ตอนที่ 909 เรื่องเล็กน้อย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 909 เรื่องเล็กน้อย

“ฝ่าบาท…” เกาเต๋อเม่ากอดขาจักรพรรดิต้าจิ้นแน่น จากนั้นหันไปมององค์หญิงใหญ่พลางเอ่ยขอร้อง “องค์หญิงใหญ่ เรื่องนี้จะโทษฝ่าบาทไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงถูกราชครูเทพสารเลวผู้นั้นเป่าหู ราชครูเทพคือคนผิดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเอ่ยถึงราชครูเทพ จักรพรรดิต้าจิ้นนึกขึ้นได้ว่าราชครูเทพกำชับให้เขาขึ้นไปบนหอบูชาเก้าชั้นในวันที่สิบหก เดือนหกเท่านั้น เมื่อนึกถึงร่างกายที่แย่ลงทุกวันของตัวเองจักรพรรดิต้าจิ้นที่ดวงตาขุ่นมัวก็แทบบ้าคลั่งราวกับถูกผีเข้าสิงขึ้นมาทันที เขาพยายามข่มโทสะที่มีต่อไป๋ชิงเหยียนเอาไว้ จากนั้นกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนด้วยน้ำเสียงเชิงปรึกษา “ไป๋ชิงเหยียน เรามีข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้า หากเจ้าช่วยเราเกณฑ์เด็กหนึ่งพันคนขึ้นไปปรุงยาวิเศษบนหอบูชาเก้าชั้นให้เรา เราจะยกบัลลังก์นี้ให้แก่เจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างชอบธรรม ตระกูลไป๋จะไม่ใช่กบฏ พวกเราล้วนได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย!”

องค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้จึงหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง นางสิ้นหวังในตัวจักรพรรดิต้าจิ้นผู้นี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

ไป๋ชิงเหยียนมองดูจักรพรรดิต้าจิ้นด้วยแววตาเย็นชา ไม่ได้ดีใจหรือขบขันกับคำกล่าวของเขา ไป๋ชิงเหยียนเคยเกลียดชังจักรพรรดิต้าจิ้นผู้นี้มากเท่าใด บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนก็ยิ่งรู้สึกสมเพชเขามากเท่านั้น กระทั่งรู้สึกว่าจักรพรรดิต้าจิ้นน่าสงสารจริงๆ

น่าสงสารที่เขาเชื่อว่าโลกนี้มีสิ่งที่ทำให้อายุยืนได้จริงๆ

บนโลกนี้มีสิ่งที่ทำให้คนอายุยืนเป็นหมื่นปีพันปีที่ใดกัน สิ่งที่จะทำให้คนจดจำเราได้เป็นหมื่นปีพันปีมีเพียงผลงานยิ่งใหญ่ที่เราจะสร้างไว้ในใต้หล้าแห่งนี้เท่านั้น น่าเสียดายที่จักรพรรดิต้าจิ้นไม่เข้าใจสิ่งนี้

บางทีจักรพรรดิต้าจิ้นองค์นี้อาจถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน บันทึกว่าคือจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งแคว้นต้าจิ้นสร้างหอบูชาเก้าชั้น ใช้ชีวิตเด็กชายและเด็กหญิงจำนวนหนึ่งพันคนปรุงยาวิเศษเพื่อให้ตัวเองมีอายุยืนยาว เขาทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นก่อกบฏ ทำให้แคว้นต้าจิ้นดับสูญ

เกาเต๋อเม่าที่กอดขาของจักรพรรดิต้าจิ้นอยู่ตกใจเช่นเดียวกัน เขาเงยหน้ามองจักรพรรดิต้าจิ้นอย่างไม่อยากเชื่อ…

ตอนแรกจักรพรรดิต้าจิ้นใช้บัลลังก์เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเหลียงอ๋อง ต่อมาเหลียงอ๋องถูกจับตัว ฉินซ่างจื้อที่จงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทกุมอำนาจทางทหารไว้ สิ่งแรกที่จักรพรรดิต้าจิ้นทำหลังจากคืนตำแหน่งให้อดีตองค์รัชทายาทคือการสั่งให้องค์รัชทายาทรวบรวมเด็กหนึ่งพันคนให้เขา

บัดนี้จักรพรรดิต้าจิ้นใช้บัลลังก์แลกเปลี่ยนกับองค์หญิงเจิ้นกั๋ว

ทว่า ชาวบ้านตามเมืองต่างๆ ล้วนก่อกบฏแล้ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วถือโอกาสนี้ขึ้นครองราชย์อย่างชอบธรรม ผู้ใดจะคิดว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นกบฏ ผู้ใดจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลไป๋กัน!

