หลังจากองค์หญิงสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ติดตามหย่งต้งจวิ้นอ๋องเดินทางสู่ตะวันตกมายังฉางอัน เริ่มแรกจวิ้นอ๋องมักหวั่นกลัวราชสำนักสั่งลงโทษ ทุกครั้งองค์หญิงล้วนคอยอยู่รับใช้ข้างกายมิหนีห่าง จวิ๋นอ๋องจึงสงบใจได้
ไท่จงต้อนรับองค์หญิงอย่างดี ทุกครั้งยามเชื้อเชิญผู้คนร่วมงานเลี้ยงล้วนต้องเชิญองค์หญิงเสด็จมาด้วย มิว่าเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง ขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญ หากมีผู้ใดหลู่เกียรติล้วนถูกลงโทษ ทว่าองค์หญิงองอาจสง่างาม ผู้ที่ได้พานพบมิมีผู้ใดมิเคารพ มิมีผู้ใดกล้าดูแคลน
ยามนั้นฉีอ๋องปล่อยมือจากอำนาจทหาร กลับเมืองหลวงมาเป็นที่ปรึกษาเรื่องกองทัพ เขาชื่นชมความภักดีและความห้าวหาญขององค์หญิงจึงลอบแสดงความประสงค์กับหย่งติ้งจวิ้นอ๋องอย่างจริงใจ ต้องการสู่ขอองค์หญิงเป็นคู่ครอง จวิ้นอ๋องหวาดกลัวอำนาจของเขาจึงแสดงออกว่ายินยอมให้องค์หญิงแต่งงาน องค์หญิงพิโรธ ถือกระบี่บุกจวนฉีอ๋อง ท่านอ๋องคุกเข่าขออภัย บอกเล่าคำสั่งเสียของแม่ทัพหลง องค์หญิงจึงคลายโทสะ ทิ้งเขาไว้แล้วเดินออกไป
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติองค์หญิงจยาผิง
ขณะที่ลู่อวิ๋นเหม่อมองลักยิ้มของเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองคนนั้น อาชากำยำสามตัวนั้นก็วิ่งผ่านด้านข้างไป จังหวะนั้นเอง เด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนนั้นก็พลันร้อง “เอ๋” ออกมาคำหนึ่ง แล้วกระตุกบังเหียนหยุดอาชาอย่างกะทันหัน
อาชาสีดำตัวนั้นยกขาหน้าเชิดหัวส่งเสียงร้อง จากนั้นก็หยุดวิ่งในทันใด เห็นได้ว่าเป็นอาชาชั้นยอด อีกทั้งทักษะการขี่อาชาของเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนนี้ก็ยอดเยี่ยม เด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านข้างพุ่งเลยไปสองสามจั้งก็หยุดพาหนะ เห็นได้ว่าวิชาขี่ม้ามิด้อยกว่ากันมากเท่าใด ส่วนองครักษ์สี่คนที่ตามติดอยู่ด้านหลังรั้งอาชาหยุดอย่างเงียบเชียบแทบไร้เสียง คนเหล่านั้นล้วนวางมือลงบนด้ามดาบ ปกป้องเด็กหนุ่มสามคนตรงหน้าอยู่รางๆ
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้นั้นนั่งอยู่สูงบนหลังม้า ใช้แส้ม้าชี้มายังลู่อวิ๋นแล้วถามว่า “เจ้าเป็นผู้ใด มาจากที่ใด มายังฉางอันเพื่อทำสิ่งใด”
ลู่อวิ๋นใจสะท้าน มิทราบว่าตนเองเผยพิรุธอันใดออกมาหรือไม่ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกพยัคฆ์แห่งตระกูลแม่ทัพ ความกล้าหาญมิใช่ธรรมดา จึงตอบอย่างไม่หวั่นกลัว “ผู้น้อยแซ่อวิ๋น นามว่าอวิ๋นลู่ เป็นคนหนานฉู่ หนนี้ติดตามขบวนพ่อค้าเดินทางมายังฉางอันเพื่อตามหาญาติ”
เวลานี้เอง เด็กหนุ่มอีกสองคนก็บังคับอาชาให้เดินเข้ามา ลู่อวิ๋นฉวยโอกาสมองสำรวจทั้งสามคนอย่างละเอียด เมื่อครู่ทั้งสามคนควบอาชาห้อตะบึงอยู่ อีกทั้งระยะห่างค่อนข้างไกล เขาจึงมิทันเห็นรายละเอียด ยามนี้เมื่ออยู่ห่างเพียงหนึ่งจั้งกว่า ลู่อวิ๋นจึงเห็นหน้าตาและรูปร่างของทั้งสามคนชัดเจน
