บทที่ 953 สวรรค์ประทานโชค

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 953 สวรรค์ประทานโชค

“นับตั้งแต่ฟ้าบุพกาลถูกบุกเบิกขึ้น ผ่านช่วงเวลามานานนับไม่ถ้วน ผานกู่และบรรพชนเต๋าล้วนเคยอยู่ในตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งผู้ไร้พ่ายทั้งสิ้น ในยุคสมัยที่เป็นเช่นเดียวกับพวกเขามีสุดยอดผู้แข็งแกร่งไม่ต่ำกว่าสามสิบคน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจตจำนงฟ้าบุพกาล ทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ปราชัย บ้างก็ร่างสิ้นมรรคสลายกลายเป็นวิญญาณร้าย มีจิตอาฆาตพยาบาทต้องการล้างแค้นฟ้าบุพกาลเสมอมา บ้างก็กลายเป็นมารมรรคา มรดกถ่ายทอดส่งต่อไปยังชนรุ่นหลัง บุกเบิกสติปัญญาขึ้นมา นี่คือต้นตอการถือกำเนิดของดวงจิตบรรพกาล เพียงแต่ดวงจิตบรรพกาลยังไม่กลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งก็เท่านั้น

“หากมิใช่เพราะเจ้าปรากฏตัวขึ้น สุดยอดผู้แข็งแกร่งของยุคนี้คงเป็นดวงจิตบรรพกาล เขาจะมีชัยเหนือบรรพชนเทพปฐมกาลและบรรพชนเต๋า ปีนป่ายขึ้นสู่ตำแหน่งสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล แต่เจ้าปรากฏตัวขึ้นมากลางคัน เปลี่ยนแปลงชะตากรรมไป จึงดึงดูดความสนใจของเจตจำนงฟ้าบุพกาลเข้า”

น้ำเสียงของเทวีตราวินัยสงบราบเรียบอย่างยิ่ง ทว่าสามารถสรุปฉากมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ในชีวิตของหานเจวี๋ยได้ครบถ้วน

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ดังนั้นเทวีจึงต้องการเสนอให้ข้ายอมจำนนแต่โดยดีหรือ”

เทวีตราวินัยตอบว่า “บรรลุถึงตำแหน่งสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาลแล้ว ไหนเลยจะยอมจำนนได้ เจ้าลองสู้ดูสักตั้งได้ แต่อย่าได้เข้าสู่เส้นทางมาร หากว่าสู้ไม่ไหว เหลือชีวิตรอดกลับมาให้ได้ก็ยังดี ขอแค่มีชีวิตถึงจะมีความหวัง นับแต่โบราณมา มีสุดยอดผู้แข็งแกร่งพ่ายแพ้ไปแล้วสามสิบคน ส่วนคนที่ยอมสยบให้ล้วนกลายเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่ามหามรรคแล้วทั้งสิ้น”

หานเจวี๋ยเงียบไป

บ้าบอ!

ผู้เฒ่าไม่มีทางยอมสยบอย่างว่าง่าย!

หานเจวี๋ยพลันกระจ่างขึ้นมา

เจตจำนงฟ้าบุพกาลคือด่านเคราะห์อย่างหนึ่งของผู้สร้างมรรคา

หากว่าพ่ายแพ้ นับจากนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

มิน่าเล่าฟ้าบุพกาลถือกำเนิดขึ้นมานานถึงเพียงนี้ แต่ยังมีผู้สร้างมรรคาเพียงห้าคนเท่านั้น

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ผู้สร้างมรรคาที่เซียนพเนจรกล่าวถึง นั่นคือระดับที่อยู่ถัดไปจากยอดมหามรรคจริงๆ น่ะหรือ”

เทวีตราวินัยเอ่ยเสียงเรียบ “เล่าขานกันไว้เช่นนี้จริงๆ แต่ก็เลื่อนลอยไร้หลักฐาน ยากจะบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ ในความคิดข้า ยอดมหามรรคคือปลายทางของระดับพลังแล้ว สิ่งที่อยู่ถัดจากนี้ไปมีเพียงความห่างชั้นระหว่างผู้แข็งแกร่งและอ่อนแอเท่านั้น มิใช่ความห่างชั้นด้านระดับตบะ”

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ “ขอบพระคุณเทวีที่มาเตือน ขออำลา”

พูดจบเขาก็หันหลังมุ่งเข้าสู่คลื่นวนสีดำ

คลื่นวนสีดำหดตัวลงจนกระทั่งหายวับไป

เทวีตราวินัยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

….