ต่อให้เป็นแคว้นอื่น…ใต้หล้าแห่งนี้ยำเกรงผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ต้าเยี่ยน ซีเหลียงและหรงตี๋จะกล้าปฏิเสธการขึ้นครองราชย์ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างนั้นหรือ พวกเขาไม่กลัวตายหรืออย่างไรกัน

เรื่องที่เกาเต๋อเม่ายังมองออก จักรพรรดิต้าจิ้นที่ครองบัลลังก์สูงส่งนั่นมานานถึงเพียงนี้จะมองไม่ออกได้อย่างไรกัน เขาแค่กำลังเลอะเลือนและต้องการหลอกล่อไป๋ชิงเหยียนก็เท่านั้น

ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันเอ่ยตอบ ด้านนอกก็เกิดเสียงสู้รบดังขึ้นเสียก่อน เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นในหอลั่วหงจนเกาเต๋อเม่าตกใจจนตัวสั่นเทาราวกับลูกนก

ไม่นานเสิ่นเทียนจือจึงเปิดประตูหอลั่วหงออกเล็กน้อย จากนั้นนำทหารจำนวนหนึ่งพุ่งเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน เขากระซิบข้างหูหญิงสาว “คนของเหลียงอ๋องบุกมาพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาเตรียมจะเผาหอลั่วหงแห่งนี้ คนที่มาล้วนเป็นยอดฝีมือ พวกกระหม่อมคุ้มกันฝ่าบาทและองค์หญิงใหญ่หนีไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้น เหลียงอ๋อง…

นางคิดว่าเหลียงอ๋องตายไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ช่างตายยากเสียจริง

หูของจักรพรรดิต้าจิ้นดีมาก เสิ่นเทียนจือกล่าวเสียงเบาเช่นนี้เขายังได้ยิน จักรพรรดิต้าจิ้นหัวเราะออกมาอย่างสะใจและบ้าคลั่งท่ามกลางห้องใหญ่ที่เงียบสนิท “ไป๋ชิงเหยียน เจ้ายังมีทางเลือกอยู่ ขอเพียงเจ้ารับปากเรา เราจะร่างราชโองการยกบัลลังก์ให้เจ้าทันที แม้แต่เหลียงอ๋องก็ไม่อาจทำอันใดเจ้าได้ เจ้ามีความเห็นเช่นไร”

ไป๋ชิงเหยียนไม่สนใจจักรพรรดิต้าจิ้น หญิงสาวปลดถุงทรายที่พันอยู่ที่รอบแขนสองข้างออกด้วยสีหน้านิ่งขรึม ถุงทรายหล่นลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังขึ้น เกาเต๋อเม่าที่คุกเข่ากอดขาจักรพรรดิต้าจิ้นสะดุ้งด้วยความตกใจ

ไม่รอให้เสิ่นเทียนจือได้สติ ไป๋ชิงเหยียนชักดาบที่เอวของเสิ่นเทียนจือออกมา จากนั้นเอ่ยสั่ง “เจ้าคุ้มกันท่านย่าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปดูสักหน่อย…”

ดาบของเสิ่นเทียนจือหายไปจากเอว เขารีบเอ่ยห้าม “ฝ่าบาทอย่าไปเสี่ยงอันตรายเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เสิ่นเทียนจือเป็นขุนนางฝ่ายปกครอง แม้เขาจะนำทัพออกรบ ทว่า เขาได้รับการคุ้มกันจากเหล่าทหารให้อยู่ทางเบื้องหลัง เป็นคนควบคุมวางแผนการรบเท่านั้น เขาไม่เคยจับดาบออกรบในสนามรบจริง ไป๋ชิงเหยียนกล่าวให้เสิ่นเทียนจือวางใจ “เจ้านำทหารคุ้มกันท่านย่าอยู่ที่นี่ ควบคุมตัวจักรพรรดิต้าจิ้นไว้ หากถึงคราวจำเป็นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิต!”

