที พิธีศพแต่เดิมก็ยุ่งยากวุ่นวายมากอยู่แล้ว ยิ่งฐานะของหลินหย่วนถิงสูงศักดิ์ พิธีการต่างๆ นานายิ่งมิอาจละเลย พี่น้องตระกูลหลินต่างไม่สันทัดการจัดการเรื่องยิบย่อยต่างๆ มีแต่ชื่อจี้ที่คุ้นเคยกับการจัดการธุระข้างนอก เขาจึงใช้ฐานะบุตรเขยวิ่งวุ่นไปทั่ว ส่วนหลินเฉิงอี๋กับหลินถง นอกจากคอยเฝ้าข้างโลงศพแสดงความกตัญญูอยู่ในห้องโถงพิธีและคอยต้อนรับแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมพิธีศพก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ต้องทำอีก

เมื่อครู่มีพลทหารมารายงานว่ากองทัพต้ายงที่ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองไต้จวิ้นจู่ๆ ก็เกิดการเคลื่อนไหวผิดแปลก ชื่อจี้ยิ้มเจื่อน ยามนี้ยังจะมีวิธีการอันใดรับมือกับทหารม้าเหล็กอันแข็งแกร่งของต้ายงอีกหรือ ต่อให้มีหนทาง ตนเองจะเป็นศัตรูกับต้ายงได้หรือไร

ชื่อจี้เดินเข้ามาในห้องโถงพิธีก็เห็นหลินถงผู้มีสีหน้าซีดเซียวกำลังมองโลงศพกับป้ายวิญญาณเบื้องหน้าโถงพิธีอย่างนิ่งงัน ส่วนหลินเฉิงอี๋คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผู้ที่อยู่ในห้องโถงพิธีล้วนแต่เป็นแม่ทัพของกองทัพไต้โจวที่รอดชีวิตมาได้กับบรรดาขุนนางของไต้จวิ้น ทหารและประชาชนจากแต่ละเมืองที่มาร่วมพิธีต่างมาเซ่นไหว้กันไปเกือบหมดแล้ว สองวันนี้ห้องโถงพิธีจึงไม่ยุ่งวุ่นวายเท่าเดิม แม่ทัพกับขุนนางเหล่านี้กระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่ด้านล่าง เรื่องบางอย่างสุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี แต่กลับไม่มีผู้ใดหักใจเอ่ยเรื่องนี้กับพี่น้องตระกูลหลินลง

ชื่อจี้ถอนหายใจแผ่วเบา ก้าวไปข้างตัวหลินถง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถงเอ๋อร์ หลายวันนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว เข้าไปพักด้านหลังสักหน่อยเถิด”

หลินถงเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววเศร้าโศก แต่กลับเอ่ยขึ้นว่า “จี้หลาง วันพรุ่งข้าจะนำแม่ทัพทั้งหลายเดินทางไปเข้าเฝ้าที่ซินโจว ทูลถวายหนังสือขอยอมจำนนอย่างเป็นทางการ สิ่งที่รับปากท่านพ่อเอาไว้ ข้าไม่มีทางเสียใจ ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเป็นศัตรูกับต้ายง มิว่าอย่างไรเรื่องที่ปกป้องไต้โจวเอาไว้ได้ก็เป็นความดีความชอบของกองทัพต้ายงด้วย”

ชื่อจี้มิได้ตอบคำ เพียงตบปลอบหัวไหล่หอมของหลินถงแผ่วเบา เขาจะพูดอันใดได้เล่า ทั้งที่ทราบดีว่ายามหญิงสาวนางนี้กล่าวคำพูดนี้ออกมา หัวใจเจ็บปวดแทบวางวาย แต่เขากลับทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

เมื่อทุกคนในห้องโถงพิธีได้ยินคำพูดของหลินถง พวกเขาต่างมีสีหน้าหม่นหมองเศร้าโศก ทันใดนั้นนอกประตูก็มีพลทหารเข้ามารายงาน บอกว่ามีแขกเดินทางมาร่วมพิธีศพ หลินถงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าผู้ใดเดินทางมาร่วมพิธีศพล้วนพาเข้ามาได้ทันที”

พลทหารนายนั้นจึงตอบว่า “ทูลท่านหญิง ผู้ที่มาเยือนมิใช่คนไต้โจวของพวกเรา ผู้น้อยเห็นว่าพวกเขาดูมิธรรมดา”

หลินถงยิ้มอย่างเฉยชา กล่าวขึ้นว่า “กลัวอันใดกันเล่า ยามนี้พวกเรายังต้องหวั่นเกรงสิ่งใดอีกหรือ เชิญแขกเข้ามาเถิด” พลทหารขานรับอย่างเชื่อฟังแล้วถอยออกไป ไม่นานคนขบวนหนึ่งก็ตรงเข้ามาในห้องโถงพิธี