ณ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ภายในอารามเต๋า

พอพวกเจียงเจวี๋ยซื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นก็ล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หานชิงเอ๋อร์ถามด้วยความตื่นเต้น “คนผู้นั้นตายอย่างสิ้นเชิงแล้วหรือเจ้าคะ”

หานเจวี๋ยตอบว่า “เปล่า วันหน้ายังฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เขาผสานรวมกับเจตจำนงฟ้าบุพกาล นับว่าเป็นอมตะมิวางวายแล้ว”

พอเอ่ยออกไปเช่นนี้ สีหน้าของทั้งสามต่างแปรเปลี่ยนมหันต์

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ จะออกไปท่องฟ้าบุพกาลต่อก็ได้ เซียนพเนจรไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาในระยะนี้ ต่อให้คืนชีพได้ก็มีข้าคอยจัดการให้อยู่”

ออกไปท่องเที่ยวกันก็ดี ป้องกันไว้เผื่อเจตจำนงฟ้าบุพกาลระเบิดพลังออกมาแล้วเด็กพวกนี้ยังอยู่ในอาณาเขตเต๋าจะมาหาเรื่องสร้างความวุ่นวายให้เขาเข้า

หลังจากทั้งสามได้ฟังก็คำนับอำลาไปทันที

หานเจวี๋ยโบกมือคราหนึ่ง ปล่อยบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในปฐมยุคประทับนภาออกมา โยนทิ้งไว้ด้านนอกมรรคาสวรรค์

[เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

พอเห็นแจ้งเตือนนี้ หานเจวี๋ยผงะไปเล็กน้อย

เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข

การแสดงของเขาคุ้มค่าแล้ว

ตอนเผชิญหน้ากับดวงจิตบรรพกาล หานเจวี๋ยพูดปาวๆ อยู่ตลอดว่าทำเพื่อสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล รับบทผู้มีจิตใจเมตตาผดุงความยุติธรรม มาตอนนี้ก็ช่วยเหลือบุตรแห่งสวรรค์ที่เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลชุบเลี้ยงไว้อีก ย่อมได้รับความประทับใจเป็นธรรมดา

หานเจวี๋ยคิดว่าการกระทำของตนยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

บอกว่าเขาเป็นตัวประหลาดได้ แต่จะยัดเยียดความผิดให้เขาไม่ได้

‘เขาเกิดความประทับใจในตัวข้า ก็แปลว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาลไม่เกี่ยวข้องกับเขา ดูเหมือนเหล่าผู้สร้างมรรคาจะไม่แยแสฟ้าบุพกาลจริงๆ เว้นแต่ข้าต้องการจะทำลายล้างฟ้าบุพกาล’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

แต่เขาจำได้ว่าเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลให้ความสนใจเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นพิเศษ มีสาเหตุจากอะไรกัน

เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคงเป็นเพราะไม่สามารถทำนายถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้

ส่วนตัวเขาที่เป็นอริยะสวรรค์เกรียงไกร มีตัวตนพบเห็นตัวจริงได้ คนล้วนทราบกันดีว่าอยู่ที่มรรคาสวรรค์

แต่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการกลับแตกต่างไป ลึกลับเหลือเกิน

‘รอให้ผ่านไปอีกสักระยะค่อยสาปแช่งเซียนพเนจรแล้วกัน ดูว่าจะทำให้เจตจำนงฟ้าบุพกาลอ่อนแอลงจากเหตุนี้ได้หรือไม่’

หานเจวี๋ยคิดจากนั้นจึงนำหยกจันทร์ชาดครึ่งเสี้ยวออกมา

หยกชิ้นนี้มีขนาดเท่ามีดสั้น เมื่อถือตัวหยกเอาไว้จะรับรู้ได้ถึงไอเย็นที่หนาวเหน็บจนแช่แข็งดวงวิญญาณได้

หานเจวี๋ยใช้ความสารถชำระล้างสมบูรณ์ก่อน ป้องกันไม่ให้มีภัยแฝงมา

การชำระล้างสมบูรณ์ต้องใช้เวลาเช่นกัน เขาจึงฝึกบำเพ็ญไปพลางรอคอยไปพลาง

….