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองผู้นั้นร่างกายยังไม่เติบใหญ่เต็มที่ ดวงหน้างามละมุน ผิวผ่องดุจหิมะ รูปโฉมปานบุปผา เมื่อพิจดูแล้วน่าจะอายุเพียงสิบเอ็ดถึงสิบสองปี นี่เป็นสิ่งที่ลู่อวิ๋นคาดเดาจากทักษะวิชาขี่ม้าของเขา หากเด็กน้อยอายุยังมิเต็มสิบขวบคนหนึ่งมีทักษะการขี่ม้าเช่นนี้ก็ออกจะน่าตกตะลึงไปสักหน่อย
เพราะผิวของเด็กหนุ่มผู้นี้นวลเนียนดุจไขเทียน รูปโฉมงามพริ้มเพราชวนให้คนหวั่นไหว หากบอกว่าเขาอายุเพียงเก้าหรือสิบขวบก็คงมีคนเชื่อ เวลานี้เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองผู้นี้กำลังเล่นแส้ม้าอันงดงามสีเขียวอ่อนในมือ ประเดี๋ยวมองลู่อวิ๋น ประเดี๋ยวก็มองเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนนั้น ดวงตาสุกใสสีดำขลับคู่นั้นมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม
เบื้องหน้าของตนคือเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้กำลังใช้สายตาสงสัยจับจ้องมาที่ตนเอง แม้ท่าทางดุดัน วาจาถือดี วางท่าดุจนายท่าน แต่ลู่อวิ๋นพิจารณาแล้วหน้าตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างอ่อนเยาว์ น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองผู้นั้น อย่างน้อยก็ไม่โตกว่าตน เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาดุร้ายถมึงทึงยิ่งนัก จึงทำให้เขาดูเหมือนผ่านวันเวลามามาก ผนวกกับรูปร่างของเขาค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงแลดูอายุมากอยู่บ้าง
เด็กหนุ่มผู้สวมชุดขี่ม้านั่งอยู่บนอาชาด้านหลังคนนั้นกลับเป็นคนที่ทำให้ลู่อวิ๋นระแวงที่สุด เด็กหนุ่มผู้นั้นดูไปแล้วอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี หน้าตาดูธรรมดา ทว่าท่วงท่ากิริยาสุขุมอ่อนโยน แม้อาชากำยำที่ควบขี่จะเป็นอาชาราคาแพง ทว่าอาภรณ์บนร่างกับแส้ม้าในมือกลับล้วนเป็นของธรรมดา มิว่าจะมองอย่างไร เด็กหนุ่มผู้นี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เขากลับขี่อาชาเคียงมากับเด็กหนุ่มที่มองปราดแรกก็ทราบว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดาสองคนนี้ อีกทั้งยังมีท่าทางสบายๆ ไม่มีความขลาดกลัวกังวลสักนิด ลู่อวิ๋นจำได้ว่าบิดาเคยเตือนตนไว้ คนเช่นนี้อันตรายที่สุด จักต้องระวัง
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนนั้นคล้ายจะไม่สนใจคำตอบของลู่อวิ๋น เขาชะงักครู่หนึ่งก็ใช้แส้ม้าชี้คันธนูบนหลังของลู่อวิ๋นแล้วกล่าวว่า “ศรแกนเหล็กเล่มนี้ของเจ้าเป็นของชั้นเยี่ยม น่าจะหนักถึงสามต้าน หากใช้ศรหนักเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นบุรุษร่างใหญ่สูงแปดฉื่อสักคนก็เข้าร่วมกองทัพได้แล้ว เจ้าใช้ศรเล่มนี้ได้จริงหรือ”
ลู่อวิ๋นโล่งใจ ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ถูกคันศรของตนดึงความสนใจมา เขาตอบเสียงเคร่งขรึม “ผู้น้อยฝึกฝนวิชายุทธ์ตั้งแต่เล็ก พละกำลังพอไปวัดไปวา พอใช้คันศรเหล็กเล่มนี้ได้ เดิมทีผู้น้อยค่อนข้างทะนงในตัวเองพอสมควร ทว่าตลอดทางที่ผู้น้อยเดินทางผ่านมา เห็นทุกหนทุกแห่งของต้ายงล้วนมีชายหนุ่มผู้กล้ามากมายฝึกปรือการยิงธนูอยู่บนลานฝึกยุทธ์ ผู้คนมากมายล้วนใช้ศรหนักเช่นนี้ได้ จึงเพิ่งตระหนักว่าผู้น้อยเป็นคนรู้น้อย เห็นสิ่งใดก็แปลกใจไปเสียหมด”
