ตอนที่ 913 ศักดิ์ศรี

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 913 ศักดิ์ศรี

ทว่า ไป๋จิ่นซิ่วรู้ดีว่าฟ่านอวี๋ไหวทำลงไปเพราะรักบุตรชายของตัวเองมาก เขาอยากปกป้องชีวิตบุตรชายของตัวเอง

ไป๋จิ่นซิ่วยืนอยู่ตรงหน้าฟ่านอวี้กานที่เงยหน้ามองมาทางนางอย่างวิงวอนทั้งน้ำตา หญิงสาวโน้มกายไปพยุงร่างของฟ่านอวี้กานให้ลุกขึ้น จากนั้นปัดเศษหญ้าบนศีรษะออกให้เขาแล้วกล่าวขึ้น “ไม่ต้องกลัว พี่หญิงใหญ่สั่งไว้แล้วว่าให้ขังพวกเจ้าพ่อลูกไว้ด้วยกันและส่งตัวกลับไปเมืองหลวง นางกำชับไม่ให้ทหารเหล่านั้นรังแกพวกเจ้าด้วย”

ดวงตาของฟ่านอวี้กานเป็นประกายขึ้นมาทันที “พี่สาวไป๋ไม่เอาชีวิตท่านพ่อข้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

“พี่หญิงใหญ่เพิ่งสถาปนาแคว้นต้าโจวขึ้นใหม่ ฟ่านอวี๋ไหวคือกบฏของแคว้นต้าจิ้น บัดนี้แคว้นต้าจิ้นล่มสลายลงแล้ว พี่หญิงใหญ่คงไม่เอาความต่อเพราะเห็นแก่หน้าเจ้า ทว่า คงไม่ใช้งานเขาอีกแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตามพวกเขาไปเถิด เดี๋ยวข้าจะให้คนนำยาห้ามเลือดไปให้!” ไป๋จิ่นซิ่วเอื้อมมือไปตบไหล่ฟ่านอวี้กานเบาๆ

ฟ่านอวี้กานได้ยินเช่นนี้จึงร้องไห้โฮออกมา เขาใช้แขนเสื้อที่เปื้อนสกปรกเช็ดน้ำตาของตัวเองลวกๆ ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ขอบพระคุณพี่สาวไป๋และฮูหยินฉินมากขอรับ!”

ฟ่านอวี้กานไม่เคยรู้สึกขอบคุณที่ไป๋ชิงเหยียนผลัดเปลี่ยนราชวงศ์เท่านี้มาก่อน เป็นจริงดั่งที่ไป๋จิ่นซิ่วกล่าว หากไม่มีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์และแคว้นใหม่ บิดาของเขาคงต้องตายสถานเดียว โทษกบฏไม่อาจละเว้นได้!

ทว่า หากมีการสถาปนาแคว้นใหม่ บิดาของเขาอาจพอมีทางรอดอยู่บ้าง

ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวกับฟ่านอวี้กานเสียงเบา “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพ่อของเจ้า ปล่อยให้เขาอยู่อย่างหวาดกลัวไปสักพัก!”

ฟ่านอวี้กานมองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของไป๋จิ่นซิ่ว จากนั้นมองไปทางบิดาที่ยังคงตะโกนด่าเขาอยู่ เขาพยักหน้าให้อย่างแรง “ไม่บอกเขาขอรับ ให้เขาอยู่อย่างหวาดกลัวไปอีกสักพัก ผู้ใดให้เขาตะโกนด่าข้าเช่นนี้กัน!”

ไป๋จิ่นซิ่วหลุดหัวเราะกับคำกล่าวของฟ่านอวี้กาน หญิงสาวเอื้อมมือตบไปที่ไหล่ของฟ่านอวี้กานอีกครั้ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ไปเถิด!”

หอลั่วหง

เฉวียนอวี๋กระอักเลือดออกมา เขาจับแขนของหมอแน่น “ร่างกายคือสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ตอนเด็กๆ ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องชำระร่างกายเข้าไปเป็นขันทีในวังหลวง ข้ามีอวัยวะน้อยกว่าคนปกติหนึ่งชิ้นแล้ว ข้าไม่อาจเสียขาไปได้อีกขอรับ!”