คนไต้โจวทั้งหลายเคลื่อนสายตาไปมอง เซ่นไหว้มาหลายวัน คนมีชื่อเสียงจากที่ต่างๆ ในไต้โจวต่างเดินทางมาเซ่นไหว้หรือส่งตัวแทนมากันเกือบจะครบหมดแล้ว เวลานี้เหตุไฉนยังมีผู้เดินทางมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณอีก เมื่อสายตาจับลงบนร่างของผู้มาเยือน ในหัวของของทุกคนพลันรู้สึกถึงความไม่ธรรมดา

ผู้มาเยือนมีทั้งหมดสี่คน ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดสวมอาภรณ์สีขาว อายุราวสามสิบห้าถึงสามสิบหกปี หน้าตาสง่างามองอาจ บรรยากาศรอบตัวน่าเกรงขาม ก้าวเท้ารวดเร็วดั่งดาวตก ท่วงท่าประหนึ่งมังกรเยื้องย่างพยัคฆ์เยื้องกราย ทำให้คนมิกล้ามองตรงๆ

ผู้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขาครึ่งก้าวคือบุรุษเส้นผมสีเทาผู้หนึ่ง จอมผมสองข้างมีสีขาวประปราย ทว่าใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน สวมชุดบัณฑิตสีขาว ท่าทางสง่างามโดดเด่นเหนือผู้คน

ด้านหลังของทั้งสองมีบุรุษวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกับชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลานุ่มนวลคนหนึ่งเดินเคียงไหล่กันมา พวกเขาล้วนสวมอาภรณ์สีเขียว ดูจากอาภรณ์และตำแหน่งแล้ว เหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาสองคน ทว่าผู้คนของไต้โจวกลับเห็นว่าบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นย่างเท้าแต่ละก้าวฝุ่นไม่ขยับสักเม็ด สองตาเก็บงำประกาย ยามสบสายตาเขาพลันบังเกิดความรู้สึกว่าอวัยวะภายในร่างถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นดูเหมือนไม่เป็นวรยุทธ์ แต่เพียงได้สบสายตาเขา กลับพลันรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับว่าถูกคนราดน้ำแข็งจากศีรษะอาบรดทั่วร่างอยู่ท่ามกลางเหมันต์อันหนาวเหน็บ

ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาต่างไม่ทราบความเป็นมาของสี่คนนี้ เวลานี้เอง ในห้องโถงพิธีก็พลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง เสียงนั่นกลับดังออกมาจากหลินถงกับชื่อจี้ สีหน้าของชื่อจี้เต็มไปด้วยความตกตะลึงและตระหนกลนลาน หลินถงเองก็มีสีหน้าตกใจเช่นเดียวกัน

เวลานี้บุรุษวัยกลางคนผู้นำอยู่ด้านหน้าสุดคนนั้นจุดธูปคำนับหน้าป้ายวิญญาณเสร็จแล้ว เขามิได้คุกเข่าลงไปคำนับ แต่มิทราบว่าอย่างไร ผู้คนของไต้โจวจึงรู้สึกว่าถูกต้องสมควรแล้ว หลินเฉิงอี๋ หลินถงกับชื่อจี้ล้วนคุกเข่าลงไปคำนับคืน ชื่อจี้ยังคงมีสีหน้าตื่นตระหนก ส่วนหลินถงน้ำตาคลอเบ้าทั้งที่สีหน้ายังตกตะลึงอยู่

หลังจากนั้น บัณฑิตอาภรณ์สีขาวผู้นั้นก็จุดธูปเซ่นไหว้บ้าง ยามต้องคำนับคืน ชื่อจี้กลับถอยหลังหนึ่งก้าว แสดงออกว่ามิกล้ารับการคำนับ หลินถงมองชื่อจี้หนหนึ่งแล้วถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นจึงถอยหลังก้าวหนึ่ง คำนับคืนพร้อมกันกับชื่อจี้

ผู้คนทั้งหลายของไต้โจวต่างทราบตัวตนของชื่อจี้กันเกือบทั้งหมด ในใจพวกเขาต่างมีความคิดอันน่าเหลือเชื่อประการหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมกัน แววตาที่มองไปยังแขกผู้มาร่วมพิธีศพทั้งสองคนแปรเปลี่ยนเป็นแววตาตกตะลึงและคลางแคลง

