บทที่ 898 คุณแม่ปารวีที่ดีใจ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“กำลังดูทอมแอนด์เจอร์รี่ค่ะ” ปาจรีย์วางรีโมตในมือแล้วตอบกลับ จากนั้นเลิกผ้าห่มเดินลงจากเตียงผู้ป่วย เดินไปหาคุณแม่ปารวี “แม่คะ แม่มาได้ยังไงคะ?”

“มาเยี่ยมลูก”คุณแม่ปารวีวางกระติกเก็บความร้อนในมือ ลูบศีรษะลูกสาว ตอบด้วยความรัก

ปาจรีย์เอาหน้าซบไหล่คุณแม่ปารวี “คุณพ่อละคะ?”

“คุณพ่อของลูกกำลังจัดสวนที่บ้าน บอกว่าหลังจากลูกกลับไป ให้ลูกเห็นสวนที่สวยงาม” คุณแม่ปารวีพูด

ภายในใจของปาจรีย์มีความอบอุ่นแล่นผ่าน “คุณพ่อดีจัง!”

“ทำไม ลูกบอกว่าพ่อดี ลูกว่าแม่ไม่ดี?” คุณแม่ปารวีแกล้งทำเป็นโมโห ทำหน้าไม่พอใจ “แม่ตุ๋นซุปไก่มาให้ลูก ตุ๋นหลายชั่วโมงแล้วยกมาให้ลูก แต่ลูกกลับดีจริงๆ เอ่ยปากก็มีแต่พอ”

“โอ๊ยแม่!” ปาจรีย์ไม่รู้ร้องไห้หรือหัวเราะ เธอกอดแขนคุณแม่ปารวีแล้วส่ายไปมา “พูดอะไรกันคะ ใครบอกว่าในสายตาของหนูมีแต่พ่อ ในสายตาของหนูก็มีแม่ด้วย คุณแม่ดูสิคะ ทันทีที่คุณแม่เข้ามาหนูก็มาต้อนรับแล้ว”

คุณแม่ปารวียิ้มอีกครั้ง “จ๊ะๆๆ แม่รู้ แม่ล้อเล่น พอได้แล้ว ลูกรีบกลับไปนอนบนเตียงเถอะ แม่ตักซุปไก่ตุ๋นให้”

“ค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า ปล่อยแขนคุณแม่ปารวี กลับไปนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง

คุณแม่ปารวีเอากระติกเก็บความร้อนวางไว้บนหัวเตียง หลังจากนั้นเปิดฝากระติกเก็บความร้อน หยิบถ้วยสะอาดขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วเริ่มตักน้ำซุป”

ดมกลิ่นหอมของซุปไก่ตุ๋นที่ลอยฟุ้ง ปาจรีย์น้ำลายสออย่างอดใจไม่ได้ “หอมจังค่ะ ไม่ได้กินซุปไก่ตุ๋นมานานแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกินเยอะๆ นะ” คุณแม่ปารวีพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นยื่นซุปไก่ตุ๋นให้ปาจรีย์ “นี่จ๊ะ ระวังร้อนนะ”

“หนูรู้ค่ะ วางใจเถอะ” ปาจรีย์ยิ้มให้คุณแม่ปารวี รับซุปไก่ตุ๋นมา แล้วใช้ช้อนคนเบาๆ

คุณแม่ปารวีดึงเก้าออกมาแล้วนั่งลง มองลูกสาวด้วยความรัก “ช่วงนี้อาการหนักไหม?”

ปาจรีย์รู้ว่าคุณแม่ปารวีถามถึงการแพ้ท้องของตน หลังจากกินซุปไก่ตุ๋น เธอก้มหน้าลงมองท้องของตนเอง แววตาอ่อนโยน “ช่วงนี้แพ้ท้องอยู่บ้าง แต่ว่าไม่แพ้หนักเท่าก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนหน้านี้เวลาแพ้ท้อง ก็อาเจียนหนักมาก ไม่เพียงแค่ไม่สดชื่น ยังไม่อยากจะกินอะไร แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ อาเจียนเล็กน้อยเป็นครั้งคราวเท่านั้น ถึงแม้ความอยากอาหารจะยังไม่กลับมาทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็กินอาหารได้แล้ว นี่ไงคะ ซุปไก่ตุ๋นที่เลี่ยนแบบนี้ หนูยังกินได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” คุณแม่ปารวีได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ เธอก็วางใจ “กินอาหารได้ก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นร่างกายรับไม่ไหว ไม่ดีกับลูกในท้อง”

