ตอนที่ 240-1 เหอจั๋วปกป้องหลาน
การประลองรอบแรก สามารถกล่าวได้ว่าพ่ายแพ้ทั้งคณะ เฉียวเวยซบอยู่กับอกสามีเพื่อขอการปลอบใจ “อย่างใจสลาย” จีหมิงซิวกลับสงบนิ่งยิ่งนัก เขาลูบแผ่นหลังที่เรียบลื่นของนางพร้อมปลอมเสียงอ่อนโยนว่า “การประชันนี้ก็เหมือนการเดิมพัน ทุกสิ่งล้วนมีแบบแผนของมัน ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยเอาชนะอู๋ต้าจินได้หรอกหรือ เหตุใดถึงยังไม่รู้ถึงแบบแผนของเงินในสนามเดิมพันอีก”
“แบบแผนของเงินอะไรกัน” เฉียวเวยถามพร้อมน้ำตากลบตา
น้อยครั้งที่จะเห็นนางมีท่าทีน่าสงสารเช่นนี้ ในใจนายน้อยจีหัวเราะออกมาอย่างไร้เมตตา น่าเสียดายที่ไม่อาจแสดงออกทางสีหน้าได้ ไม่อย่างนั้นหากภรรยากลายร่างเป็นนางยักษ์ คงน่ากลัวมากทีเดียว
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างจริงจังเหลือแสนว่า “ก็คือยิ่งใจอยากชนะ ก็จะยิ่งแพ้ เจ้าดูคนที่เข้าโรงบ่อนพวกนั้นสิ คนใดบ้างที่เข้าไปตอนแรกแล้วไม่ชนะได้เงินเต็มถุง แต่ถึงตอนหลังก็จะแพ้ติดต่อกันไปเอง นั่นเพราะพวกเขามั่นใจมากว่าจะกลับมามีดวงที่ดีเหมือนในคราแรกอีกครั้ง”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างน่าสงสาร “นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าของบ่อนใช้กลโกงหรอกหรือ ที่นี่ไม่มีกลโกงเสียหน่อย…”
จีหมิงซิวเชยคางเรียวเล็กของนาง “เหมือนกันนั่นแหละ สรุปแล้วเจ้าจำไว้ว่า คนที่ชนะในตอนแรก จะต้องแพ้ในตอนท้ายทั้งสิ้น”
เฉียวเวยเห็นว่าที่จีหมิงซิวกล่าวมีเหตุผลยิ่งนัก โดยเฉพาะสายตาของเขาที่ดูออกมาจากใจจริง แค่ดูก็รู้ว่าไม่เหมือนกำลังโกหก เฉียวเวยกระดกน้ำแกงไก่รวดเดียวหมด ยันตัวขึ้นจากอกอีกฝ่าย “ข้าจะไปห้องสุขา”
จีหมิงซิวพยักหน้าด้วยความเอ็นดู พอเฉียวเวยลุกไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เข้ามา “ยิ่งอยากชนะก็จะยิ่งแพ้ เป็นความจริงหรือ”
จีหมิงซิว “ไม่จริง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”
ภายในโถงหารือ ผู้ยิ่งใหญ่ทุกท่านกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดถึงผลการประลองในครั้งนี้
แค่จากความรู้จักที่เฉียวเจิงมีต่อจั๋วหม่าเมื่อคราก่อนก็เผยพิรุธออกมามากมายแล้ว ครานี้ทั้งสี่คนก็แพ้อย่างราบคาบอีก ตระกูลปี้หลัวมั่นอกมั่นใจว่าจั๋วหม่าน้อยที่พวกตนหามาต่างหากที่เป็นตัวจริง
ตระกูลไซน่ากลับไม่คิดเห็นเช่นนั้น ในตอนนั้นเฮ่อหลันชิงแอบหนีออกไปจากชนเผ่าถ่าน่า การที่นางจะปิดบังฐานะตนเองหรือกุเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองขึ้นมานับเป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง ด้วยนิสัยอย่างจั๋วหม่า หากไม่คุยโวเลยต่างหากถึงเป็นเรื่องแปลก
ส่วนการประลองในวันนี้ เพราะจับหัวข้อได้ไม่ตรงกับคู่ประลอง
เด็กจิ่งอวิ๋นผู้นั้นความรู้ความอ่านมากมี ในหัวเต็มไปด้วยโคลงกลอน อย่าว่าแต่ท่องจำเลย แม้แต่เขียนกลอนก็ยังทำได้ วันนี้หากคนที่จับฉลากได้ประลองการท่องกลอนเป็นเขา คนอื่นย่อมไม่มีโอกาสชนะแน่นอน
นายท่านเฉียวก็เชี่ยวชาญทั้งฉินหมากภาพวาด น่าเสียดายก็เพียงจับฉลากได้ใช้หน้าอกบีบหิน แล้วจะให้บัณฑิตที่ไร้เรี่ยวแรงกระทั่งจับไก่ทำได้อย่างไร จะบีบหินอย่างไร
ส่วนเฉียวเวยกับวั่งซู นั่นยิ่งแล้วไปใหญ่
วั่งซูตอนกินอาหารที่ตระกูลไซน่า นางคนเดียวสามารถกินอาหารหมดได้เป็นสิบถาด…
“พวกเขาเพียงแค่โชคไม่ดีเท่านั้น!” ไซน่าฮูหยินบอก
