“เหม่อมองระลอกวารินทักษิณจากชุนเฉียว ศิขรินเขียวยอดเขาหยกล้มพาดขวาง พรมน้ำค้างฉ่ำบุปผาอุทยาน หน้าสุสานเมรัยใหม่รสข้นเข้ม มังกรเขียวเหยียดกายโอบซุ้มประตู หงส์แดงขนเปียกลู่พลัดสรวงสวรรค์ บนถิ่นสัญจรลาจากแต่ปางบรรพ์ ทอดถอนใจสดับเสียงระฆังย่ำเย็น”
ปีเจี่ยเซิน[1] ต้ายง รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ด ช่วงเดือนสองของวสันต์ กลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิอบอวล วาโยโชยพัด แสงตะวันงามจับตา รถม้าแล่นบนถนนมุ่งสู่ฉางอันดั่งสายธาราทอดยาวต่อเนื่องมิขาดสาย พ่อค้าและนักเดินทางที่เดินทางไปมามิใช่เพียงพันหมื่น
นับแต่รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง ผนวกแดนเหนือให้เป็นหนึ่งและเจรจาสงบศึกกับหนานฉู่สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายก็ใช้ฉางเจียงเป็นเส้นกั้น กระนั้นคลื่นใต้น้ำยังคงโถมซัดเกรี้ยวกราด ทั้งสองฝ่ายมิหย่อนหยานเพราะความสงบสุขบนฉากหน้า แต่อย่างไรเสียวันเวลาอันแสนสงบสุขก็ดำเนินมาได้เจ็ดปีแล้ว
ราชสำนักต้ายงใสสะอาด ปกครองบ้านเมืองอย่างยุติธรรม ประชาชนสงบสุข กำลังของแว่นแคว้นเพิ่มพูนทุกวัน นครฉางอันก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลายปีนี้ต้ายงทุ่มเทบุกเบิกเส้นทางการค้ากับดินแดนตะวันตก ก่อสร้างถนนหลายสาย ทำให้ขบวนพ่อค้าจากแต่ละแห่งเดินทางสะดวกขึ้น นครฉางอันกลายเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งใต้หล้า
ในหมู่ขบวนพ่อค้าที่เดินทางมาไม่ขาดสาย มีกลุ่มพ่อค้าขนาดเล็กซึ่งไม่สะดุดตาอยู่กลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางอย่างไม่รีบร้อน ขบวนพ่อค้ากลุ่มนี้ประกอบด้วยกลุ่มพ่อค้าขนาดเล็กหลายกลุ่มที่มารวมตัวกันเฉพาะหน้า เส้นทางยาวไกล อีกทั้งต้ายงเพิ่งจะรวมแดนเหนือได้ไม่นานจึงมีโจรร้ายปรากฏตัวอยู่บ้างอย่างยากจะเลี่ยง ดังนั้นการรวมกลุ่มเดินทางจึงเป็นไปเพื่อความปลอดภัย
หัวหน้าของขบวนพ่อค้ากลุ่มนี้คือพ่อค้าแซ่ซ่ง นามว่าซ่งเจี่ยน เขาอายุสี่สิบปีต้นๆ เดินทางขึ้นเหนือลงใต้ค้าขายทางแถบต้าเจียงมานานหลายปี เขาเป็นคนฉลาดทำงานเก่ง นิสัยตรงไปตรงมา ดังนั้นผู้คนจึงยกเขาให้เป็นหัวหน้า
เมื่อเห็นสีของต้นหลิวเลือนรางริมฝั่งแม่น้ำป้าสุ่ย เขาก็ยกแส้ชี้ไปด้านหน้าอย่างตื่นเต้น “สหายทั้งหลาย ด้านหน้าก็คือสะพานป้าเฉียวแล้ว พวกเราเร่งเดินทางกันสักหน่อย วันนี้ก่อนตะวันพลบไปถึงโรงเตี๊ยมจะได้พักผ่อนกัน”
