ตอนที่ 240-2 เหอจั๋วปกป้องหลาน
“เจ้าค่ะ” นางกำนัลชิงเหยียนออกไป ธิดาเทพยังคงนั่งอยู่ในงาน ใส่หมวกกึ่งโปรงแสงสีแดงคลุมหน้า มองดูเหมือนดอกบัวหลัวแดงเพลิงสีสด นางกำนัลชิงเหยียนกระซิบบางอย่างกับนางหลายประโยค ก่อนจะกลับไปรายงานที่โถงใหญ่ “เหอจั๋ว ธิดาเทพกล่าวว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวท่าน ให้ท่านตัดสินใจเองเจ้าค่ะ”
เหอจั๋วพยักหน้าก่อนจะถามต่อว่า “ชาวบ้านมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง”
นางกำนัลชิงเหยียน “ทุกคนต่างเห็นว่าจั๋วหม่าน้อยที่ตระกูลปี้หลัวพามาเป็นจั่วหม่าน้อยตัวจริงเจ้าค่ะ”
เมื่อใจชาวประชาเอนเอียงไปเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องหารืออีกแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
ประมุขตระกูลปี้หลัวเผยสีหน้าได้ใจ
ไซน่าฮูหยินกัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก
เฉียวเวยกลับมาจากห้องสุขา ระหว่างทางเดิน นางไม่แปลกใจนักที่ได้พบกับ “จั๋วหม่าน้อย” ที่คล้ายตั้งใจมารอนางอยู่ที่นี่
สตรีนางนั้นเลิกคิ้วอย่างเป็นต่อ ยิ้มพริ้มขณะเอ่ยว่า “ข้าพูดไว้อย่างไรนะ ข้าจะต้องชนะเจ้าได้แน่กระมัง”
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “เหอจั๋วยังไม่ประกาศคำตัดสินเลย ข้ายังมีโอกาสพลิกกลับมาชนะ เจ้าอย่าได้ดีใจเร็วเกินไป”
สตรีนางนั้นเดินออกไปข้างนอก นางยืนพิงรั้ว โบกมือให้ชาวบ้านที่อยู่บนชั้นสาม ชาวบ้านพลันส่งเสียงโห่ร้องตอบรับทันที
เห็นได้ชัดว่าการที่วันนี้นางได้รับการคุ้มครองจากองค์เทพ ได้ลบล้างข่าวลือเมื่อหลายวันก่อนไปจนหมดสิ้น ในใจทุกคนเริ่มเคารพและเกรงกลัวนางแล้ว คิดว่านางเป็นเด็กที่องค์เทพคัดสรรโดยแท้จริง
นางส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างอ่อนหวานและเป็นมิตร ก่อนจะหันกลับมาหาเฉียวเวย รอยยิ้มบนใบหน้าจางลงไปสามส่วน “เจ้าแพ้อย่างราบคาบ คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ไม่นานเหอจั๋วจะประกาศรับรองฐานะของข้า นำชื่อของข้าขึ้นบัญชีวงค์ตระกูล บนตัวข้าจะมีตราตระกูลเฮ่อหลันสลักไว้ หลังจากนั้นข้าก็จะได้เป็นจั๋วหม่าน้อยตลอดไป!”
“ฝันหวานจริงนะ” เฉียวเวยเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น มือเรียวยกขึ้นช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ วางลงบนหัวไหล่อีกฝ่าย
ขนตาสตรีนางนั้นสั่นไหว ก่อนจะยิ้มเยาะ “ทำไม คิดจะผลักข้าลงไปหรือ เอาสิ มีคนตั้งมากคอยมองอยู่เช่นนี้ ให้พวกเขาได้เห็นว่าเจ้าคิดแผนร้ายไม่สำเร็จแล้วหันกลับมาฆ่าคนอย่างไร!”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เจ้าคิดมากไปแล้ว กระดุมเจ้าหลุด ข้าแค่ช่วยติดกลับไปให้เท่านั้น”
สตรีนางนั้นก้มลงมอง กระดุมของเสื้อนางไม่รู้เปิดออกตั้งแต่เมื่อไรจนเห็นไปถึงเนินอกขาวผ่อง เมื่อครู่นางหันไปโบกมือทักทายชาวบ้านด้วยสภาพเช่นนั้น ที่พวกเขาให้การตอบรับเป็นอย่างดี ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้…
ช่างน่าอายนัก!
