ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 2 วัยเยาว์มิรู้จักกลัดกลุ้ม (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ลู่อวิ๋นกับขบวนพ่อค้าถอยหลบมาข้างทาง แทบจะในเวลาพริบตาเดียว ทหารม้ากองนี้ก็ห้อตะบึงผ่านข้างกายไป ลู่อวิ๋นเห็นชายหญิงอายุน้อยคู่หนึ่งที่ถูกกลุ่มคนห้อมล้อมอยู่ตรงกลางอย่างชัดเจน

บุรุษสวมอาภรณ์สบายๆ สีเขียว อายุราวยี่สิบแปดหรือยี่สิบเก้าปี หน้าตาหล่อเหลา บนใบหน้ามีริ้วรอยจากการผ่านความยากลำบากเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับแฝงความสุขุมสง่างาม ส่วนหญิงสาวผู้นั้นอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี สวมชุดจอมยุทธ์สีแดงเพลิงห่มผ้าคลุมผืนใหญ่ บนหลังสะพายคันธนูยาวกับถุงลูกศรขนนกสีขาว นางงดงามผุดผาดดุจบุปผา แผ่อำนาจดั่งเปลวเพลิง ในความงดงามเฉิดฉินแฝงความองอาจห้าวหาญ

ระหว่างที่ทั้งสองฝั่งเฉียดผ่านกันไปนั่นเอง ชายหนุ่มผู้นั้นก็คล้ายจะกวาดสายตามาอย่างไม่ตั้งใจ มาตกต้องบนร่างของลู่อวิ๋น เขาคล้ายชะงักไปเล็กน้อย ในใจลู่อวิ๋นสะท้านเฮือก แววตาของบุรุษผู้นั้นมีความน่าเกรงขามที่มิอาจพรรณนาซ่อนอยู่ในความอ่อนโยน รอบตัวมีไอสังหารที่ปิดบังซ่อนเร้นอยู่ นี่เป็นลักษณะที่แม่ทัพผู้โดดเด่นเท่านั้นจึงจะมี

หญิงสาวนางนั้นคล้ายจะจับสังเกตได้ว่าบุรุษผู้นั้นเสียสมาธิ นางจึงเหลือบตามองตามมาบ้าง ลู่อวิ๋นสะท้านเฮือกซ้ำอีกหน อำนาจบนร่างของสตรีนางนี้ข่มขวัญคนยิ่งกว่า นั่นเป็นความน่าเกรงขามของแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาพันทหารหมื่นอาชา

เพียงชั่วพริบตา ทหารม้ากองนั้นก็จากไปไกล ทว่าพวกเขากลับทิ้งความตื่นตะลึงลึกล้ำไว้ให้ลู่อวิ๋น แม่ทัพของต้ายงล้วนยอดเยี่ยมเช่นนี้กันหมดเลยหรือ มิน่าเล่าท่านพ่อจึงกลัดกลุ้มมิคลายเพราะเรื่องนี้

เวลานี้เอง หูก็ได้ยินเสียงพูดคุยของสหายร่วมเดินทางลอยมา

“ที่แท้ท่านหญิงหงสยาก็มาถึงฉางอันแล้ว คงจะมาร่วมถวายพระพรวันพระราชสมภพแน่ ไท่ซั่งหวงสวรรคตไปหลายปีแล้ว หนนี้ฝ่าบาทพระชนม์มายุครบสี่สิบห้าพรรษา ข่าวที่มาจากฉางอันบอกว่าจะมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ไม่แปลกที่ไต้โจวจะส่งทูตมาถวายพระพร”

ลู่อวิ๋นคิดในใจว่าท่านหญิงหงสยาผู้นี้คือผู้ใด ทว่าชั่วขณะนั้นนึกไม่ออก อดใจมิไหวจึงถามซ่งเจี่ยนว่า “ลุงซ่ง ท่านหญิงหงสยาผู้นี้คือผู้ใดหรือ เหตุไฉนดูแล้วจึงองอาจน่าเกรงขามเช่นนี้”