“ใช่ค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า

คุณแม่ปารวีมองดูเธอ “ตอนนี้แพ้ท้องน้อยลงเป็นเรื่องที่ดี น่าจะอีกไม่นาน ก็จะไม่แพ้ท้องแล้ว”

“หนูถามหมอแล้วค่ะ ประมาณหลังจากสามเดือน ก็จะไม่ทรมานแล้ว” ปาจรีย์ดื่มซุปไก่ตุ๋นแล้วพูด

คุณแม่ปารวียิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ถูกต้อง สามเดือนแรกเวลาท้องเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดของผู้หญิง หลังจากผ่านสามเดือนนี้ไปก็ดีแล้ว”

“ค่ะ” ปาจรีย์ตอบ

คุณแม่ปารวีมองเธอด้วยความอ่อนโยนแบบนี้

มองเธอกินซุปไก่ตุ๋นจนหมด หลังจากกินซุปไก่ตุ๋นหมด เหยียดกายลุกขึ้น รับถ้วยในมือเธอ “ยังจะเอาเพิ่มไหม?”

ปาจรีย์ส่ายหน้า “ไม่เอาแล้วค่ะ พอแล้ว ถ้าตอนนี้กินเยอะ เดี๋ยวตอนกินข้าวจะกินไม่ลง”

“ก็จริง” คุณแม่ปารวีตอบ

ปาจรีย์มองแม่ “จริงด้วยค่ะ แม่ส่งซุปไก่ตุ๋นไปให้คุณพงศกรไหมคะ?”

คุณแม่ปารวีเก็บถ้วย แล้วตอบด้วยรอยยิ้มที่จางลงมาก:”ส่งไปให้แล้ว จะไม่ส่งได้ยังไง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่เขาเข้าโรงพยาบาลก็เพราะพวกเราเป็นต้นเหตุ ก่อนหน้านี้ลูกดูแลเขา ต้องคอยเตรียมอาหารการกินให้เขา ถึงแม้ตอนนี้ลูกจะไม่ดูแลเขาแล้ว แต่สิ่งที่เขาส่งให้ก็ต้องส่งให้ แม่เข้าใจข้อนี้”

ปาจรีย์เชิดคางขึ้น “หนูรู้อยู่แล้วค่ะว่าคุณแม่รอบคอบที่สุด”

คุณแม่ปารวียิ้มแล้วดีดหน้าผากปาจรีย์เบาๆ “ประจบเก่งจริงๆ ลูกคนนี้”

ปาจรีย์กุมหน้าผากที่ถูกดีดจนเจ็บ แล้วหัวเราะแฮะๆ

เวลานี้ คุณแม่ปารวีคิดบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน เอาถ้วยและตะเกียบเก็บเข้าไปในตะกร้าที่นำมา มองปาจรีย์แล้วเอ่ยถาม:”จริงด้วยปาจรีย์ สองสามวันนี้ ลูกกับเขามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม?”

รอยยิ้มของปาจรีย์ชะงักเล็กน้อย จากนั้นหลบตาลง “แม่หมายถึง?”

“พวกลูกทะเลาะกันอีกแล้วรึเปล่า?” คุณแม่ปารวีมองเธอแล้วถามต่อ:”สองสามวันนี้ ถึงแม้แม่ไม่ได้มาเยี่ยมลูกทุกวัน แต่ก็มาสองสามครั้ง แม่เห็นว่า บรรยากาศระหว่างลูกกับเขามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย”

ปาจรีย์คิดไม่ถึงว่าแม่ของตนจะดูออกว่าระหว่างตนกับพงศกรมีปัญหากัน เธอกัดริมฝีปากล่าง ฝืนยิ้มแล้วพูดต่อ “คุณแม่คะ ช่วงนี้หนูไม่ได้เจอเขา แม่รู้ได้ยังไงคะว่าบรรยากาศระหว่างหนูกับเขาผิดปกติ?”

“พวกลูกไม่ได้เจอกัน แต่ว่าแม่ไปเจอเขามา แม่รู้สึกได้” คุณแม่ปารวีพูด

ปาจรีย์จับฝ่ามือ ไม่ได้พูดอะไร

ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง

คุณแม่ปารวีจ้องมองลูกสาวของตนเอง เห็นลูกสาวก้มหน้าลง จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวกำลังคิดอะไร ทอดถอนหายใจ “เป็นจริงตามที่คิด ระหว่างพวกลูกมีปัญหากัน ปาจรีย์ ลูบอกแม่มา ระหว่างพวกลูกเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ต้องรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับตระกูลจิรดำรงค์ของพวกเรา แม่กลัวว่าเขาจะโมโหแล้ว……”

“วางใจเถอะค่ะ เขาไม่ทำแน่นอน” ปาจรีย์เงยหน้าขึ้นมองคุณแม่ปารวีแล้วพูด

เธอรู้ว่าแม่จะพูดอะไร

แม่กังวลว่าเธอจะมีปัญหากับพงศกร ทำให้พงศกรคิดจะทำแท้งลูกในท้องของเธอ และหมายหัวพ่อของเธอ

คุณแม่ปารวีขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความกังวล “ลูกรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำ?”

นัยน์ตาของปาจรีย์ทอประกายครู่หนึ่ง “เขาเป็นคนพูดเองค่ะ ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่ว่าหนูสัมผัสได้ว่าเขาจะไม่ทำ”

“ลูกมั่นใจขนาดนี้?” คุณแม่ปารวีขมวดคิ้ว

ปาจรีย์เม้มริมฝีปากล่าง ไม่ได้พูดอะไร

ความจริง เธอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกว่าพงศกรจะไม่ทำแบบนั้น

สัญชาตญาณบอกกับเธอว่า เขาไม่ทำ

เห็นลูกสาวเงียบ คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ พวกเราก็ไม่ต้องกลัว อย่างมากมาไม้ไหนก็รับมือไม้นั้น”

ปาจรีย์ยกมุมปากขึ้น ตอบอื้ม

หลังจากนั้น เธอก็พูดต่อ:”จริงด้วยค่ะ หนูมีข่าวดีจะบอกพวกแม่ค่ะ”

“หื้ม?” คุณแม่ปารวีแปลกใจ “ข่าวดีอะไร?”

“พงศกรจะไปจากที่นี่ระยะหนึ่งค่ะ” ปาจรีย์พูดด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่ปารวีชะงักครู่หนึ่งก่อน จากนั้นยิ้มด้วยความเซอร์ไพรส์ “จริงเหรอ?”

“จริงค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า “เขาเป็นคนบอกหนูเอง เขาบอกหนูเมื่อหลายวันก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีมาก!” คุณแม่ปารบีปรบมือด้วยความดีใจ

ปาจรีย์รีบตอบ “ฬช่ค่ะ ดังนั้น นี่เป็นข่าวดีไหมคะ”

“แน่นอนว่าเป็นข่าวดีสิ ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวดี แล้วเรื่องไหนถึงจะเรียกว่าข่าวดี” คุณแม่ปารวีกลอกตามองบนลูกสาว แล้วพูดต่อ:”นับตั้งแต่เขามาที่นี่ พวกเราพ่อแม่ลูกทั้งสอมคน ไม่ได้พักหายใจเลย ต้องหวาดกลัวทุกคน ใช้ชีวิตโดยทนกับสีหน้าของเขา จนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว ตอนนี้รู้ว่าเขาจะไป แม่รู้สึกว่าท้องฟ้าสดใสขึ้นมาทันที แต่ว่าลูกก็เหลือเกิน ทำไมถึงไม่บอกข่าวดีนี้ให้พวกแม่รู้เร็วกว่านี้?”

เธออดไม่ได้ที่จะตีลูกสาวเบาๆ หนึ่งครั้ง

ปาจรีย์แลบลิ้น “ตอนนั้นคิดไม่ถึงไงคะ”

คุณแม่ปารวีส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา “ลูกเนี่ยนะ!”

“แต่ว่าแม่คะ พวกแม่อย่าด่วนดีใจเลยค่ะ เมื่อกี้หนูบอกว่า พวกจะไม่อยู่ระยะหนึ่ง ไม่ใช่ไปแล้วไม่กลับมา” สีหน้าของปาจรีย์เคร่งขรึมเล็กน้อย

คุณแม่ปารวีพยักหน้า “แม่รู้ เมื่อกี้แม่ฟังอยู่ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาแค่เขาไปก็ดีแล้ว จริงด้วยปาจรีย์ เขาได้บอกลูกรึเปล่าว่าจะไปไหน? ไปทำอะไร?”