ตอนที่ 901 ลิ้มลอง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 901 ลิ้มลอง

ทว่า ตอนที่เฉวียนอวี๋มาถึงเมืองลั่วหง เฉวียนอวี๋บอกเขาว่าเมืองหลวงไม่มีข่าวของพระชายาเอกและองค์ชายน้อยเช่นเดียวกัน แสดงว่าพระชายาเอกและองค์ชายน้อยไม่น่าจะอยู่ในกำมือของไป๋ชิงเหยียน

หากพระชายาเอกและองค์ชายน้อยถูกไป๋ชิงเหยียนจับได้จริง พวกเขาคงใช้พระชายาเอกและองค์ชายน้อยมาข่มขู่เพื่อแลกชีวิตขององค์หญิงใหญ่กลับคืนไปแล้ว เหตุใดต้องลำบากล้อมเมืองโดยไม่กล้าโจมตีเพราะห่วงความปลอดภัยขององค์หญิงใหญ่เช่นนี้ด้วย

องค์รัชทายาทเดาว่าพระชายาเอกและองค์ชายน้อยอาจจบชีวิตด้วยน้ำมือของเหลียงอ๋องแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนี้ขอบตาของเขาจึงร้อนผ่าวขึ้นมาทันที จมูกของเขาแสบร้อนเล็กน้อย น้ำตาเกือบไหลออกมา

เฉวียนอวี๋ยืนอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทอย่างสงบเสงี่ยม เมื่อเห็นองค์รัชทายาทกลั้นน้ำตาเอาไว้พลางถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นเดินลงบันไดไปต่อ เฉวียนอวี๋จึงกำชับให้องค์รัชทายาทเดินอย่างระมัดระวัง

พวกเขายังเดินไปได้ไม่ไกล ขันทีเล็กคนหนึ่งก็วิ่งไล่ตามลงมา “องค์รัชทายาทโปรดรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเรียกพบตัวขันทีข้างกายขององค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

เฉวียนอวี๋ตกตะลึง จากนั้นมองไปทางองค์รัชทายาท

องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดเสด็จพ่อจึงเรียกพบเฉวียนอวี๋กัน”

ขันทีเล็กก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม “ทูลองค์ชาย บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ…”

องค์รัชทายาทคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปกล่าวกับเฉวียนอวี๋ “เจ้าไปเถิด หากเสด็จพ่อถามถึงเรื่องของเรา เจ้าทูลไปตามความจริงได้เลย รีบไปรีบกลับ”

เฉวียนอวี๋ทำความเคารพองค์รัชทายาท จากนั้นเดินตามขันทีเล็กไป

องค์รัชทายาทมองเฉวียนอวี๋แวบหนึ่ง จากนั้นหมุนกายจากไป…

เฉวียนอวี๋เดินตามขันทีเล็กเข้าไปในตำหนัก ผ้าม่านผืนบางที่แขวนอยู่บนคานถูกปล่อยลงมาแล้ว เฉวียนอวี๋มองเห็นจักรพรรดิต้าจิ้นนอนเอนกายพิงหมอนอยู่รางๆ

เมื่อได้ยินเสียงทำความเคารพของเฉวียนอวี๋ จักรพรรดิต้าจิ้นจึงกล่าวขึ้นช้าๆ “ได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นคนส่งเจ้ามาเมืองลั่วหง”

ใจของเฉวียนอวี๋กระตุกวูบ จักรพรรดิต้าจิ้นขี้หวาดระแวงผู้นี้คงกำลังสงสัยเขาอยู่

“ทูลฝ่าบาท องค์หญิงเจิ้นกั๋วเสนอให้บ่าวอยู่รับใช้นางต่อ ทว่า บ่าวติดตามรับใช้องค์รัชทายาทมาตั้งแต่เล็ก ตอนนั้นบ่าวเพิ่งเข้ามาในวังหลวง เดิมทีองค์รัชทายาทมีตัวเลือกมากมาย ทว่า องค์รัชทายาททรงเลือกขันทีที่มักถูกผู้อื่นรังแกอย่างบ่าว ไม่ว่าอย่างไรบ่าวก็ทอดทิ้งองค์ชายไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ บ่าวทูลขอม้าจากองค์หญิงเจิ้นกั๋วเพื่อมาตามหาองค์ชายที่เมืองลั่วหงพ่ะย่ะค่ะ” เฉวียนอวี๋ตอบตามความจริง จากนั้นก้มศีรษะคำนับจักรพรรดิต้าจิ้น

“เจ้าอาจได้รับคำสั่งจากไป๋ชิงเหยียนให้มาจับตาดูเราและองค์รัชทายาท” จักรพรรดิต้าจิ้นกล่าวถึงตรงนี้ด้วยเสียงดุดัน

เฉวียนอวี๋รีบก้มศีรษะคำนับ “ทูลฝ่าบาท องค์รัชทายาททรงมีบุญคุณกับบ่าวมาก ต่อให้ตายบ่าวก็ไม่มีวันทรยศองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดทรงวินิจฉัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

“หากเป็นเช่นนั้น เราจะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง” จักรพรรดิต้าจิ้นหยัดกายลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นเดินเอามือไขว้หลังเข้าไปใกล้เฉวียนอวี๋ เฉวียนอวี๋เครียดจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เขามองเห็นเพียงรองเท้าปักลายเมฆมงคลคู่หนึ่งเท่านั้น

มือที่เหี่ยวแห้งของจักรพรรดิต้าจิ้นแหวกม่านออก เขาก้มหน้ามองเฉวียนอวี๋พลางกล่าวขึ้นช้าๆ “วันนี้ไป๋ชิงเหยียนจะเข้ามาในเมืองลั่วหง หากไป๋ชิงเหยียนไม่ยอมช่วยเรารวบรวมเด็กหนึ่งพันคน เจ้าจงนำสุราพิษไปมอบให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยมือของเจ้าเอง”

เฉวียนอวี๋เงยหน้าขึ้นอย่างหวาดกลัว เขาสบกับสายตาสงบนิ่งและอำมหิตของจักรพรรดิต้าจิ้น แผ่นหลังของเขาชาวูบขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท…”

“หากคืนนี้ไม่เป็นดั่งที่คาดหวังไว้ สุราพิษถ้วยนี้…ไม่เจ้าก็ไป๋ชิงเหยียนต้องดื่มมันเข้าไป!” จักรพรรดิต้าจิ้นกล่าวจบจึงลดม่านลงตามเดิม “เจ้าไปได้ ไม่ต้องกลับไปหาองค์รัชทายาทแล้ว เจ้าจงตรงไปรอที่หอลั่วหงเลย”

จักรพรรดิต้าจิ้นไม่เชื่อว่าไป๋ชิงเหยียนจะหวังดีส่งขันทีข้างกายขององค์รัชทายาทกลับมาให้องค์รัชทายาทโดยไม่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

เฉวียนอวี๋ผู้นี้อาจเป็นคนที่ไป๋ชิงเหยียนส่งมาจับตาดูเขาและองค์รัชทายาท กระทั่งไป๋ชิงเหยียนอาจสั่งให้เฉวียนอวี๋หาโอกาสสังหารเขาเสีย

หรือไม่…ไป๋ชิงเหยียนก็อาจทำไปเพื่อซื้อใจคน หากนางยังโจมตีเมืองลั่วหงไม่ได้เสียที ไป๋ชิงเหยียนอาจอ้างบุญคุณสั่งให้เฉวียนอวี๋โน้มน้าวให้องค์รัชทายาทออกจากเมืองลั่วหงเพื่อยอมจำนน บุตรชายของเขาคนนี้ยิ่งหูเบาอยู่ด้วย

ไม่ว่าไป๋ชิงเหยียนจะส่งเฉวียนอวี๋กลับมาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทเพื่อจุดประสงค์ใด หญิงสาวไม่มีทางหวาดระแวงขันทีเล็กผู้นี้แน่นอน

ยามซวี[1]แสงแดดหายลับไปจากท้องฟ้า บนท้องฟ้าเหลือเพียงแสงสว่างจางๆ แสงสุดท้ายเท่านั้น

องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่บนแท่นสูงของหอลั่วหงซึ่งเป็นหอที่วิวดีที่สุดในเมืองลั่วหง โคมไฟสีแดงซึ่งแขวนอยู่ใต้หลังคาของหอลั่วหงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

องค์หญิงใหญ่มองดูสาวใช้จุดไฟในโคมไฟนกกระเรียนที่ตั้งอยู่บนบันไดทุกสิบขั้นจนสว่างขึ้นทีละดวง แสงไฟอบอุ่นปกคลุมทั่วหอลั่วหงในทันที

องค์หญิงใหญ่มองดูแสงสุดท้ายของวันบนท้องฟ้าถูกความมืดกลืนกินจนมืดสนิท ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจของนาง

นางเกลี้ยกล่อมจนจักรพรรดิต้าจิ้นยอมส่งเสิ่นเทียนจือไปพบไป๋ชิงเหยียนเพราะต้องการบอกหลานสาวของนางว่าคืนนี้คืองานเลี้ยงหงเหมิน[2] ให้ไป๋ชิงเหยียนตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองว่าจะมาหรือไม่

หากเข้ามาในเมือง นางจะกลายเป็นขุนนาง

หากบุกโจมตีเมือง นางจะได้เป็นจักรพรรดินี

ทว่า เมื่อองค์หญิงใหญ่รับรู้การตัดสินใจของหลานสาว องค์หญิงใหญ่รู้สึกปวดใจมากกว่าเดิม นางเสียใจแทนหลานสาวของนางที่มีย่าอย่างนาง เสียใจที่หลานสาวไม่สละความรู้สึกส่วนตัวเพื่อส่วนรวมเพื่อจะได้เป็นจักรพรรดิอย่างเต็มตัว

องค์หญิงใหญ่ค่อยๆ หลับตาลง น้ำตาไหลออกมาจากหางตา

ลมร้อนพัดโดนผมขาวโพลนขององค์หญิงใหญ่ โคมไฟที่แขวนอยู่ใต้หลังคาหอลั่วหงสว่างจนเห็นเงาที่ทอดยาวขององค์หญิงใหญ่

ผ่านไปครู่ใหญ่องค์หญิงใหญ่จึงถอนหายใจยาวออกมา นางหมุนกายกลับเข้าไปในหอลั่วหง เอนกายพิงหมอนอิงบนเก้าอี้พลางนับลูกประคำในมือ

ประตูเมืองลั่วหงค่อยๆ เปิดออก ไป๋ชิงเหยียนพาทหารไม่ถึงหนึ่งร้อยนายขี่ม้าเข้าไปในเมืองลั่วหง

ทหารคุ้มกันเมืองลั่วหงพากันก้มหน้าลง ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนที่น่าเกรงขามแม้แต่น้อย มีเพียงเกาเต๋อเม่าคนเดียวเท่านั้นที่ยืนต้อนรับไป๋ชิงเหยียนอยู่ด้วยรอยยิ้ม

ทหารต้าจิ้นในเมืองลั่วหงชูคบเพลิงขึ้นสูง แสงไฟจากคบเพลิงลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงพัดของลม เงาของร่างคนส่ายไปมาเช่นเดียวกับแสงไฟ

เมื่อไป๋ชิงเหยียนนำทหารหนึ่งร้อยนายเข้ามาในเมืองลั่วหงเรียบร้อย ประตูเมืองจึงปิดสนิทลงอีกครั้ง

ทหารหนึ่งร้อยนายที่ติดตามไป๋ชิงเหยียนมาด้วยอยู่ในท่าเตรียมพร้อมตลอดเวลา ทุกคนจับดาบที่เอวของตัวเองแน่น นิ้วหัวแม่มือจ่ออยู่ที่ปลายดาบราวกับพร้อมจะชักดาบออกมาจากฝักตลอดเวลา

ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า เมื่อเห็นเกาเต๋อเม่าเดินเข้ามาทำความเคารพจึงโยนแส้ม้าให้องครักษ์ จากนั้นกล่าวกับเกาเต๋อเม่ายิ้มๆ “ไม่เจอกันนานเลยนะเกากงกง!”

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงดูแข็งแรงขึ้นมาก สวรรค์คุ้มครองแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของเกาเต๋อเม่ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิมจนดูไม่ออกว่ามาจากใจหรือเสแสร้ง

“ท่านย่าของข้าอยู่ที่ใดกัน” ไป๋ชิงเหยียนถามยิ้มๆ

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วเชิญเสด็จตามบ่าวมาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ…” เกาเต๋อเม่าหลีกทางให้อย่างนอบน้อม จากนั้นเชิญไป๋ชิงเหยียนตามเขาขึ้นไปบนหอลั่วหง

เกาเต๋อเม่าเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียนพลางกระซิบเสียงเบาหวิว “หอลั่วหงคือหอที่บรรยากาศดีที่สุดในเมืองลั่วหงโดยเฉพาะเมื่อมาชมยามค่ำคืน ทว่า สุราของหอลั่วหงไม่ค่อยน่าลิ้มลองสักเท่าใดพ่ะย่ะค่ะ!”

[1] ยามซวี เวลาระหว่าง 19.00-21.00 นาฬิกา

[2] งานเลี้ยงหงเหมิน คืองานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นฉากบังหน้าในการหลอกคนไปสังหารในงานเลี้ยง อาจเรียกได้ว่าคือบัตรเชิญแห่งความตาย