ขบวนพ่อค้าเหล่านี้ต่างดีใจยิ่งนัก ขานตอบทันที พวกเขามีโรงเตี๊ยมที่ทำข้อตกลงกันไว้อยู่ในนครฉางอัน ขอเพียงไปถึงโรงเตี๊ยม ย่อมมีคนช่วยจัดการให้พวกเขาเข้าพัก ยามใกล้จะบรรลุจุดหมาย แม้แต่คนที่เคร่งขรึมที่สุดก็ยังแสดงอาการดีใจออกมาเล็กน้อยอย่างยากจะห้าม ในหมู่คนเหล่านี้ เด็กหนุ่มอายุราวสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งตื่นเต้นมากที่สุด สองตาของเขาเปล่งประกายขณะมองฝุ่นฟุ้งตลบด้านหน้า
ซ่งเจี่ยนเห็นภาพนั้นก็ห้ามยิ้มไม่อยู่ ชายหนุ่มผู้นี้นามว่าอวิ๋นลู่ เขามิใช่พ่อค้า แต่เป็นนักเดินทางที่พบกันระหว่างทาง วันนั้นพวกเขาละโมบคิดจะเร่งเดินทางจนระหว่างทางไปเจอโจรภูเขาเข้า แม้ในขบวนพ่อค้าจะมีผู้คุ้มกันกับนักเลงที่จ้างไว้อยู่บ้าง แต่โจรภูเขาเหล่านั้นอาศัยธนูปิดเส้นทางไว้ ในห้วงเวลาวิกฤตนั่นเอง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ควบอาชาผ่านมาช่วยเหลือพวกเขาโจมตีโจรภูเขาจนถอยร่น
เด็กหนุ่มผู้นี้อายุไม่มาก แต่ร่างกายพละกำลังมหาศาลประหนึ่งพยัคฆ์หนุ่ม เขาใช้คันศรหนักสามต้านกับวิชายิงธนูอันน่าตื่นตะลึงยิงศรต่อเนื่องเจ็ดดอก สังหารเหล่าโจรผู้เหี้ยมหาญไปหลายคน หลังจากขับไล่พวกโจรไปแล้ว ทุกคนจึงได้ทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องการขึ้นเหนือไปตามหาญาติที่ฉางอัน พวกเขาจึงพาเขาเดินทางมาด้วยตามคำขอร้องของเขา
อย่างไรเสียมีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่งก็มิสิ้นเปลืองอันใด ยิ่งไปกว่านั้นวิชายิงธนูของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ใช้ประโยชน์ได้ ตลอดทางเด็กหนุ่มคนนี้คอยระวังหน้าระวังหลัง ขยันขันเข็งและฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นิสัยก็แจ่มใสร่าเริง แม้อยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งเดือนกว่า แต่ก็กลายเป็นคนที่ทุกคนในขบวนพ่อค้าชื่นชอบที่สุดเสียแล้ว
ทว่าถึงอย่างไรซ่งเจี่ยนก็ผ่านโลกมามาก เขามองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีบางจุดไม่ธรรมดา แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะค่อนข้างฉลาดและทำงานเก่ง อีกทั้งยังอดทนต่อความลำบาก แต่ดูจากที่ครั้งแรกๆ เขามักจะทำผิดพลาดเล็กน้อย จึงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าบนมือเท้าของเขาจะมีหนังด้านแต่กลับเหมือนได้มาจากการฝึกวรยุทธ์ ถึงอายุน้อยแต่กลับรู้หนังสือแตกฉาน ต่อให้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกเจี๊ยบที่เพิ่งออกเดินทางมานอกบ้านเป็นหนแรก