เฉวียนอวี๋ขายตัวเป็นขันทีในวังหลวงเพื่อนำเงินไปรักษาอาการป่วยของมารดา เขาคือบุตรชายคนโตของครอบครัว บิดามารดาไม่ยอมให้เขาทำเช่นนี้ ทว่า เขาชิงชำระร่างกายของตัวเอง จากนั้นบีบให้บิดามารดาส่งเขาไปเป็นขันทีในวังหลวง

ตอนนั้นเฉวียนอวี๋ยังเด็ก เขาไม่รู้ว่าควรเก็บอวัยวะสำคัญสำหรับบุรุษเอาไว้ วันหน้าเขาจะได้ถูกฝังในร่างที่สมบูรณ์

ร่างกายของเขาขาดอวัยวะไปชิ้นหนึ่งแล้ว ต่อให้ตายเฉวียนอวี๋ก็ไม่มีทางตัดขาของตัวเองทิ้งเด็ดขาด

ไป๋ชิงเหยียนผลักประตูเข้ามาด้านใน เฉวียนอวี๋ถูกทรมานจากสุราพิษจนขาดำคล้ำไปทั้งท่อน

เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียน เฉวียนอวี๋ที่มุมปากเปื้อนเลือดจึงเงยหน้าขึ้น “องค์…องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!”

ไป๋ชิงเหยียนเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง จากนั้นกล่าวกับหมอ “รักษาชีวิตคน ตัดขาเสีย!”

“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว” น้ำเสียงของเฉวียนอวี๋อ่อนล้า ร่างสั่นเทาไปทั้งร่าง “ข้าสูญเสียขาไปไม่ได้ขอรับ หากไม่มีขา ไม่สู้ปล่อยให้ข้าตายไปดีกว่าขอรับ”

“โง่สิ้นดี! การมีชีวิตอยู่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!” ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงบนเตียง “หากมัวรีรอต่อไปเจ้าจะตายนะ! เฉวียนอวี๋ เจ้ายังเด็ก วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล วันหน้าเจ้าจะรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นโชคดีเพียงใด ตอนที่ข้ารับรู้ข่าวการเสียชีวิตของบรรดาน้องชายข้าที่หนานเจียง ข้าอยากให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับมาแม้จะพิการก็ตาม! ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีญาติพี่น้องอยู่หรือไม่ ทว่า เจ้าลองถามครอบครัวของเจ้าดูก็ได้ว่าพวกเขาอยากให้เจ้ามีชีวิตรอดแม้จะพิการหรืออยากให้เจ้ารักษาขาของเจ้าไว้แล้วเสียชีวิตไปกันแน่!”

เฉวียนอวี๋ตะลึง ตอนเข้าวังหลวงเขาอายุยังน้อย เขาจำเหตุการณ์ในตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้ว เขาจำได้เพียงว่าบิดาของเขาตบหน้าเขาด้วยความโมโห มารดาของเขากล่าวว่าไม่อยากให้เขาใช้ชีวิตของตัวเองแลกเงินมาต่อชีวิตของนาง

เขาคิดว่าบิดามารดาของเขาโกรธที่เขาทำร้ายร่างกายที่พวกเขาให้มา หลายปีมานี้เฉวียนอวี๋จึงดูแลร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดี

ไป๋ชิงเหยียนจับบ่าของเฉวียนอวี๋ด้วยมือทั้งสองข้างแน่น จากนั้นหันไปมองหมอ “ลงมือได้!”

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเฉวียนอวี๋ดังขึ้นท่ามกลางกองไฟที่ลุกโชนราวกับก้องไปถึงสวรรค์

ตัดขา ห้ามเลือด…

ทุกขั้นตอนล้วนอยู่ในความเสี่ยง ทว่า หากไม่เสี่ยงก็ไม่อาจรักษาชีวิตของเฉวียนอวี๋ไว้ได้

ไป๋จิ่นซิ่วทำความสะอาดสนามรบอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนบันไดของหอลั่วหง

เมื่อจักรพรรดิต้าจิ้นที่ถูกขังอยู่ในหอลั่วหงได้ยินว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว เหลียงอ๋องเสียชีวิตแล้ว เขาจึงด่าเสียงรอดไรฟันด้วยความโมโห “พวกสวะ!”

องค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่มองไปทางจักรพรรดิต้าจิ้นที่ไม่กล้าขยับร่างกายแม้แต่น้อยพลางถอนหายใจยาวออกมา…