ประมุขตระกูลปี้หลัวกล่าวว่า “ใช่เรื่องโชคหรือ เหตุใดไซน่าฮูหยินถึงไม่กล่าวว่าเป็นบัญชาจากองค์เทพ เป็นเพราะองค์เทพทำให้พวกเขาจับฉลากไม่ได้หัวข้อที่ตนถนัด หากเพียงครั้งเดียวคงนับว่าบังเอิญ สองครั้งนับว่าบังเอิญ แต่สามสี่ครั้ง เกรงว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่คงไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญแล้วกระมัง พวกเขาโชคไม่ดีถึงขั้นนี้ บอกได้เพียงว่าพวกเขาไม่ใช่คนในชนเผ่าที่ได้รับการคุ้มครองจากองค์เทพ การที่องค์เทพละทิ้งพวกเขา นับเป็นการเลือกจั๋วหม่าน้อยตัวจริงแล้ว”
ไซน่าเหอเหลือบมองประมุขตระกูลปี้หลัวทีหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อย พวกเขาเคยเป็นพี่น้องที่เล่นดินเล่นโคลนด้วยกันมาก่อน แต่เวลานี้เมื่อเติบโตขึ้น มีสิ่งที่ต้องคุ้มครองรักษาเป็นของตนเอง เขาก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นที่ไม่จำเป็นต้องระวังเนื้อระวังตัวอีกต่อไป
ไซน่าเหอกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งจั๋วหม่ายังเด็ก เรื่องฉินหมากภาพวาด นางก็ไม่เชี่ยวชาญสักอย่างเช่นกัน ไม่ทราบว่าจั๋วหม่าที่เป็นเช่นนี้ ในสายตาของตระกูลปี้หลัว ก็ไม่ใช่เด็กที่องค์เทพคุ้มครองด้วยหรือไม่”
ประมุขตระกูลปี้หลัวพลันสะอึก รีบร้อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น!”
ประมุขตระกูลปาฮาเอ่อร์เป็นเครือญาติกับประมุขตระกูลปี้หลัว เขาย่อมต้องยืนอยู่ข้างเดียวกับตระกูลปี้หลัว เขาส่งเสียงหึเย็นๆ “ในเมื่อเกิดการประลองครั้งนี้ขึ้น ก็ต้องเคารพผลลัพธ์ของการประลอง หากไม่ทำเช่นนี้ การประลองครั้งนี้จะมีความหมายอะไร ที่เรียกคนแก่อย่างพวกเราให้เดินทางไกลมาถึงที่นี่ จะมีความหมายอะไร”
บิดาของไซน่าฮูหยิน ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ก้าวออกมา “การประลองเพียงรอบเดียวไม่อาจบอกอะไรได้ ข้าขอเสนอว่า ให้เพิ่มการประลองอีกรอบหนึ่ง”
ประมุขตระกูลปี้หลัว “คงไม่จำเป็นแล้วกระมัง แพ้ทั้งสี่รอบเช่นนี้ ด้วยความสามารถของพวกเขา ต่อให้เพิ่มการประลองอีกรอบก็ไม่ต่างกับการแพ้มากขึ้นอีกร้อยครั้งเท่านั้น!”
ไซน่าเหอตีหน้าขรึม “ประมุขตระกูลปี้หลัว เรื่องบางอย่างไม่อาจด่วนตัดสินได้!”
ประมุขตระกูลปี้หลัวเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ความจริงจะพูดช้าพูดเร็วก็มีค่าเท่ากัน”
ทั้งสองเลยทะเลาะกันในโถงใหญ่ ไม่นานประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์กับประมุขตระกูลปาฮาเอ่อร์ก็เข้ามาผสมโรงด้วย
ผู้อาวุโสทุกท่านนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว เมื่อได้ฟังนายท่านทั้งหลายโต้เถียงกัน สีหน้าจึงดูบึ้งตึงยิ่งนัก
เหอจั๋วกวาดตามองทุกคน “ผู้อาวุโสทั้งหลายมีความเห็นเช่นไร”
ผู้อาวูโสทั้งหลายพากันทอดถอนใจ เมื่อครั้งได้เห็นเด็กทั้งสองในสวนดอกไม้เมื่อคราแรก พวกเขาถูกรัศมีของเด็กทั้งสองดึงดูดไป แต่วันนี้ความสามารถที่เด็กทั้งสองแสดงออกมาทำให้ยากจะยอมรับจริงๆ แน่นอนว่าพวกเขาจับฉลากได้หัวข้อที่โชคร้ายมากจริงๆ แต่นี่ก็เป็นการบอกอย่างชัดเจนถึงประสงค์ขององค์เทพมิใช่หรือ เพราะมีคนธรรมดาที่ไหนจะโชคร้ายถึงเพียงนี้
เหอจั๋วเห็นเหล่าผู้อาวุโสทอดถอนใจก็ชะงักไป หันไปถามนางกำนัลชิงเหยียนที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปถามทีว่าธิดาเทพคิดเห็นอย่างไร”