แต่ระหว่างทางยามตนชี้ให้ดูสิ่งต่างๆ เพียงบอกกล่าวสองสามคำ เขาก็เข้าใจในทันที แล้วยังจี้ถามสิ่งที่เป็นรายละเอียดได้อีก หากมิใช่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อายุน้อยนัก ตนคงสงสัยแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นสายลับที่หนานฉู่ส่งมาต้ายงหรือไม่
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่มผู้นี้ ซ่งเจี่ยนก็คลี่ยิ้ม ต่อให้หนานฉู่สิ้นไร้คนก็คงไม่ส่งเด็กน้อยเช่นนี้มาสืบข่าวกองทัพหรอกกระมัง น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ตระกูลใดออกจากบ้านมาท่องเที่ยวเสียมากกว่า ดูจากที่เด็กหนุ่มคนนี้ร่ำเรียนจนสำเร็จวิชาบุ๋นบู๊มาบ้าง ตระกูลของเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ว่าเรื่องเหล่านี้มิจำเป็นต้องให้พวกเขาว้าวุ่นใจ ขอเพียงเด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่สายลับย่อมไม่ส่งผลต่อการค้าขายของพวกเขา
อวิ๋นลู่มองทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำป้าสุ่ยอย่างยินดีปรีดา นั่นเป็นความยินดีปรีดาของการเดินทางมาถึงจุดหมายหลังจากระเหเร่ร่อนมาอย่างยาวไกล ทว่าความรู้สึกที่บอกกล่าวไม่ถูกอย่างหนึ่งก็ทำให้เขาเกือบจะถอนหายใจออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
นับตั้งแต่เล็กเขาเติบโตมาในดินแดนอันรุ่งเรืองของเจียงหนาน อาบสายลมแคว้นอู๋ชมดวงจันทร์แคว้นฉู่ เห็นภาพต้นหญ้าสูงนกขมิ้นบินร่อนอันเป็นเป็นทิวทัศน์ของเจียงหนานมาจนคุ้นชิน ระหว่างเดินทางขึ้นเหนือ เขาได้เห็นว่าฤดูวสันต์ของแผ่นดินทางเหนือก็งดงามชวนประทับใจเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีพลังอันฮึกเหิมแฝงอยู่ แม้สองดินแดนอาจสูสีทัดเทียม แต่เมื่อเทียบกับเหล่าบัณฑิตเจียงหนานผู้เดินหนึ่งก้าวถอนใจสามเฮือกกลางสายฝนพรำ เข้าวสันต์หนใดเป็นต้องโศกเศร้าหวนอาลัย เขากลับชื่นชอบเหล่าชายหนุ่มหาญกล้าผู้ห้อตะบึงอาชากลางสายลมวสันต์ของแดนเหนือมากกว่า
ระหว่างทาง อวิ๋นลู่เดินทางผ่านเมืองและหมู่บ้านมานับไม่ถ้วน เขามักรู้สึกว่าชาวต้ายงเหล่านี้ใจกล้าและห้าวหาญ บางทีชีวิตของพวกเขาอาจไม่สงบสุขเท่ากับคนเจียงหนาน ทว่าบนสีหน้าของพวกเขากลับมีความมั่นใจในตนเองและความหยิ่งทะนงอันแรงกล้า
มิน่าทุกครั้งบิดาจึงเอาแต่เศร้าใจ ทุกคราที่เอ่ยถึงศัตรูผู้แข็งแกร่งทางเหนือล้วนถอนหายใจไม่เลิก ทั้งที่เพิ่งอายุสามสิบกว่าปีแท้ๆ แต่จอนผมกลับเป็นสีขาว ก่อนหน้านี้ตนมักประหลาดใจเสมอว่าเหตุใดบิดาผู้มีตำแหน่งและอำนาจเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองในหนานฉู่ ทั้งยังเคยอาศัยกำลังของตนเองเพียงคนเดียวหยุดยั้งมิให้ชาวต้ายงยกกองทหารม้าลงใต้มักจะขมวดคิ้วเป็นปมยามอยู่ลำพังเสมอ