ซ่งเจี่ยนหัวเราะ “เสี่ยวลู่ เจ้ายังไม่เคยมาต้ายงคงมิรู้ ราชสำนักต้ายงแตกต่างจากหนานฉู่ของพวกเรา สตรีก็ยกทัพออกศึกสังหารศัตรูได้ ผู้ที่ผ่านไปเมื่อครู่คนนั้นก็คือหลินถง แม่ทัพแห่งไต้โจว แต่เดิมนางคือท่านหญิงหงสยาแห่งเป่ยฮั่น หลังจากไต้โจวยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง จักรพรรดิต้ายงให้เกียรติตระกูลหลินยิ่งนัก ยังรักษาตำแหน่งท่านหญิงของนางเอาไว้

ท่านหญิงผู้นี้มิธรรมดา ปีนั้นนางนำกองทัพไต้โจวยืนหยัดพิทักษ์ด่านเยี่ยนเหมิน สู้รบจนสุดท้ายเหลือกองทหารเพียงหยิบมือ แม้นตายก็มิถอย หลังจากแม่ทัพเฒ่าหลินสิ้นใจบนสมรภูมิ นางก็ทำตามคำสั่งเสียของบิดาสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ยามนี้แม้เจ้าตระกูลหลินจะเป็นไต้จวิ้นโหวหลินเฉิงอี๋ แต่ทหารและประชาชนไต้โจวล้วนฟังแต่คำสั่งของท่านหญิงหงสยาเพียงผู้เดียว

ผู้ที่อยู่ข้างกายนางคนนั้นคิดว่าคงเป็นแม่ทัพหวังจี้ บุตรเขยของจวิ้นโหว แม่ทัพหวังแต่เดิมเป็นคนหนานฉู่ของพวกเรา เขาเป็นลูกน้องของฉู่จวิ้นโหว ติดตามเจียงโหวมายังต้ายง ก่อนจะตกหลุมรักท่านหญิงหงสยาผู้นี้ตั้งแต่แรกพบตอนอยู่ตงไห่ น่าเสียดายต่างคนต่างทำเพื่อนายของตน คู่ยวนยางจึงปีกหัก

ต่อมาต้ายงกับเป่ยฮั่นทำศึกกัน พวกคนเถื่อนฉวยโอกาสรุกรานด่านเยี่ยนเหมิน แม่ทัพหวังผู้นี้ทราบว่าคนในดวงใจกำลังทำศึกแลกชีวิตอยู่ที่ด่านเยี่ยนเหมิน จึงละทิ้งทุกสิ่งมุ่งไปยังไต้โจวร่วมเป็นร่วมตายกับท่านหญิง ก่อนหน้าศึกตัดสิน ท่านโหวเฒ่าหลินจัดงานมงคลให้พวกเขาต่อหน้ากองทัพ เดิมทีแม่ทัพหวังเตรียมใจจะสู้จนตัวตายพร้อมกับท่านหญิงหงสยาแล้ว แต่โชคดีฝ่าบาทของต้ายงน้ำพระทัยกว้างขวาง ส่งกองหนุนมาช่วยเหลือทันกาล มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาคงตายอยู่ที่ด่านเยี่ยนเหมินแล้ว”

ลู่อวิ๋นฟังจนเพลิน เอ่ยขึ้นว่า “มิน่าจึงมีอำนาจเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพคนดังผู้ต้านพวกคนเถื่อน ข้าได้ยินว่าหลายปีที่ผ่านมาต้ายงส่งกองทัพออกไปสู้รบเข่นฆ่าพวกคนเถื่อนบนทุ่งหญ้าทุกปี ท่านหญิงหงสยากับแม่ทัพหวังจี้คงเป็นผู้รับหน้าที่ ไม่แปลกที่บนตัวพวกเขาจะมีความน่าเกรงขามและไอสังหารหนักหน่วงเช่นนี้”

