บทที่ 948 ความผิดหวังของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 948 ความผิดหวังของหานเจวี๋ย

“นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าเท่านั้น เป็นไปตามความคิดของเจ้า เจ้าคิดจะปกป้องสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลจึงเลือกสังเวยสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ เขาคิดว่าทำเช่นนี้เหมาะทรงคุณธรรมจริงๆ น่ะหรือ”

เจียงเจวี๋ยซื่อมองเซียนพเนจรพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เมื่อเซียนพเนจรได้ฟังก็หัวเราะดังลั่น ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในโลกนี้

“ในฟ้าบุพกาลมีคุณธรรมด้วยหรือ วาจาที่ข้าเอ่ยไปเมื่อครู่เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ มรรคาสวรรค์เดิมทีก็เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าบุพกาลอยู่แล้ว หากมิใช่เพราะบรรพชนเต๋าสะกดข่มพัฒนาการของมรรคาสวรรค์เอาไว้ มรรคาสวรรค์คงหายไปนานแล้ว”

เซียนพเนจรว่าพลางส่ายหน้า เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “นึกถึงในอดีต บรรพชนเต๋าเกรียงไกรถึงเพียงใดเล่า ประคับประคองเชิดชูมรรคาสวรรค์ขึ้นมา สกัดต้านศัตรูผู้รุกรานจากฟ้าบุพกาลเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง แต่น่าเสียดาย สุดท้ายก็ยังถูกญาติมิตรศิษย์ทรยศ ตอนนี้เขาหายไปแล้ว สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์มีผู้ใดระลึกถึงคุณความดีของเขาบ้างเล่า

“บรรพชนเต๋าเป็นเช่นนี้ อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน”

เจียงเจวี๋ยซื่อเงียบไป

หานฮวงร้องด่า “ต่อให้ดูดซับคุณสมบัติและโชคของพวกเราสองศิษย์พี่น้องไป เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของท่านพ่อข้าอยู่ดี เจ้าจงรอรับความตายเถิด!”

เซียนพเนจรหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็คอยดูเถอะ”

พอสิ้นเสียงเขาก็หายไปในทันใด

ในดินแดนเวิ้งว้างเหลือเพียงเจียงเจวี๋ยซื่อ หานฮวงและหานชิงเอ๋อร์

หานชิงเอ๋อร์ยังไม่ตื่นขึ้นมา

หานฮวงต้องการเคลื่อนไหว แต่พบว่าตนทำได้เพียงบิดร่างกายเท่านั้น อาณาเขตแห่งนี้แปลกประหลาดโดยแท้ ไม่สามารถใช้พลังได้ ส่วนพลังเวทในร่างเขาก็ไม่หลงเหลืออยู่แต่แรกแล้ว

เจียงเจวี๋ยซื่อเองก็เป็นเช่นนี้ เขาขมวดคิ้วแน่น กวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบข้าง

เขาไม่เคยได้ยินเรื่องของสถานที่เช่นนี้เลย ในใจก็วิตกมากเช่นกัน

“เขากล้าไปจากที่นี่ ต้องมั่นใจแน่นอนว่าพวกเราหนีออกไปไม่ได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อถอนหายใจ

หานฮวงคับข้องใจอย่างยิ่ง เพลิงโทสะสุมทรวงยากจะสลายไป

ผ่านไปนานพักใหญ่

หานชิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมา พอทราบเรื่องจากปากศิษย์พี่ทั้งสอง นางกลับสุขุมกว่ามากนัก

“พี่รอง ท่านลืมพลังวิเศษที่ท่านพ่อเคยถ่ายทอดให้พวกเราไปแล้วหรือ เรียกเขามาตอนนี้เลยเถิด!” หานชิงเอ๋อร์กระซิบบอก สีหน้ามีลับลมคมนัย

หานฮวงหน้าหมองลง เอ่ยตอบว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าเรียกตัวเขามา พูดไว้ดิบดีว่าจะพึ่งพาตัวเอง ผลสุดท้าย…อีกอย่างคนเขาก็รอจัดการกับท่านพ่ออยู่ ทำเช่นนี้จะไม่เข้าทางเขาหรอกหรือ”

หานชิงเอ๋อร์กลอกตาพลางเอ่ยว่า “เขาเพิ่งได้คุณสมบัติของท่านกับโชคของศิษย์พี่ไป กว่าจะแข็งแกร่งขึ้นก็ต้องใช้เวลา หากพวกเราไม่แจ้งให้รู้แต่เนิ่นๆ ท่านพ่อไม่ทราบเรื่อง มิใช่จะยื้อเวลาช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้นหรอกหรือ”

หานฮวงเงียบไป

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยเสนอว่า “พวกเจ้าสามารถอัญเชิญมาก่อนแล้วค่อยสลายพลังกลางคันก็ได้ เท่ากับเป็นการแจ้งให้อาจารย์ทราบแล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น จากนั้นก็รอให้อาจารย์เป็นฝ่ายมาเข้าฝันพวกเราแทน บอกเล่าต้นสายปลายเหตุกันก่อน ให้อาจารย์ประเมินตัดสินด้วยตัวเอง”

ดวงตาหานชิงเอ๋อร์ส่องประกายขึ้นมา จากนั้นก็ไม่สนใจหานฮวงอีก เริ่มสำแดงวิชาอัญเชิญเทพ

คลื่นวนสีดำเพิ่งปรากฏขึ้น นางก็หยุดร่ายวิชาทันที

อีกด้านหนึ่ง หานเจวี๋ยค่อนข้างลังเลจริงๆ ถึงอย่างไรดินแดนเวิ้งว้างก็มีโอกาสสูงที่จะมีผู้สร้างมรรคาเร้นกายอยู่

เพียงแต่คลื่นวนสีดำปรากฏขึ้นแวบเดียวก็หายไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายในทันที

น่าจะมิใช่เพราะถูกขัดจังหวะ

หลังจากกลับมาที่อารามเต๋าหานเจวี๋ยคอยเข้าฝันเป็นระยะๆ ทว่าไม่สำเร็จเลย ตอนนี้ลองดูอีกทีก็แล้วกัน

เขาเข้าฝันหานฮวงทันที

ได้ผลจริงๆ!

เข้าฝันได้สำเร็จ!

แดนความฝันคือดินแดนเวิ้งว้าง บอกเป็นนัยต่อหานฮวงว่าหานเจวี๋ยรู้จักสถานที่แห่งนี้

เพียงแต่หานฮวงคิดว่าแดนความฝันเกิดขึ้นตามความคิดของตน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมากนัก

พอมองเห็นหานเจวี๋ย เขาพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ทราบว่าควรจะพูดอะไรดี

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “คนที่จับตัวพวกเจ้าไปคือผู้ใด ทราบนามหรือไม่”

หานฮวงส่ายหน้า “เขาไม่ได้แจ้งนามขอรับ”

“แสดงรูปลักษณ์ของเขาออกมา”

พอหานฮวงได้ยินก็โบกมือในทันใด ในแดนความฝันพลังเวทของเขาฟื้นฟูกลับมา เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงโลกมายา

หานเจวี๋ยจดจำรูปลักษณ์ของเซียนพเนจรไว้

หานฮวงเห็นว่าสีหน้าของหานเจวี๋ยไม่แปรเปลี่ยนเลย ความขุ่นเคืองภายในใจกลายเป็นความคับข้องหมองใจไปในทันที เขาเริ่มฟ้องเรื่องที่ประสบพบเจอมา

คุณสมบัติของเขาคือความภาคภูมิใจสูงสุดของ เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เล็ก เขาไม่เคยจินตนาการถึงเลยว่าหากตนกลายเป็นสวะไร้ความสามารถแล้วจะเป็นเช่นไร

เช่นนั้นคงอยู่มิสู้ตาย!

หลังจากหานเจวี๋ยได้ฟัง ในใจค่อนข้างแปลกใจพอสมควร

ชิงคุณสมบัติส่วนบุคคล ขโมยโชคชะตาได้!

แถมยังครอบครองสุดยอดสมบัติไว้อีก! ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

เลิศล้ำโดยแท้

สมบัติวิเศษไล่จากระดับต่ำไปถึงระดับสูงแบ่งออกเป็น สมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ สมบัติวิญญาณเสรี ยอดสมบัติเสรี สมบัติวิญญาณมหามรรค ยอดสมบัติมหามรรค สมบัติเลิศมรรคา สุดยอดสมบัติ ในบรรดานี้สมบัติระดับมหามรรคเรียกอีกอย่างว่าสมบัติฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยก็มีสุดยอดสมบัติเช่นกัน ซ้ำยังเป็นสุดยอดสมบัติที่แข็งแกร่งยิ่งด้วย

เพียงแต่ในฟ้าบุพกาลมีสุดยอดสมบัติน้อยจนนับนิ้วได้ แม้แต่ดวงจิตบรรพกาลและบรรพชนเทพปฐมกาลก็ไม่เคยมีในการครอบครอง

เป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก!

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “อีกฝ่ายมีตบะระดับใด”

ในใจเขามีความคาดหวังอยู่พอสมควร

ในช่วงเวลาของการฝึกบำเพ็ญอันน่าเบื่อหน่ายมีคู่ต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นมาบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี

จะได้กระตุ้นตัวเอง ทำให้ตนใช้ชีวิตด้วยความตื่นตัว

หานฮวงตอบว่า “ตอนนี้เขาเป็นยอดมหามรรค แต่หลังจากนี้น่าจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก”

“อะไรนะ ยอดมหามรรคหรือ”

หานเจวี๋ยเบิกตากว้างพลางเอ่ยถาม ทำเอาหานฮวงสะดุ้งโหยง

ได้ยินหานเจวี๋ยพึมพำเพียงว่า “แค่นี้หรือ”

เสียทีที่นึกสนใจ!

หานเจวี๋ยมองไปที่หานฮวง เอ่ยว่า “รอคอยอย่างสงบไปก่อน สถานที่ที่เจ้าอยู่คือดินแดนเวิ้งว้างด้านนอกฟ้าบุพกาล สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้และไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ ถือโอกาสที่เจ้าถูกชิงคุณสมบัติไปพอดี ลองใช้ความคิดไตร่ตรองดูให้ดีเถิด

“เจ้าจะมีเพียงคุณสมบัติที่ไร้พ่ายไม่ได้ จะต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ด้วย อย่าได้ตกเป็นทาสของตบะ นี่คือประสบการณ์ที่เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้”

หานฮวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด

จากนั้นแดนความฝันก็สลายตัวลง

หานชิงเอ๋อร์เห็นว่าหานฮวงตื่นขึ้นมาแล้วก็รีบเอ่ยถาม “ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้าง”

หานฮวงตอบว่า “เขาบอกว่าที่นี่คือดินแดนเวิ้งว้าง อยู่นอกฟ้าบุพกาล ให้พวกเราทนรอไปก่อน สงบใจไตร่ตรองให้ดี ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง”

เจียงเจวี๋ยซื่อยิ้มออกแล้ว เอ่ยไปว่า “ในเมื่ออาจารย์ทราบว่าพวกเราอยู่ที่ใด ก็แปลว่าเขามีความมั่นใจเต็มที่แล้ว”

หานชิงเอ๋อร์โอดครวญ “เช่นนั้นพวกเราต้องรออีกนานเพียงใดเล่า”

หานฮวงไม่พูดอะไรอีก แต่ย้อนนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของบิดา

จิตใจมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้!

อย่าได้ตกเป็นทาสของตบะ…

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจว่า ‘ข้าอยากรู้ว่าข้าสามารถสังหารคนผู้นี้ที่ปรากฏตัวในหัวข้าภายในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

หานเจวี๋ยลังเลขึ้นมา

ตบะระดับนี้…

ช่างน่าผิดหวังเสียจริง!

แต่พอนึกถึงสุดยอดสมบัติลึกลับชิ้นนั้น เขาก็ข่มใจเลือกดำเนินการต่อ

[ได้]

หานเจวี๋ยถามในใจต่อไป ‘หากรอจนเขาเป็นฝ่ายบุกมาหาข้าถึงที่ ข้าจะสามารถสังหารเขาในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’

ยังไม่แน่ว่าเซียนพเนจรจะทราบถึงพลังที่แท้จริงของหานเจวี๋ย

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ค่าตัวเพิ่มขึ้นมาร้อยเท่า!

คนผู้นี้พอมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ หลังจากได้รับคุณสมบัติไร้พ่ายและมหาโชคไป ก็ยังทนรอจนแข็งแกร่งขึ้นมานับร้อยเท่าแล้วค่อยลงมือ

น่าเสียดาย!

ร้อยเท่ายังไม่เพียงพอ!

ดำเนินการต่อ!

[ได้]

หานเจวี๋ยโล่งใจแล้ว

เขาถามต่อว่า ‘คนผู้นี้อยู่ที่ไหน’

[อีกฝ่ายมีสุดยอดสมบัติในการครอบครอง ไม่สามารถวิวัฒนาการถึงได้]

น่าแปลกเสียจริง ทำนายถึงตบะของคนผู้นี้ได้ ทว่าทำนายถึงพิกัดขอเขาไม่ได้

ดูเหมือนสุดยอดสมบัติชิ้นนี้ของเขาจะไม่ธรรมดาเลย

พอถึงเวลาที่ลงมือสังหารคนผู้นี้ จะต้องเก็บสมบัติชิ้นนี้ไว้

หานเจวี๋ยถามอีกครั้ง ‘เขาจะสังหารหานฮวง หานชิงเอ๋อร์และเจียงเจวี๋ยซื่อทิ้งก่อนมาหาข้าหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

อืม นับว่าคนผู้นี้พูดจาคำไหนคำนั้นอยู่

พุ่งเป้ามาที่เขาเท่านั้น ไม่ได้หลอกลวงพวกหานฮวงเลย

………………………………………………………………