แม้เจียงหนานมั่งคั่งและสงบสุข ทว่าทหารและประชาชนต่างมัวเมาในความสงบสุขนั้น หากต้องเผชิญหน้ากับต้ายงผู้หมั่นฝึกฝนทหารบำรุงอาชาจักต้องเป็นศึกอันยากลำบากหนหนึ่งแน่ หวนนึกถึงทหารองครักษ์ที่หอกดาบล้วนขึ้นสนิมในเมืองเจี้ยนเย่ แล้วนึกถึงการฝึกกำลังพลตามค่ายทหารแต่ละแห่งและในกลุ่มทหารชาวบ้านของต้ายงที่เห็นมาตลอดทาง ทั้งที่กำลังคนเหล่านี้น่าจะเป็นเพียงกำลังทหารชั้นสองชั้นสามของต้ายงเท่านั้น แต่พูดถึงวรยุทธ์ก็เหนือกว่ากองทหารส่วนใหญ่ของหนานฉู่แล้ว
เมื่อเปรียบเทียบดูคงมีแต่กองทหารใต้บัญชาของท่านพ่อ แม่ทัพหรงผู้พิทักษ์จิงเซียงกับแม่ทัพอวี๋ผู้พิทักษ์ด่านจยาเหมิงเท่านั้นที่ต่อกรกับต้ายงได้ ไม่แปลกที่ท่านพ่อไม่ถูกกับจิ้งจอกเฒ่าคนนั้น แต่เมื่อเป็นเรื่องการเจรจาสงบศึกกับต้ายงกลับเห็นพ้องต้องกันมาตลอด
ตัวตนที่แท้จริงของอวิ๋นลู่ก็คือลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตของลู่ช่านแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ แม้ในสมัยนั้นลู่ช่านจะซุกซนและชอบก่อเรื่อง แต่เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานกลับมิมีสิทธิตัดสินใจเองแม้แต่น้อย อายุสิบแปดก็ตบแต่งสำเร็จลุล่วงตามบัญชา ปีถัดมาก็ให้กำเนิดลู่อวิ๋น ภายในเวลาสิบสี่ปีมีบุตรชายสามคนบุตรสาวหนึ่งคน
แน่นอนว่าลู่ช่านรักลู่อวิ๋นผู้เป็นบุตรคนโตมากที่สุด มิว่าหน้าตาหรือนิสัยลู่อวิ๋นแทบจะถอดแบบออกมาจากบิดา แม้เกิดมาท่ามกลางสิ่งหรูหรางดงาม ทว่าลู่อวิ๋นกลับรักการขี่ม้ายิงธนูกวัดแกว่งหอกดาบเป็นที่สุด เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเขาก็ร่ำเรียนวรยุทธ์จากทหารในบ้าน พออายุพ้นสิบขวบก็ยิงธนูล่าสัตว์ร้าย กวัดแกว่งหอกสังหารโจรได้ เป็นลูกพยัคฆ์แห่งตระกูลแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ
ฐานะเช่นเขาแต่เดิมมิสมควรลอบแฝงตัวเข้ามาในต้ายง ทว่าหนนี้เขาออกเดินทางจากบ้านมาเพื่อลอบสังหารคนผู้หนึ่ง หากจะเล่าคงต้องเล่าตั้งแต่รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง (รัชศกถงไท่ปีที่สิบเอ็ด) ลู่ช่านฉวยโอกาสยามต้ายงทำศึกโรมรันกับเป่ยฮั่น ขณะที่กองกำลังกบฏของชิ่งอ๋องเพิ่งถูกปราบและจิตใจของคนในตงชวนยังสับสน ลอบจู่โจมยึดด่านจยาเหมิง นับจากนั้นลู่ช่านจึงกลายเป็นผู้นำทางฝั่งทหารของหนานฉู่อย่างแท้จริง แม้แต่ซั่งเหวยจวินผู้กุมอำนาจในราชสำนักก็ยังต้องกริ่งเกรงเขาอยู่สามส่วน