ซ่งเจี่ยนพยักหน้า “จะว่าไปแล้วแม่ทัพหญิงของต้ายงก็มิน้อย ยังมิต้องพูดถึงคนอื่น องค์หญิงจยาผิง พี่สาวคนโตของท่านหญิงหงสยาคนนี้ นางเป็นถึงวีรสตรีในหมู่สตรีผู้มีชื่อเสียงเทียบเคียงองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ คนหนึ่งบุ๋น คนหนึ่งบู๊ ล้วนแต่เป็นบุคคลผู้ใช้มือข้างเดียวสั่นคลอนราชสำนักได้

ยามนั้นองค์หญิงจยาผิงร่วมมมือกับแม่ทัพหลงทำศึกกับต้ายง ตีแม่ทัพชั้นยอดผู้กรำศึกของต้ายงมิรู้กี่คนจนแตกกระเจิง เวลานั้นมีกองทัพใหญ่สี่แสนของต้ายงโอบล้อมอยู่ องค์หญิงผู้นี้ก็ยังฝ่าวงล้อมแน่นหนาออกมาได้ คนต้ายงล้วนพูดกันว่าที่ยามนั้นฝ่าบาทตัดสินใจกล่อมให้ตระกูลหลินสวามิภักดิ์ ให้เกียรติเชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่นเช่นนี้ มากกว่าครึ่งเป็นเพราะเห็นแก่หน้าองค์หญิงผู้นี้

เจ้ารู้หรือไม่ ได้ยินว่าก่อนแม่ทัพใหญ่หลงจะปลิดชีพตนเอง เขาเคยฝากฝังเรื่องราวภายหลังไว้กับฉีอ๋อง ต่อมาเรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่ว ฝ่ายฉีอ๋องมีใจให้องค์หญิงจยาผิงเช่นกัน ทว่าองค์หญิงผู้นี้มิยอมตกลงปลงใจ ฉีอ๋องต้องลำบากลำบนขอความรักอยู่สองสามปี ในที่สุดองค์หญิงจึงหวั่นไหว พยักหน้าตกลงยอมแต่งงงาน

สามปีก่อนองค์หญิงจยาผิงกับฉีอ๋องจัดงานมงคล จักรพรรดิต้ายงพระราชทานสมรส ไท่ซั่งหวงกับหย่งติ้งจวิ้นอ๋อง หรือก็คืออดีตเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นเป็นประธานงานมงคลด้วยตนเอง นั่นเป็นงานใหญ่ที่ครึกโครมตั้งแต่เหนือจดใต้ฉางเจียงเชียว

เชื้อพระวงศ์ต้ายงและขุนนางคนสำคัญทั้งหมดในราชสำนักล้วนมาเข้าร่วมยังไม่พอ ขุนนางคนสำคัญและแม่ทัพมากมายของอดีตแคว้นเป่ยฮั่นก็เดินทางมาร่วมงานฉลองมงคลด้วย ชาวเป่ยฮั่นนิสัยห้าวหาญ หลังจากเป่ยฮั่นสิ้นแคว้นในตอนแรก คนเหล่านี้ไม่ถอดเกราะกลับบ้านเกิดก็ทิ้งตำแหน่งขุนนางปลีกวิเวก มิยอมคุกเข่าทำงานให้ศัตรู ทว่าหลังจากงานฉลองมงคลหนนั้น คนเหล่านี้ก็ทยอยกลับมาเข้ากรมกองใหม่อีกหน”

ลู่อวิ๋นสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เรื่องเหล่านี้เขาเองก็ทราบ ตอนนั้นหลังจากท่านพ่อทราบเรื่องนี้ก็ถอนหายใจยาว วันนั้นเขายังมิเข้าใจ แต่วันนี้เมื่อได้ยินซ่งเจี่ยนเล่าเช่นนี้จึงเข้าใจแล้ว งานมงคลของฉีอ๋องกับองค์หญิงจยาผิงเป็นสัญลักษณ์ว่าเบื้องบนของต้ายงกับเป่ยฮั่นหลอมรวมกันแล้ว ต้ายงรุ่งโรจน์ย่อมเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของหนานฉู่