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้นั้นฟังออกว่าในวาจาของลู่อวิ๋นแฝงการเหน็บแนม อีกฝ่ายกำลังสื่อว่าตนเองมิจำเป็นต้องแปลกใจกับเรื่องเล็กน้อย เขาคิดในใจว่าในเมื่อเด็กหนุ่มจากหนานฉู่ผู้นี้กล้าพกคันศรหนักสามต้านไว้ป้องกันตัว เขาก็คงมั่นใจในพละกำลังและวิชายิงธนูของตนอย่างยิ่ง แม้คนหนุ่มของต้ายงล้วนชอบการฝึกยุทธ์อยู่ในสันดาน แต่ผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยเท่านี้ ใช้ศรหนักสามต้านในลานฝึกยังพอทำได้ แต่หากต้องใช้มาต่อสู้ป้องกันตัวจริงๆ ปกติแล้วจะใช้เพียงคันศรหนักสองต้านเท่านั้น
ในแง่คุณสมบัติของร่างกายแต่กำเนิด แต่เดิมเด็กหนุ่มหนานฉู่ก็แข็งแกร่งสู้คนเหนือมิได้อยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับใช้ศรหนักสามต้านได้อย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ เห็นชัดว่าตัวตนจะต้องมิธรรมดาเป็นแน่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าดูแล้วตัวตนของเจ้าคงจะไม่ธรรมดา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสายลับของหนานฉู่ เจ้าจงตามข้ากลับจวนไปรับการสอบสวน หากเจ้าบริสุทธิ์จริง ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่หากตัวตนของเจ้ามีปัญหา อย่าถือโทษที่ข้าต้องจัดการเจ้า”
ในใจลู่อวิ๋นตกตะลึง แต่เขาเป็นคนหยิ่งทะนงคนหนึ่งจึงโต้อย่างเย็นชา “คุณชายท่านนี้ออกจะไร้เหตุผลแล้ว แม้ผู้น้อยจะเกิดเป็นสามัญชน มิเข้าใจกฎหมายอันใด แต่คุณชายอายุยังน้อยคงมิได้เป็นขุนนาง อาศัยอันใดมาคุมตัวผู้น้อย อีกประการหนึ่ง ผู้น้อยความเป็นมาชัดเจนกระจ่าง คุณชายกลับกล่าวหาส่งเดช ต้ายยงปฏิบัติต่อคนแคว้นอื่นเช่นนี้หรือไร”
คิ้วกระบี่ของเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้นั้นตั้งขึ้นทันควัน สวนว่า “เจ้าใช้วาทะเก่งไม่เลว แต่น่าเสียดายต่อกรกับคู่ต่อสู้ผิดคนแล้ว ข้าคือจยาจวิ้นอ๋อง หลี่หลิน เหตุใดจะสอบสวนเจ้ามิได้ เจ้าจะตามข้าไปด้วยตนเอง หรือจะให้ข้าสั่งคนจับกุมเจ้ากลับจวนอ๋อง หากเจ้ากล้าขัดคำสั่งหลบหนี ข้าจะออกคำสั่งให้กองทหารราชองครักษ์ออกประกาศจับเจ้า ถึงยามนั้นย่อมมิเกรงใจเจ้าเช่นนี้แล้ว”
ลู่อวิ๋นโกรธจัด กำหมัดสองข้างแน่นอย่างห้ามตนเองมิอยู่ มิว่าตัวตนของตนจะเป็นผู้ใด แต่เด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนนี้จะพาตนกลับจวนโดยไม่มีหลักฐานแม้สักนิด นี่ไฉนมิใช่ใช้อำนาจข่มเหงคน ทว่าพอความคิดทำงาน เขาก็นึกถึงฐานะที่เด็กหนุ่มผู้นี้เอ่ยออกมาได้ เขาเป็นถึงจวิ้นอ๋องคนหนึ่ง แม้มิเข้าใจว่าที่แท้เขามีฐานะใดกันแน่ แต่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์อย่างมิต้องสงสัย ฟังจากถ้อยคำยามเขากล่าวถึงตน แม้จะสงสัยแต่ก็ยังมิแน่ใจ หากตนได้รับความไว้ใจจากเขา บางทีอาจมีโอกาสเข้าใกล้ฉู่จวิ้นโหวเจียงเจ๋อก็เป็นได้
เวลานี้เอง เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองผู้นั้นเห็นเขาโกรธเคืองทว่ามิกล้าเอ่ยวาจาจึงเกิดใจอ่อน เปิดปากเอ่ยว่า “น้องหลิน ช่างเถิด อายุของเขาก็มากกว่าพวกเรามิเท่าใด จะเป็นสายลับได้เช่นไรเล่า เจ้ามิใช่เห็นว่าผู้อื่นใช้ศรหนักพละกำลังมากจึงนึกถูกใจ อยากบังคับให้เขามาเป็นองครักษ์ข้างกายเจ้าหรือ หากเจ้าทำตามอำเภอใจ ข้าจะไปฟ้องท่านลุงฉีอ๋อง ต่อให้ท่านลุงมิสั่งสอนเจ้า ท่านป้าก็ต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่”
ลู่อวิ๋นฉุกใจคิดบางสิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้นั้นมีริ้วสีแดงอันน่าสงสัยปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็หันหน้าหนี ตอบว่า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่มิตำหนิข้าหรอก ถึงอย่างไรตัวตนของเขาก็น่าสงสัยจริงๆ”
ตอนนี้เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองคนนั้นโกรธจัดแล้ว เขายกมือเท้าสะเอวกล่าวว่า “หลี่หลิน หากเจ้ายังมิเชื่อฟังอีก ข้าจะไปหาพี่จวิ้น บอกให้เขาลงโทษเจ้าให้หนัก หากมิใช่ข้าขอร้องพี่จวิ้นให้ปล่อยเจ้าออกมา ตอนนี้เจ้าก็สมควรเรียนหนังสืออยู่ด้วยกันกับพี่จวิ้นอยู่เลย”
เสียงของเด็กหนุ่มผู้นี้หวานใส แม้จะกำลังเท้าสะเอวต่อว่าอย่างขุ่นเคือง แต่สีหน้าบึ้งตึงนั่นกลับชวนให้คนหวั่นไหว ลู่อวิ๋นรู้สึกว่าหัวใจสั่นกระเพื่อม ตาพร่าตกอยู่ในภวังค์มิอาจละสายตาออกมาได้อีก เวลานี้เอง หลี่หลินผู้ใจฝ่อเล็กน้อยหลังจากฟังคำตำหนิเสียงหวานของเด็กหนุ่มผู้นั้นก็หันมาเห็นสีหน้าหลงใหลของลู่อวิ๋นพอดี เพลิงโทสะกองหนึ่งลุกโชนขึ้นในหัวใจ สะบัดแส้ฟาดลู่อวิ๋นอย่างแรงทันที
ลู่อวิ๋นจิตใจปั่นป่วนมิได้ระวังอย่างสิ้นเชิง แส้นั่นจึงหวดเข้าใส่หัวไหล่ของเขาอย่างแรง เพียงพริบตาอาภรณ์ขาดโลหิตกระเซ็น ลู่อวิ๋นร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วเอื้อมมือไปกุมคันธนู ดวงตาจับจ้องเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำด้วยความโมโห
ทันใดนั้นเอง องครักษ์หลายคนนั้นก็ชักอาชาก้าวเข้ามาพร้อมกัน จ้องมองลู่อวิ๋นอย่างดุดัน ในใจลู่อวิ๋นหวาดหวั่นจึงฝืนกดเพลิงโทสะแล้วเอ่ยว่า “มิว่าท่านจะเป็นชินอ๋องหรือจวิ้นอ๋องก็ข่มเหงผู้อื่นเกินไปหน่อยแล้ว”
หลี่หลินเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของเขาก็มิสบายใจ รู้สึกว่าตนเองทำเกินไปอยู่เล็กน้อย สหายของตนรูปโฉมงามเป็นเลิศ เด็กหนุ่มหนานฉู่ผู้นี้ก็เพียงมองมากไปหน่อยก็เท่านั้น ตนเองไยต้องโกรธ เมื่อครู่มิรู้ตนเองเป็นอันใด โทสะจึงแล่นเข้าครอบงำหัวใจเสียได้ แต่มิว่าเขาจะรู้สึกผิดเช่นไร ด้วยฐานะและนิสัยของเขาย่อมมิอาจปล่อยให้เขาก้มหัวขออภัยง่ายๆ
ทว่าตอนนี้เอง เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเหลืองผู้นั้นดันเห็นรอยเลือดบนร่างของลู่อวิ๋น จึงร้องด้วยความตกใจ กล่าวขึ้นว่า “หลี่หลิน เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าจะบอกท่านลุงฉีอ๋องให้กักบริเวณเจ้า”
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มผู้นั้นก็กระโดดลงจากพาหนะ เดินมาข้างตัวลู่อวิ๋น ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ แล้วกล่าวกับลู่อวิ๋นว่า “เจ้าอย่าถือสาเลยนะ น้องหลินของข้าก็ขี้โมโหเช่นนี้ เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดหรอก”
กล่าวจบก็ล้วงยารักษาแผลขวดหนึ่งออกมาจากถุงผ้าไหมข้างเอว ตั้งท่าจะทำแผลให้ลู่อวิ๋น