สตรีนางนั้นจับคอเสื้อไว้ ถลึงตาดุใส่เฉียวเวยก่อนจะหมุนตัวเดินหนีไป
เฉียวเวยผายมือออก ตัวเองกระดุมหลุด โทษข้าได้หรือ
เฉียวเวยหมุนตัวเตรียมจะลงไปหาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แต่เดินไปได้ไม่เท่าไรก็บังเอิญได้พบกับเหอจั๋วเข้าพอดี
เหอจั๋วป่วยมานาน สีหน้าดูขาวซีดอย่างคนป่วย เมื่อได้เห็นก็พาให้รู้สึกปวดหนึบในใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงว่าเขาดูไม่ออกกระทั่งหลานกับเหลนของตนเอง เอาแต่รักใคร่เอ็นดูพวกตัวปลอม เฉียวเวยก็นึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง
“เหอจั๋ว” เฉียวเวยกล่าวทักทายอย่างมีมารยาทและห่างเหิน
เหอจั๋วเพ่งมองนางนิ่ง
เฉียวเวยลอบส่งเสียงหึ จะมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ไปไย
“เหอจั๋ว หากไม่มีธุระอะไร ข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ บนลานประลองก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เฉียวเวยหันมองไปทางฝูงชนที่กรีดร้องขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่กลับเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนกำลังเอามือปิดปาก มองตรงไปทางชั้นล่าง เฉียวเวยมองตามสายตาทุกคนไป ก็เห็นว่าประตูเหล็กที่เดิมทีปิดสนิทแน่น ไม่รู้เปิดออกตั้งแต่เมื่อไร ซ้ำยังมีนกอินทรีทองตัวเขื่องหลายตัวบินออกมา
นกอินทรีทองเหล่านี้ เป็นนกที่ใช้ในการประลอง ยามประลองจะใช้โซ่เหล็กคล้องขาพวกมันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันบินหนีหรือบินไปทำร้ายคนที่รับชมอยู่ด้านบน แต่ในวันนี้ ตรงข้อเท้าของพวกมันกลับว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าพวกมันหนีกันออกมาเอง
นกอินทรีทองมากล้นด้วยพลังแห่งการโจมตี เมื่อบินออกมาในลานด้วยความตกใจ พอเห็นใครก็จิก เห็นเด็กก็คิดจะคว้า ในลานประลองจึงเกิดเหตุโกลาหลขึ้นโดยพลัน
นกอินทรีทองตัวหนึ่งบินมาทางเฉียวเวย เฉียวเวยขยับแขน กริชเฟิ่นเทียนก็ลงมาอยู่ในมือ ขณะที่กำลังชักออกจากปลอก จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ผอมแห้งแต่มีกำลังข้างหนึ่ง ยื่นมาจับแขนนางแล้วดึงนางไปอยู่ด้านหลัง
เฉียวเวยถึงกับอึ้งงัน
นกอินทรีทองบินเข้ามา ชั่วขณะนั้นเอง หอกยาวในมือองครักษ์คนหนึ่งก็แทงทะลุปีกนกตัวนั้น นกตัวนั่นร้องโหยหวน กระพือปีกบินหนีไป
“เหอจั๋ว ท่านไม่เป็นไรกระมัง” องครักษ์เดินเข้ามา
เหอจั๋วไอหนักๆ ตรงขมับมีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าที่เขาออกแรงคว้าเมื่อครู่ ได้ใช้พลังทั้งหมดที่เขามีไปแล้ว
เฉียวเวยอึ้งงัน นางรู้สึกไปเองหรือ เมื่อครู่เหอจั๋วถึงขั้น…
“แค่กๆ…” เหอจั๋วเอามือยันกำแพง ไอหนักจนยืดตัวไม่ขึ้น
เฉียวเวยเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ท่านตา!” สตรีนางนั้นวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน อ้อมตัวเฉียวเวยเข้าไปประคองไหล่เหอจั๋วไว้ เอ่ยถามด้วยความกังวลอย่างยิ่งยวดว่า “ท่านตา ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
เหอจั๋วพอกลับมามีแรงอีกครั้ง บนใบหน้าที่ขาวซีด เผยรอยยิ้มมากมเมตตาออกมา “ข้าไม่เป็นอะไร”
สตรีนางนั้นโผเข้าไปกอดเขา เอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “เมื่อครู่ข้าตกใจแทบแย่! ข้ายังคิดว่านกตัวนั้นจะทำร้ายท่าน…”
เหอจั๋วยกมือลูกผมยาวสลวยของนางเบาๆ “นี่ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือ ไม่ต้องร้องแล้ว”
เฉียวเวยมองตาหลานที่กอดกันกลมด้วยความรักใคร่แล้วคิดว่าตนคิดมากเกินไป เหอจั๋วจะยอมสละตัวเองเพื่อช่วยนางได้อย่างไร ในสายตาเขา เจ้าตัวปลอมผู้นี้ต่างหากที่เป็นหลานตัวจริงของเขา ส่วนตนก็เป็นเพียงหลานตัวปลอมที่ใจคิดคดเท่านั้น
ที่เมื่อครู่เขาทำเช่นนั้น… แปดส่วนคงเพราะคิดว่าตนเป็นนังตัวปลอมนั่นกระมัง