มิน่าท่านพ่อจึงกังวลมิวาย ยิ่งไปกว่านั้น แต่เดิมฉีอ๋องก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของท่านพ่ออยู่แล้ว เมื่อมีองค์หญิงจยาผิงผู้นี้เพิ่มเข้ามาอีก ท่านพ่อย่อมต้องยิ่งเปลืองแรง แล้วยังมีแม่ทัพเผยเผยอวิ๋นผู้ที่เผชิญหน้าคนละฝั่งแม่น้ำกับท่านพ่อมาหลายปีผู้นั้นอีก ลู่อวิ๋นไม่สงสัยความสามารถขององค์หญิงจยาผิงแม้แต่น้อย มิต้องพูดถึงข่าวลือนานาประการเหล่านั้น เพียงเห็นท่านหญิงหงสยาน้องสาวคนเล็กของนางองอาจห้าวหาญปานนี้ก็ทราบแล้วว่าองค์หญิงจยาผิงย่อมต้องโดดเด่นยิ่งกว่า

เวลานี้ซ่งเจี่ยนก็เอ่ยต่อว่า “อวิ๋นลู่ หากไปถึงฉางอันแล้ว เจ้าอาจจะได้พบบุคคลผู้เป็นตำนานอีกคนหนึ่ง นางก็คือเติ้งโหวซูชิง แม่ทัพซูผู้นี้แต่เดิมเป็นคนเป่ยฮั่น แต่นางหันมาเข้ากับต้ายงเพื่อชำระแค้นให้ตระกูล นางเป็นสายลับในเป่ยฮั่นอยู่หลายปี ได้ยินว่าสร้างความชอบอันน่าตกตะลึงมานับไม่ถ้วน แต่ต่อมาตัวตนของนางถูกเปิดเผย ปรากฏว่านางกลับกลายเป็นทายาทของกบฏสำนักเฟิงอี้ ได้ยินว่าอาจารย์ของนางเคยไล่ล่าสังหารจักรพรรดิต้ายงหลายร้อยลี้จนเกือบจะทำสำเร็จ

หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกมา คนมากมายล้วนกล่าวว่าต่อให้จักรพรรดิต้ายงใจกว้างอีกเท่าใด แม่ทัพซูผู้นี้ก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่งเป็นสามัญชน ผู้ใดจะรู้ว่าโอรสสวรรค์ช่างน้ำพระทัยกว้างดั่งมหาสมุทรอย่างแท้จริง จักรพรรดิต้ายงไม่เพียงมิถือโทษ แต่ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวให้แก่นาง ยามนี้แม่ทัพซูผู้นี้เป็นรองแม่ทัพแห่งกองราชองครักษ์หู่จี รับผิดชอบงานองครักษ์ในวังหลวง ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทกับฮองเฮา

เจ้าดูสิ สตรีเป่ยฮั่นนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ สามคนนี้คนไหนก็ล้วนพลิกฟ้าคว่ำดินได้ แต่กลับมาสวามิภักดิ์ต่อต้ายง เมื่อดูเช่นนี้แล้วขุนนางกับแม่ทัพของต้ายงก็ยิ่งสุดยอด หากมิใช่ว่าหนานฉู่ของพวกเรายังมีแม่ทัพลู่อยู่ น่ากลัวว่ากองทัพต้ายงคงข้ามฉางเจียงลงใต้ไปนานแล้ว”

ลู่อวิ๋นฟังมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ภาระบนบ่าของบิดาหนักหนาปานใด เขาเข้าใจมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนลอบสาดโคลนตำหนิบิดาอีก ตนจักต้องสังหารเจียงเจ๋อผู้ทำให้บิดาถูกหยามหมิ่นผู้นั้นให้จงได้ มิว่าเขาจะตำแหน่งสูงส่งมีอำนาจปานใดก็ตาม