คนถ่อยผู้ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในราชสำนักหนานฉู่พวกนั้นเห็นว่าสู้ซึ่งหน้ามิอาจสั่นคลอนตำแหน่งของลู่ช่านได้ จึงหาสารพัดวิธีมาโจมตีลู่ช่านทางอ้อม จุดอ่อนที่ดีที่สุดก็คือความจริงที่ว่าลู่ช่านเคยได้รับการสั่งสอนจากเจียงเจ๋อ
อดีตเคยเป็นบัณฑิตฮั่นหลินแห่งหนานฉู่แต่กลับแปรพักตร์ไปเข้ากับต้ายง ทั้งยังสมรสกับองค์หญิงฉางเล่ออดีตพระมเหสีแห่งหนานฉู่ เจียงเจ๋อผู้ไร้ความภักดีขาดคุณธรรมคนนี้ตกเป็นเป้าโจมตีของราชสำนักหนานฉู่มาเนิ่นนานแล้ว เมื่อมีคนเจตนาคอยยุ เหล่าบัณฑิตเจียงหนานยามเมามายได้ที่เป็นต้องด่าเจียงสุยอวิ๋นคนถ่อยขุนนางสองนายสักสองสามคำ
ลู่ช่านผู้เป็นอดีตลูกศิษย์ของเจียงเจ๋อ อีกทั้งไม่เคยประกาศตัดความสัมพันธ์กับเจียงเจ๋อย่อมยากจะหนีพ้นการถูกลากลงโคลน แม้ความดีความชอบที่ช่วยพิทักษ์แผ่นดินของลู่ช่านกับอำนาจทหารในมือเขาจะทำให้มิมีผู้ใดกล้าตำหนิต่อหน้า แต่ลับหลังก็สาดโคลนใส่ไม่ขาด ถึงขนาดที่เคยมีบัณฑิตบ้าคนหนึ่งบุกมาโยนหนังสือโน้มน้าวถึงบ้าน เกลี้ยกล่อมให้ลู่ช่าน “ตัดความสัมพันธ์เพื่อคุณธรรม”
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานนัก แม้ยามนี้เจียงเจ๋อกลายเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนักต้ายง เป็นจวิ้นโหว เป็นพระราชบุตรเขยผู้สูงศักดิ์ ได้รับความไว้วางพระทัยจากจักพรรดิต้ายงหลี่จื้ออย่างยิ่ง แต่นั่นก็มิอาจสยบคลื่นคำตำหนิติเตียนตัวเขาในหนานฉู่ มิว่าอย่างไรลู่อวิ๋นก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงยอมถูกผู้คนประณามวิพากษ์วิจารณ์ แต่กลับมิยอมตัดความสัมพันธ์กับคนผู้นั้น ถึงขนาดที่จวบจนวันนี้ก็ยังส่งคนไปคารวะเยี่ยมเยือนทุกปี แม้คนผู้นั้นมีตำแหน่งสูงอำนาจมากในต้ายง ท่านพ่อก็มิสมควรทำตัวอัปยศเช่นนี้สิ
ความไม่พอใจอันแรงกล้าสั่งสมอยู่ในหัวใจของลู่อวิ๋น จนกระทั่งวันฤกษ์งามเริ่มต้นฤดูวสันต์ของปีนี้ ลู่อวิ๋นติดตามบิดามาร่วมงานฉลองในวัง แต่เขากลับถูกซั่งเหวินหลานชายคนโตของซั่งเหวยจวินพาลูกหลานตระกูลใหญ่สารเลวหลายคนมาล้อมในสวนบุปผา ด่าทอว่าบิดาเขาสมคบกับต้ายงต่อหน้า ลู่อวิ๋นโกรธจัดตีลูกหลานชนชั้นสูงเหล่านี้จนหัวแตกเลือดอาบ คราวนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เมื่อลู่ช่านต่อว่าถามไถ่เรื่องราว เขากลับเงียบงันมิพูดจา จึงถูกลู่ช่านใช้กฎตระกูลลงโทษ ต้องนอนอยู่บนเตียงรักษาตัวอยู่ครึ่งเดือน จากนั้นก็ถูกสั่งกักบริเวณให้ทบทวนความผิด