ในที่สุดแคว้นต้าจิ้นก็ล่มสลายในมือของคนสารเลวเช่นนี้สินะ

ไม่นานประตูห้องของหอลั่วหงก็ถูกเปิดออก ไป๋จิ่นซิ่วในชุดเกราะเดินเข้ามาด้านใน หญิงสาวทำความเคารพองค์หญิงใหญ่โดยไม่สนใจจักรพรรดิต้าจิ้นแม้แต่น้อย “ท่านย่า พวกเราทำความสะอาดเลือดที่ด้านนอกหมดแล้วเจ้าค่ะ ไฟกำลังไหม้หอลั่วหงมากขึ้นเรื่อยๆ จิ่นซิ่วกลัวว่ามันจะถล่มลงมา แม้จะสั่งให้ทหารช่วยกันดับไฟแล้ว ทว่า เพื่อความปลอดภัยของท่านย่า ท่านย่ารีบออกไปจากที่นี่พร้อมข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่มองดูท่าทีองอาจสง่างามของไป๋จิ่นซิ่ว ก่อนที่ไป๋จิ่นซิ่วจะนำทัพโจมตีเมืองหลวง นางลืมไปแล้วว่าหลานสาวคนนี้ของนางก็เคยติดตามสามีของนางไปออกรบเช่นเดียวกัน

เมื่อเห็นไป๋จิ่นซิ่วสวมชุดเกราะออกรบอีกครั้ง องค์หญิงใหญ่อดนึกถึงบรรดาหลานชายที่เสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงขึ้นมาไม่ได้…

ดียิ่งนักที่อาเจวี๋ยและอาอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่!

องค์หญิงใหญ่จับขอบโต๊ะแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ไป๋จิ่นซิ่วเข้าไปช่วยประคองร่างองค์หญิงใหญ่ หญิงสาวเห็นองค์หญิงใหญ่เริ่มนับลูกประคำในมืออีกครั้ง ไม่นานจึงกล่าวขึ้น “จักรพรรดิต้าจิ้นอยากเสด็จขึ้นไปบนหอบูชาเก้าชั้นอยู่ตลอดเวลา ข้าคิดว่าหอลั่วหงสูงมากเพียงพอแล้ว จักรพรรดิต้าจิ้นจงคิดเสียว่านี่คือหอบูชาเก้าชั้น อยู่ภาวนาขอพรให้อายุยืนยาวอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด!”

องค์หญิงใหญ่กล่าวเสียงอ่อนโยนขึ้นช้าๆ ราวกับหญิงชราที่มีเมตตา ทว่า ความหมายแฝงไปด้วยไอสังหารอย่างเด็ดเดี่ยว

ในเมื่อไป๋ชิงเหยียนจะขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นจักรพรรดิต้าจิ้นก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

จักรพรรดิต้าจิ้นได้ยินคำกล่าวขององค์หญิงใหญ่จึงเบิกตาโพลง “เสด็จป้า ท่านต้องการให้เราตายอย่างนั้นหรือ!”

“ไปเถิด!” องค์หญิงใหญ่ตบไปที่หลังมือของไป๋จิ่นซิ่วเบาๆ จากนั้นผลักไป๋จิ่นซิ่วออกไปจากห้องยิ้มๆ “ไปเถิด!”

“พี่หญิงใหญ่ของเจ้าต้องเป็นจักรพรรดินีที่ดีที่รักและห่วงใยชาวบ้านได้แน่นอน!” ดวงตาทั้งสองข้างขององค์หญิงใหญ่คลอไปด้วยน้ำตา รอยยิ้มในดวงตากว้างขึ้นทุกที “กองทัพไป๋ปฏิญาณตนว่าจะมีชีวิตเพื่อชาวบ้าน สละชีพเพื่อบ้านเมือง ย่าคือองค์หญิงใหญ่ของราชวงศ์ต้าจิ้น ย่าต้องปกป้องต้าจิ้นและสละชีพเพื่อต้าจิ้นเช่นเดียวกัน!”

“ท่านย่า!”

“ย่ามีชีวิตอยู่จนถึงปูนนี้แล้ว ย่ารู้ดีว่าย่าคงอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน นี่คือความภาคภูมิใจสุดท้ายที่ย่าจะทำเพื่อราชวงศ์หลินในฐานะองค์หญิงใหญ่ได้ ให้ย่าได้รักษาศักดิ์ศรีของย่าไว้เถิด!” องค์หญิงใหญ่กลั้นน้ำตาเอาไว้ นางนึกถึงเจี่ยงหมัวมัวขึ้นมาได้จึงเอ่ยกำชับไป๋จิ่นซิ่ว “เจี่ยงหมัวมัวดูแลพวกเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ฝากดูแลนางให้ดีด้วย!”

“หากท่านย่าไม่ไป จิ่นซิ่วก็ไม่ไปเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นซิ่วยืนกราน

ถึงแม้ไป๋จิ่นซิ่วจะเข้าใจท่านย่า ทว่า นางไม่อาจปล่อยให้ท่านย่าตายไปต่อหน้าต่อตาของตัวเองได้