เวลานี้เอง บุรุษอาภรณ์สีเขียวทั้งสองคนก็เข้ามาเซ่นไหว้ตามลำดับ หลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว บุรุษวัยกลางคนผู้ที่เป็นหัวหน้าคนนั้นจึงถอนหายใจยาว กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาเสมอว่าตระกูลหลินแห่งไต้โจวพิทักษ์ด่านชายแดนจากรุ่นสู่รุ่น กล้าหาญไร้ผู้ใดเทียม น่าเสียดายข้ามาสายไปก้าวหนึ่งจึงมิอาจพบหน้าแม่ทัพเฒ่าหลินสักครั้ง วันนี้เดินทางมาเซ่นไหว้ด้วยตนเองก็เพราะตั้งใจจะบรรเทาความเสียดายในหัวใจลงบ้าง แม่ทัพน้อยกับท่านหญิงอย่าได้เศร้าไปเลย นับจากวันนี้ข้ายังต้องพึ่งตระกูลหลินให้พิทักษ์ไต้โจว”

ผู้คนทั้งหลายในห้องโถงไม่มีผู้ใดไม่ส่งเสียงฮือฮา จักรพรรดิแห่งต้ายงหลี่จื้อถึงกับเสด็จมาร่วมพิธีศพด้วยตนเอง ยามนี้ไต้โจวตกอยู่ในกำมือของกองทัพต้ายงแล้ว ผู้อื่นถือมีดกับเขียง ตนเองเป็นปลากับเนื้อ คิดมิถึงว่าหลี่จื้อกลับให้เกียรติตระกูลหลินเช่นนี้ จะมิให้ทุกคนซาบซึ้งน้ำตานองได้เช่นไร

มีบางคนเลื่อนสายตาไปจับอยู่บนร่างชายหนุ่มเส้นผมสีเทาผู้คนนั้น ยังหนุ่มแน่นแต่กลับเส้นผมสีขาว กิริยาท่าทางสง่างามแต่ดูผ่อนคลาย แล้วชื่อจี้กับหลินถงยังเคารพปานนี้อีก นอกจากฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้

ในเมื่อทราบตัวตนของหลี่จื้อกับเจียงเจ๋อแล้ว ไม่ต้องถามก็ทราบว่าบุรุษอาภรณ์สีเขียวทั้งสองคนต้องเป็นยอดฝีมือที่ติดตามมาด้วย ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานุ่มนวลผู้นั้น มากกว่าครึ่งคงจะเป็นเงามารหลี่ซุ่นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า

ในเมื่อทราบตัวตนของผู้มาเยือนแล้ว คนทั้งหลายจึงหันไปมองหลินถง จักรพรรดิต้ายงเสด็จมาเยือนด้วยตนเอง ยามนี้หลินถงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งไต้โจว ก็สมควรก้าวเข้าไปคารวะแสดงความภักดี มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะนับว่าสวามิภักดิ์ต่อต้ายงอย่างเป็นทางการ ทว่าหลินถงอายุน้อย เป็นวัยเลือดลมพลุ่งพล่าน ทุกคนจึงกังวลว่านางจะมิยอมคุกเข่ายอมสวามิภักดิ์ หากจุดโทสะให้จักรพรรดิต้ายงขึ้นมา เกรงว่าตระกูลหลินคงต้องพบกับหายนะ

คิดไม่ถึงว่าหลินถงกลับสีหน้าเยือกเย็นอย่างยิ่ง นางเดินเข่าเข้าไปก้าวหนึ่ง ตอบว่า “ฝ่าบาททรงอาภรณ์ขาวมาร่วมไว้อาลัย ตระกูลหลินทั้งตระกูลซาบซึ้งยิ่งนัก ท่านพ่อสั่งเสียเอาไว้ว่าให้พวกหม่อมฉันสวามิภักดิ์ต่อต้ายง หม่อมฉันหลินถงผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ชั่วคราวแห่งไต้โจว วันนี้ขอสาบานต่อหน้าวิญญาณของบิดา นับจากนี้ทหารและประชาชนไต้โจวขอสวามิภักดิ์ มิแปรพักตร์เป็นอื่นเด็ดขาด

เพียงแต่ว่าพี่ชายทั้งสองกับพี่สาวอยู่ที่จิ้นหยาง พวกเขายังมิทราบเรื่องนี้ หม่อมฉันก็มิอาจบังคับการกระทำของพี่ชายกับพี่สาวได้ ขอฝ่าบาทโปรดอภัย อีกทั้งมารดาของหม่อมฉันมีฐานะไม่ธรรมดา หากฝ่าบาทมีพระประสงค์จะลงโทษ หลินถงขออาสารับโทษทัณฑ์แทนมารดา”