ในตอนที่ลู่อวิ๋นลอบสาบานกับตนเอง หูก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าเร็วรี่ดังขึ้นอีกหน นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะใสกังวานปานกระดิ่งเงินลอยตามลมมาด้วย ลู่อวิ๋นห้ามใจมิได้ หันไปมองตามเสียงหัวเราะ จึงได้เห็นอาชากำยำเจ็ดตัวควบทะยานมาจากทางแยกอีกเส้นหนึ่ง ยามลู่อวิ๋นมองเห็นผู้ที่ขี่อยู่บนหลังอาชาด้านหน้า เขาก็หักห้ามความต้องการจะขยี้ตาแล้วเบิกตาโตพิจมองอย่างละเอียด

อาชากำยำเจ็ดตัวนี้ล้วนเป็นอาชาชั้นเลิศจากหนึ่งในพัน ผู้ที่ขี่อาชาสามตัวหน้าเป็นเด็กหนุ่มกับเด็กน้อยอายุสิบกว่าปี ส่วนผู้ที่ขี่อาชาสี่ตัวด้านหลังเป็นนักรบที่คอยคุมกัน เห็นชัดว่าพวกเขาเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ในฉางอันที่กลับมาจากการเที่ยวชมวสันต์

ผู้ที่ขี่อาชาสีขาวตรงกลางเป็นเด็กหนุ่มหน้าตางามพริ้มเพราอย่างยิ่งคนหนึ่ง คิ้วดั่งกิ่งหลิว ดวงตาทรงเมล็ดซิ่ง ผิวผ่องดุจหิมะ สวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อน ท่าทางร่าเริงสดใส เสียงหัวเราะที่ลู่อวิ๋นได้ยินก็ดังออกมาจากเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองผู้นี้

ผู้ที่อยู่บนหลังอาชาฝั่งซ้ายของเด็กหนุ่มคือเด็กหนุ่มหล่อเหลาอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง แม้จะสวมอาภรณ์สำหรับขี่ม้า ทว่ากลับสุขุมสง่างาม ยามควบอาชาวิ่งทะยานมิมีท่วงท่ายโสโอหังสักนิด เด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำอีกฝั่งหนึ่งของเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองคนนั้นกลับต่างออกไปอย่างมาก แม้ดูไปแล้วอายุเพียงสิบกว่าปี ทว่าใบหน้ากลับเย็นชาดั่งน้ำแข็ง เคร่งขรึมจริงจัง สีหน้าแฝงไอสังหารเลือนราง ทำให้ผู้พบเห็นอกสั่นขวัญผวา

สายตาของลู่อวิ๋นจับจ้องบนร่างเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองคนนั้น มิว่าอย่างไรก็มิอาจรั้งสายตากลับมาได้ เด็กหนุ่มผู้นี้เจิดจ้าสะกดตาประหนึ่งแสงตะวันอันงดงามที่สุดของวสันต์ฤดู เสียงหัวเราะของเขาช่างสุขสันต์ ไม่รู้สึกถึงความกลัดกลุ้มทุกข์ใจแม้แต่น้อย เพียงได้เห็นเขาก็พลันรู้สึกว่าโลกช่างกว้างใหญ่ไพศาล ชีวิตช่างงดงาม

ความร่าเริงสดใสเช่นนั้นทำให้ลู่อวิ๋นเกิดความริษยาอยู่จางๆ อย่างอดมิได้ ตนเองเดินทางมาพร้อมความแค้นสุมอก แปดเก้าในสิบส่วนอาจต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ ทว่าใต้ท้องนภาผืนเดียวกันนี้กลับมีเด็กหนุ่มอายุใกล้เคียงกับตนคนหนึ่งกำลังสุขสันต์สำราญใจถึงเพียงนี้