ณ มรรคาสวรรค์ ภายในตำหนักหลังหนึ่ง

ชิงเทียนเสวียนจีค่อยๆ นั่งลง สีหน้าของเขาไม่น่ามองอย่างยิ่ง

เขาไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ช่วยตนไว้ แต่เขาทราบชัดเจนยิ่งว่าตนพ่ายแพ้ให้แก่เซียนพเนจรอย่างหมดท่า ถูกคนผู้นั้นแย่งชิงสายเลือดและโชคไป ความทุกข์ทรมานนั้นสลักลึกฝังแน่นในจิตใจ

เขาหาได้หวาดกลัวไม่ แต่เป็นเช่นเดียวกับหานฮวง ในใจเขาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะไร้ที่สิ้นสุด

“จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแน่นอน!”

สองมือของชิงเทียนเสวียนจีที่อยู่ภายในแขนเสื้อกำแน่นเข้าหากัน

ในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งแว่วดังในหัวเขา

‘อย่าโทษตัวเอง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายไม่แยแสเรื่องหลักอาวุโสและไม่สนใจความแตกต่างของระดับพลังเท่านั้น ’

ชิงเทียนเสวียนจีไม่ได้ตื่นตระหนกเลย เพียงสบถออกมา “สุดท้ายก็เป็นเพราะข้าไม่มีพลังมากพออยู่ดี! หากเป็นเปลี่ยนอริยะสวรรค์เกรียงไกร ไหนเลยจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้”

‘อาณาเขตเต๋าของอริยะสวรรค์เกรียงไกรคือมหาโชค เขาเก็บตัวฝึกบำเพ็ญมาตลอด ต่อให้เจ้าอยากเป็นเช่นเดียวกับเขา เจ้าก็ไม่มีอาณาเขตเต๋ามหาโชคที่คุ้มกันเภทภัยได้เหมือนเขา’

เสียงที่แว่วดังในหัวทำให้ชิงเทียนเสวียนจีสงบใจลง

เสียงนี้ปรากฏขึ้นมาในยามที่ชิงเทียนเสวียนจีผสานรวมกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค อ้างตัวว่าเป็นมรรคจิตของเขา จะคอยชี้แนะนำทางให้เขา

ชิงเทียนเสวียนจีเอ่ยถามว่า “ตอนที่เซียนพเนจรบีบคั้นข้าก่อนหน้านี้ เหตุใดเจ้าไม่ช่วยวางแผนให้ข้า”

‘นี่คือวิบากกรรมที่เจ้าต้องเผชิญ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่ไม่อาจเอาชนะได้ การเลือกของเจ้าคือตัวกำหนดวิถีทางของเจ้า ครั้งนี้เจ้าเลือกที่จะไม่ยอมสยบให้ เส้นทางไร้พ่ายที่เจ้าต้องการก้าวเดินก็ยิ่งมั่นคงขึ้น’

เสียงในหัวทำให้ชิงเทียนเสวียนจีสงบใจลงได้อีกครั้ง

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เขาจะเลือกและกำหนดได้มีเพียงอนาคตข้างหน้าเท่านั้น

ชิงเทียนเสวียนจีมองฝ่ามือขวาของตน อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคยังอยู่

“สักวันหนึ่ง ข้าจะไม่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเยี่ยงนั้นอีก!”

….

หลายหมื่นปีต่อมา

ขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ก็ถูกแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาขัดจังหวะ

[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสิบล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที บุกเบิกอนธการขึ้นท่ามกลางฟ้าบุพกาล กวาดล้างสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน องครักษ์อาณาเขตเต๋าระดับมหามรรคหนึ่งคน]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน เปิดใช้ความสามารถใหม่ของระบบ]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

บุกเบิกอนธการขึ้นท่ามกลางฟ้าบุพกาล จำเป็นต้องกวาดล้างสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลอย่างนั้นหรือ

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการที่เจตจำนงฟ้าบุพกาลอยากกำจัดตนเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกข้อที่สอง ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าตนเดินผิดทางเสียแล้ว แต่เพียงเพราะตัวเลือกแรกอันตรายเกินไป

[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน เปิดใช้ความสามารถใหม่ของระบบ]

[ยินดีด้วยท่านเปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบ: สวรรค์ประทานโชค]

[สวรรค์ประทานโชค: อนธการอุดมมหาโชคนับไม่ถ้วน ท่านรับสืบทอดมรดกแห่งอนธการจึงเปิดใช้งานสวรรค์ประทานโชคได้ทุกๆ สิบล้านปี จะปรากฏผู้มีชะตามหาโชคแต่กำเนิดขึ้นในหมู่เชื้อสายของท่านแบบสุ่มเลือก ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะเปิดใช้สวรรค์ประทานโชคหรือไม่ สามารถเก็บสะสมจำนวนครั้งเอาไว้ได้]

………………………………………………………………