เกาเต๋อเม่าหวาดกลัวมาก เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าไป๋ชิงเหยียนจะผูกถุงทรายที่หนักอึ้งเช่นนี้ไว้ที่แขนของตัวเองแล้วยังสามารถแย่งแจกันจากจักรพรรดิต้าจิ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นอีก เห็นได้ชัดว่าวรยุทธของหญิงสาวกลับคืนมาแล้ว

จักรพรรดิต้าจิ้นที่ถูกเมินสีหน้าย่ำแย่ลงทันที เขาตะโกนลั่น “ไป๋ชิงเหยียน เรากำลังกล่าวกับเจ้าอยู่นะ!”

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนเปิดประตูไม้แกะสลักสองบานออกแล้วเดินออกไปด้านนอกทันทีโดยไม่สนใจจักรพรรดิต้าจิ้น

เมื่อไป๋ชิงเหยียนผลักประตูออก ไอร้อนปะทุเข้ามาทันที บริเวณรอบหอลั่วหงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่กำลังค่อยๆ ลุกโหมขึ้น

หอลั่วหงสร้างติดกับภูเขา บริเวณรอบหอทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ บัดนี้รอบด้านกลายเป็นสีแดงเพลิง ควันดำปกคลุมไปทั่วพื้นที่

กลิ่นหอมของดอกไม้และสมุนไพรบริเวณสองข้างทางถูกกลบด้วยกลิ่นไหม้จนไม่หลงเหลือกลิ่นหอมใดๆ ทั้งสิ้น ดอกไม้ที่เคยมีสีสันกลายเป็นสีดำไหม้เกรียมทั้งหมด

จักรพรรดิต้าจิ้นเห็นเหตุการณ์จึงอยากวิ่งออกไป ทว่า ทหารข้างกายของเสิ่นเทียนจือชักดาบยาวออกมาจ่อไปที่จักรพรรดิต้าจิ้นโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวบารมีของจักรพรรดิต้าจิ้นแม้แต่น้อย

ภายนอกหอลั่วหง ทหารหลายสิบนายชักดาบยืนระวังคุ้มกันหอลั่วหงอยู่หน้าบันได

เหลียงอ๋องถูกทหารยอดฝีมือห้าสิบกว่านายคุ้มกันอยู่ตรงกลางท่ามกลางควันดำด้านล่างบันได เขาเงยหน้ามองดูไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ในศาลานอกหอลั่วหงที่จุดไฟสว่างไสว เหลียงอ๋องใช้มือข้างหนึ่งจับบ่าของทหารยอดฝีมือที่ยืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าเขาพลางมองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยแววตาวาวโรจน์

เหลียงอ๋องตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้ไป๋ชิงเหยียนจบชีวิตลงที่นี่ เขาอาศัยช่วงที่ไป๋จิ่นซิ่วบุกโจมตีเมือง เมืองลั่วหงกำลังอยู่ในความวุ่นวาย นำน้ำมันทั้งหมดที่เตรียมไว้ราดไปบนหอลั่วหง

เมื่อไฟเจอกับน้ำมันจึงลุกโหมขึ้นทันที แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่อายุนับร้อยปียังถูกไฟลามเผาจนค่อยๆ พังทลายลง เปลวเพลิงลุกลามไปบนลำต้นจนต้นไม้ใหญ่หักลง พริบตาเดียวไฟจึงลุกลามต่อไปยังต้นหญ้าบริเวณใกล้เคียง เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นอย่างหนักราวกับงูยักษ์ที่กำลังอ้าปากกว้างงับเหยื่อของตัวเอง จากนั้นค่อยๆ ลามจากต้นหญ้าคืบคลานไปยังหอลั่วหง

ภาพที่เห็นตรงหน้านอกจากสีแดงของเปลวเพลิงแล้วก็คือกลุ่มควันสีดำโขมงและความมืดมิดบนท้องฟ้า

แม้แต่กระดิ่งทองแดงที่แขวนอยู่ใต้หลังคาหอลั่วหงยังสั่นอย่างรุนแรงเพราะไอร้อนจากเปลวเพลิงที่พัดเข้ามา ควันไฟลุกเผาจนกระดิ่งทองแดงไหม้เกรียม

เปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำในคืนนี้ทำให้เสียงต่อสู้และเสียงอาวุธกระทบกันในเมืองลั่วหงกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไปทันที