บทที่ 949 ทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 949 ทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์

หานเจวี๋ยชั่งน้ำหนักดูเล็กน้อย ตัดสินใจว่าจะยังไม่ช่วยพวกหานฮวงตอนนี้ ประการแรกเป็นเพราะจะทำให้ศัตรูจอมลึกลับคนนั้นคลายความระมัดระวัง ประการที่สองเพราะต้องการให้พวกหานฮวงทั้งสามได้ตกผลึกความคิดสักหน่อย

ชีวิตคนเราไหนเลยจะราบรื่นไปได้ตลอด

หากไม่ได้รับแรงโจมตีอันหนักหน่วง ไหนเลยจะหามรรคจิตแห่งตนพบ

หานเจวี๋ยคิดแล้วก็หลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อไป

อนาคตยังต้องเผชิญกับภัยอันตรายอีกสองประการ!

หนึ่งคือคนลึกลับที่จับตัวพวกหานฮวงไป

สองคือการแผลงฤทธิ์ของเจตจำนงฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยต้องพยายามยกระดับพลังการต่อสู้อย่างเต็มที่

หากสยบฟ้าบุพกาลได้ เช่นนั้นเขาถึงจะกลายเป็นผู้ไร้พ่ายในฟ้าบุพกาลอย่างแท้จริง!

ส่วนระดับผู้สร้างมรรคา เอาไว้ว่ากันทีหลัง!

….

หลังจากงานชุมนุมสำนักซ่อนเร้นจบลงเวลาผ่านไปหนึ่งหมื่นปี ทั่วทั้งมรรคาสวรรค์ถึงได้กลับสู่ความสงบ แต่ก็ยังคงคึกคักกว่าช่วงก่อนที่จะมีการจัดงานชุมนุมขึ้น รุ่งเรืองยิ่งขึ้นกว่าเดิม

หลังสิ้นสุดงานชุมนุม การมีบุตรแห่งสวรรค์ประลองต่อสู้กันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติไป ทำให้สรรพสิ่งตระหนักได้ว่ายุคสมัยแห่งบุตรแห่งสวรรค์มาถึงแล้ว ถึงขั้นที่มีผู้หวังดีบางคนจัดลำดับทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์ขึ้น

ชิงเทียนเสวียนจีย่อมอยู่ในอันดับที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

กลับเป็นตำแหน่งอันดับที่สองที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

เหล่าอริยะก็ยุ่งง่วนขึ้นมาแล้วเช่นกัน โชคดีที่มีร่างแยกอยู่ ด้วยสถานะของมรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้ ให้ร่างแยกไปต้อนรับแขกจากฟ้าบุพกาล แขกจากฟ้าบุพกาลก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดี

เดิมทีจ้าวเซวียนหยวนคิดจะชักจูงจ้าวซวงเฉวียนให้จากไปพร้อมกัน แต่จ้าวซวงเฉวียนปฏิเสธ

สาเหตุเพราะจ้าวซวงเฉวียนต้องการอยู่กับซูฉี

ถึงแม้ซูฉีจะรับศิษย์ไว้ไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วคนที่รั้งอยู่ต่อก็เหลือเพียงจ้าวซวงเฉวียน

ยิ่งตบะสูงขึ้นมากขึ้นเท่าไร เรื่องราวที่ตระหนักเข้าใจก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เหล่าศิษย์ล้วนรู้สึกละอายต่อเรื่องที่ซูฉีเคยกระทำไว้ในกาลก่อน ภายหลังจึงเว้นระยะห่างจากเขา

ในแวดวงอริยะ ซูฉีค่อนข้างโดดเดี่ยวเสมอ นอกจากเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นแล้ว แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับอริยะคนอื่นๆ เลย

จ้าวซวงเฉวียนไร้บิดามารดามาแต่เล็ก หลังจากถูกซูฉีรับเป็นศิษย์ถึงได้รับรู้ถึงความอ่อนโยนเอาใจใส่ ความคิดของเขาแตกต่างจากสรรพสิ่งมาตั้งแต่เล็กแล้ว

เขาจดจำเพียงว่าผู้ใดดีต่อตน ส่วนเมตตาหรือคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่โลกหล้าใฝ่หากันนั้น เขาไม่เคยรับฟังเข้าไปถึงในจิตใจเลย

วันนี้

ภายในตำหนัก ณ อาณาเขตเต๋าของซูฉี ศิษย์อาจารย์คู่นี้กำลังพูดคุยกันเรื่องทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์

“อาจารย์ ชิงเทียนเสวียนจีมีสิทธิ์อะไรถึงได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์ ทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์มิใช่ว่าสมควรพิจารณาจากกิตติศัพท์การต่อสู้หรือคุณสมบัติหรอกหรือขอรับ อาศัยเพียงว่าเขามีตบะสูงส่งหรือ เขาอายุเท่าไรกันแล้ว ยังมีหน้ามายืนอยู่ในตำแหน่งอันดับหนึ่งบนทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์อีก ข้าว่าเหล่าอริยะคงกำลังสร้างชื่อให้เขาอยู่!”

จ้าวซวงเฉวียนบ่นถึงความไม่ยุติธรรม

ในมรรคาสวรรค์ อย่าว่าแต่อายุล้านปีเลย แค่แสนปีก็ถือว่าอายุมากแล้ว

ซูฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแต่ก่อนชิงเทียนเสวียนจีก็นับว่าเป็นศิษย์ร่วมสำนักของเจ้า ซ้ำยังมีลำดับอาวุโสต่ำกว่าเจ้าด้วย ต่อมาหลังจากเขาเติบใหญ่ขึ้น สำนักซ่อนเร้นคำนึงถึงว่าเขามีพลังยิ่งใหญ่เกินไป จึงส่งตัวเขาออกไป มรรคาสวรรค์เข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลย่อมเป็นเพราะต้องการสร้างเกียรติยศเช่นกัน

“สำนักซ่อนเร้นเป็นส่วนหนึ่งของมรรคาสวรรค์ แต่มรรคาสวรรค์ก็คือมรรคาสวรรค์ สำนักซ่อนเร้นก็คือสำนักซ่อนเร้น หลักเหตุผลเช่นนี้เจ้าน่าจะเข้าใจดี ดังนั้นผู้ที่หนุนหลังชิงเทียนเสวียนจีอยู่คือมรรคาสวรรค์ทั้งใบ รวมถึงสำนักซ่อนเร้นด้วย

“คุณสมบัติของเจ้าเลิศล้ำมาก แต่ต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งด้วย เรื่องราวบนโลกนี้ไหนเลยจะมีความยุติธรรมไปเสียทุกอย่าง อันว่ากฎเกณฑ์เดิมทีก็ถูกกำหนดตั้งขึ้นมาเช่นกัน”

หลังจากจ้าวซวงเฉวียนได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก

รู้ดีว่าหลักเหตุผลเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี

ซูฉีถามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์เอ๋ย เป้าหมายในอนาคตของเจ้าคืออะไร ใช่เพียงชื่อเสียงจอมปลอมในตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบบุตรแห่งสวรรค์หรือ”

จ้าวซวงเฉวียนตอบทันที “ย่อมไม่ใช่ขอรับ ข้าต้องการเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด!”

ซูฉีถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับอาจารย์ปู่ของเจ้าหรือ”

จ้าวซวงเฉวียนพยักหน้ารับดวงตาฉายแววเคารพศรัทธา

สำหรับเรื่องอาจารย์ของท่านอาจารย์ เขาย่อมได้ฟังมาตั้งแต่เล็กจนโต

ซูฉีมักจะเล่าถึงเรื่องราวเหล่านั้นระหว่างตนและหานเจวี๋ยให้เขาฟังอยู่บ่อยครั้ง จ้าวซวงเฉวียนได้รับอิทธิพลมาแต่เล็กจนโต นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาผูกพันใกล้ชิดกับซูฉี

ถึงแม้ซูฉีจะทำลายล้างโลก ผิดพลาดจนไม่อาจให้อภัยได้ ทว่าอาจารย์ปู่ก็ยังช่วยเหลือเขา ปกป้องให้เขาได้พิสูจน์มรรคอย่างสงบสุข

“หากมีโอกาสข้าจะแนะนำเจ้าต่ออาจารย์ดู หากได้ฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายเขา วันหน้าหากจะก้าวข้ามชิงเทียนเสวียนจีไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก” ซูฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สีหน้าอ่อนโยนเมตตาเสมือนคุยกับบุตรชายอยู่

ดวงตาจ้าวซวงเฉวียนเปล่งประกาย พยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น ลุกขึ้นมาทันที เริ่มบีบนวดทุบหลังให้ซูฉี

สองศิษย์อาจารย์สนทนากันต่อไป

….

หลังจากเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ ในมุมมองของหานเจวี๋ยเวลาจะผ่านพ้นไปเร็วยิ่ง

พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งแสนปีแล้ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เริ่มเข้าฝันซูฉี

หนึ่งหมื่นปีก่อน ซูฉีขอเข้าฝันเขา จนใจที่เขาฝึกบำเพ็ญอยู่ ดังนั้นจึงไม่สนใจ

เขามองแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าซูฉียังอยู่ในมรรคาสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่นึกห่วงว่าซูฉีจะมีภัยคุกคามถึงชีวิต

แดนความฝันยังคงเป็นเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเมื่อครั้งอดีต

ซูฉีลืมตาขึ้น พอมองเห็นหานเจวี๋ย เขารีบทำความเคารพทันที

หานเจวี๋ยถาม “มีเรื่องใดหรือ”

ซูฉีกล่าวคำขอของตนออกมาทันที

เขามาเพื่อจ้าวซวงเฉวียน

เขาหวังว่าหานเจวี๋ยจะช่วยชี้แนะจ้าวซวงเฉวียนสักเล็กน้อย หากว่าสามารถรับตัวจ้าวซวงเฉวียนไปฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายได้ เช่นนั้นก็ยิ่งดี

“นี่เป็นเพียงคำขอของข้า หากว่าท่านอาจารย์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรขอรับ” ซูฉีเอ่ยเสริมไปประโยคหนึ่ง

ไม่ได้พบหน้ากันมานานหลายปี สายใยระหว่างศิษย์อาจารย์ย่อมเหินห่างไปไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่สนิทชิดเชื้อกันเท่าเมื่อก่อนอีก โดยเฉพาะเมื่อตบะห่างชั้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเงียบๆ

หากเป็นศิษย์คนอื่นยังพอว่า แต่อีกฝ่ายคือจ้าวซวงเฉวียน เจ้าอัษฎาฟ้าบุพกาลกลับชาติมาเกิด หากว่าพาเขาเข้ามาในอาณาเขตเต๋า เจ้านวฟ้าบุพกาลจะแทรกซึมเข้าสู่อาณาเขตเต๋าผ่านจ้าวซวงเฉวียนได้หรือไม่

อันตรายเกินไป จำเป็นต้องไตร่ตรองให้ดี

แต่ซูฉีก็มาขอร้องเขาน้อยครั้งยิ่ง เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้

“เอาเช่นนี้เถิด ให้เขาตั้งใจฝึกบำเพ็ญไป ข้าจะไปถ่ายทอดพลังวิเศษให้เขาผ่านความฝัน” หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างใช้ความคิด

ซูฉีปิตินัก รีบคารวะขอบคุณ ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจ

เขาก็กังวลเช่นกันว่าจะถูกหานเจวี๋ยปฏิเสธ

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็เหมือนกันยามปกติต้องหมั่นฝึกบำเพ็ญด้วย ระดับเสรียังไม่พอหรอก”

ซูฉีเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล เวลาผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พิสูจน์เสรีได้ย่อมไม่น่าแปลกใจเลย หานเจวี๋ยถึงขั้นที่รู้สึกว่าเขาค่อนข้างหย่อนยานเสียด้วยซ้ำ

ถึงอย่างไรซูฉีก็ได้รับสายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาลก่อนศิษย์คนอื่นๆ ตอนนี้สมควรจะพิสูจน์มหามรรคแล้วด้วยซ้ำ

“ศิษย์ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเสียแล้ว อาจารย์วางใจเถิดขอรับ ข้าจะพิสูจน์มหามรรคให้ได้” ซูฉีรีบเอ่ยรับประกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยเขาวางตนต่ำต้อยนักอีกทั้งยังประหม่ายิ่ง ไม่มีท่าทางสูงส่งเยือกเย็นเช่นตอนอยู่ต่อหน้าเหล่าบุตรแห่งสวรรค์เลย

สองศิษย์อาจารย์พูดคุยกันไปสักพัก แดนความฝันก็สิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย

แวดวงสหายเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง บรรดาศิษย์อย่างพวกเต้าจื้อจุนหรือโจวฝานเริ่มสร้างเรื่องกันแล้ว แต่หากไม่มีพวกเขาคอยก่อเรื่องในฟ้าบุพกาล แวดวงสหายของหานเจวี๋ยคงขาดสีสันไปมาก

หลังจากตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็เข้าฝันหานชิงเอ๋อร์

แดนความฝันคืออาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

พอหานชิงเอ๋อร์เห็นหานเจวี๋ยก็พลันปรีดาขึ้นมาทันที รีบโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ร้องไห้โฮออกมาเดี๋ยวนั้นเลย

“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”

พอได้ยินเสียงร่ำไห้ของบุตรสาว จิตใจของหานเจวี๋ยอ่อนยวบลงเล็กน้อย

ตนเข้มงวดกับบุตรสาวมากเกินไปหรือไม่

หลายปีมานี้นางคงกระวนกระวายนัก หากว่าเกิดผิดพลาดสิ้นชีพไปเขาจะเสียใจภายหลังหรือไม่

หานเจวี๋ยเอ่ยปลอบอยู่สักพัก สาวน้อยถึงได้ยอมสงบลง

“เจ้านี่นะ อายุตั้งกี่ล้านปีแล้ว ยังทำตัวเป็นแม่นางน้อยอีก” หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนปัญญา

หานชิงเอ๋อร์เบะปากพลางเอ่ยว่า “ต่อให้ข้าเติบใหญ่แค่ไหนก็ยังเป็นบุตรสาวของท่านตลอดกาลนะเจ้าคะ!”

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา จากนั้นก็ซักถามถึงสถานการณ์ในช่วงนี้

พวกหานฮวงถูกลอยแพทิ้งไว้ในดินแดนเวิ้งว้างมาตลอด เซียนพเนจรไม่เคยมาปรากฏตัว ในแสนปีมานี้ ไม่มีตัวตนใดๆ มารบกวนพวกเขาเลย พวกเขาล่องลอยอยู่ในดินแดนเวิ้งว้างอย่างเดียวดายเช่นนี้เรื่อยมาไม่เปลี่ยนแปลง

………………………………………………………………