ทว่าลู่อวิ๋นเกิดมาก็ใจกล้าห้าวหาญ จึงคิดขึ้นมาว่าหากตนเองเดินทางไปลอบสังหารเจียงเจ๋อเสีย ถ้าเช่นนั้นย่อมมิมีผู้ใดตำหนิบิดาได้อีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงอาศัยจังหวะที่บิดาไปลาดตระเวนดูการป้องกันที่ฉางเจียงหนีออกจากบ้าน เขาอายุน้อย อีกทั้งยามปกติก็ถูกลู่ช่านคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นจึงมีคนรู้จักเขามิมาก จนเขาปะปนผ่านด่านทั้งหลายเดินทางขึ้นเหนือมาถึงฉางอันสำเร็จ
เขามองนครฉางอันที่ตั้งอยู่ไกลๆ ในใจทั้งตื่นเต้นทั้งสับสน ทำเช่นไรจึงจะลอบสังหารคนทรยศหักหลังแว่นแคว้นที่มีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนาผู้นั้นเพื่อล้างมลทินให้บิดาของตนได้เล่า แล้วก็จะให้ผู้อื่นรู้ตัวตนของตนเองมิได้เป็นอันขาด ต่อให้โง่เขลาอีกเพียงใด เขาก็ทราบว่าการลอบสังหารพระราชบุตรเขยแห่งต้ายง ขุนนางคนโปรดของจักรพรรดิต้ายงผู้มีตำแหน่งใหญ่โตย่อมก่อให้เกิดคลื่นลมอย่างไร เขามิต้องการลากท่านพ่อให้เคราะห์ร้ายไปด้วย หรือจะเลียนแบบเนี่ยเจิ้งในสมัยโบราณ ลอบสังหารสำเร็จแล้วก็ทำลายโฉมหน้าของตนเองจนสิ้น ให้คนที่ชื่อลู่อวิ๋นผู้นี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลู่อวิ๋นกำสองหมัดแน่น ชักอาชาติดตามขบวนพ่อค้ามุ่งหน้าไปยังฉางอัน
เพิ่งข้ามสะพานป้าเฉียว ลู่อวิ๋นผู้ในหัวเต็มไปด้วยแผนการสังหารก็ลุ่มหลงกับทิวทัศน์วสันต์อันงดงาม ทันใดนั้นเอง ด้านหลังก็มีเสียงกีบเท้าอาชาอันรีบร้อนดังขึ้น ลู่อวิ๋นเคยดูบิดาฝึกทหารม้ามาก่อน ได้ยินแวบแรกเขาก็ทราบว่าเป็นเสียงกองทหารม้าที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีกำลังห้ออาชา ยิ่งไปกว่านั้นจากเสียงกีบเท้าอาชาที่เป็นระเบียบและทรงพลังก็รู้ทันทีว่านี่จะต้องเป็นต้องกองทหารม้าที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งกองหนึ่ง ทหารม้าที่ฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดใต้บัญชาของท่านพ่อก็เป็นเช่นนี้
เขาอดใจมิไหวหันกลับไปมอง จึงเห็นทหารม้าที่สวมอาภรณ์และเสื้อเกราะหลากหลายรูปแบบกองหนึ่งกำลังห้ออาชาทะยานมาจากไกลๆ ลู่อวิ๋นอดสูดลมหายใจมิได้ ทหารม้ากองนี้ดุดันทรงพลังประหนึ่งหมาป่าประหนึ่งพยัคฆ์ แม้เสื้อเกราะของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นชุดเกราะเหล็กกล้าชั้นดี เพียงเห็นท่วงท่าของพวกเขาก็ทราบแล้วว่าเป็นทหารม้าที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมานับร้อยนับพันหน
ลู่อวิ๋นเพ่งสายตามองจนเห็นผู้ที่อยู่ด้านหน้าของทหารม้ากองนี้ชูธงผืนหนึ่งสะบัดพลิ้วตามสายลม ผืนธงดั่งเปลวเพลิงมีตัวอักษรเด่นชัดอยู่ตัวหนึ่งเป็นคำว่า ‘หลิน’
[1]เจี่ยเซิน ปีลิง ปีที่ 21 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า