ตอนที่ 918 สัญญาณ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 918 สัญญาณ

หลินคังเล่อรู้สึกว่าหมอหงกล่าวมีเหตุผล ชีวิตของอดีตรัชทายาทจะเทียบกับชีวิตของไป๋ชิงเหยียนที่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไรกัน เขาพยักหน้า “ขอรับ ข้าจะพาหมอไปดูอาการของเขาก่อน จะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับชะตาของเขา สหายของเราที่ได้รับบาดเจ็บจากเพลิงไหม้ก็มีไม่น้อย…”

ไม่รอให้หลินคังเล่อกล่าวจบ สีหน้าของหมอหงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ส่งกลับมารักษาที่ค่ายหมดแล้วหรือไม่ ได้รับบาดเจ็บกี่คน”

ไม่รอให้หลินคังเล่อเอ่ยตอบ หมอหงแบกกล่องยาเตรียมจากไปทันที “ช่างเถิด ข้าจะไปดูสักหน่อย…”

เมื่อหลินคังเล่อเห็นหมอหงแบกกล่องยาจากไป เขาอยากเอื้อมมือไปรั้งหมอหงไว้ ทว่า สุดท้ายได้แต่เม้มปากมองไปทางเสิ่นเทียนจือ “เขาไม่ได้จะอยู่เฝ้าฝ่าบาทที่นี่หรอกหรือ…”

เสิ่นเทียนจือเอื้อมมือไปตบไหล่ของหลินคังเล่อเบาๆ หมอหงไม่อยากเวลากับอดีตรัชทายาทของแคว้นต้าจิ้นเท่านั้น ทว่า ในสายตาของหมอทหารอย่างหมอหง ทหารเหล่านั้นล้วนแตกต่างออกไปอยู่แล้ว

เสิ่นเทียนจือมองดูก้อนเมฆที่บดบังดวงจันทร์บนท้องฟ้า เรารู้สึกว่าอากาศเริ่มชื้นขึ้นแล้ว ใบหน้าของเสิ่นเทียนจื่อส่อแววดีใจ ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตกลงมาแล้ว

เทียนในกระโจมใหญ่ใกล้จะดับลงหมดแล้ว ภายในกระโจมเงียบจนได้ยินเสียงต้นไม้และแมลงบริเวณรอบๆ กระโจม

ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่วช่วยกันเช็ดใบหน้าและทำความสะอาดร่างกายให้องค์หญิงใหญ่

องค์หญิงใหญ่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะตาย ดังนั้นนางจึงตั้งใจแต่งตัวอย่างประณีต พวกนางจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดให้องค์หญิงใหญ่อีก

ลมด้านนอกพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ กระโจมใหญ่ถูกลมพัดจนเกิดเสียงเอี๊ยดอาด ไม่นานฝนก็เทกระหน่ำลงมา

เดิมทีชาวบ้านที่ถูกจัดให้พักอยู่ด้านหลังค่ายทหารเห็นเปลวเพลิงลุกลามเมืองลั่วหงเช่นนั้น พวกเขาเตรียมใจไว้แล้วว่าบ้านของพวกเขาคงถูกเผาไหม้หมด ทุกคนต่างร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ทว่า เมื่อฝนตกลงมาทุกคนต่างออกมาจากกระโจมที่พัก บางคนถึงกับคุกเข่าร้องไห้ขอบคุณสวรรค์ที่ประทานฝนเป็นทางรอดให้พวกเขา

เปลวเพลิงในเมืองลั่วหงส่ายไปมา ทว่า ไม่อาจหลบหนีสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาราวกับเม็ดไข่มุกได้ ไอร้อนจากเปลวไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ไอน้ำค่อยๆ ปกคลุมเมืองลั่วหง เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ ช่างดูราวกับดินแดนสวรรค์

ด้านล่างบันไดสูงของหอลั่วหง หงเชี่ยวกำลังค้นหาศพของเหลียงอ๋องที่ถูกไป๋จิ่นซิ่วโยนทิ้งไว้ในกองซากศพที่ถูกไฟเผาไปเกือบครึ่ง ร่างของหญิงสาวเต็มไปด้วยเขม่าควัน เสื้อผ้าถูกเผาจนเป็นรูโหวและคลุ้งไปด้วยกลิ่นไหม้

สองมือของหญิงสาวถูกไฟเผาจนเป็นรอยแดง บัดนี้เน่าเฟะจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่า หญิงสาวยังคงข่มความเจ็บปวดค้นหาศพของเหลียงอ๋องต่อไปด้วยร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”

เมื่อฝนตกกระหน่ำลงมา ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยไอร้อนราวกับน้ำร้อนที่กำลังเดือด หงเชี่ยวรู้สึกร้อนจนแทบเป็นลมหมดสติ หญิงสาวเริ่มหายใจติดขัด ทว่า นางยังคงไม่พบศพของเหลียงอ๋อง!

หญิงสาวไม่รู้ว่ามีทหารที่จงรักภักดีคุ้มกันเหลียงอ๋องหนีไปได้แล้วหรือไม่ ทว่า นางฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ

ขณะที่หงเชี่ยวกำลังพลิกศพออกมาดูทีละศพ ภาพตรงหน้าของนางเริ่มมืดลง ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้น

ทนไม่ไหวแล้ว…

หญิงสาวขยับนิ้วมือเล็กน้อย ทว่า สุดท้ายก็ฝืนต่อไปไม่ไหว

“ทางนี้! ทางนี้ยังมีสตรีเหลืออยู่อีกคน ยังมีลมหายใจอยู่!”

ก่อนที่หงเชี่ยวจะหมดสติไป หญิงสาวได้ยินคนตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น นางมองเห็นอย่างเลือนรางว่าเป็นทหารในชุดนักรบ จากนั้นภาพตรงหน้าก็มืดสนิทลงในทันที

พายุฝนตกกระหน่ำทั้งคืน แม้เปลวเพลิงจะไม่ได้มอดดับสนิท ทว่า มันไม่ได้ลุกโหมอย่างรุนแรงเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว บัดนี้มีเพียงภูเขาทางด้านหลังหอลั่วหงเท่านั้นที่ยังไฟไหม้อยู่ หลินคังเล่อพาทหารจำนวนหนึ่งไปช่วยดับไฟที่หลังภูเขาอีกรอบ

ยามเฉิน[1]เมฆหมอกที่บดบังท้องฟ้าค่อยๆ สลายหายไปเผยให้เห็นแสงของดวงอาทิตย์ แสงสีทองค่อยๆ โผล่ออกมาจากขอบฟ้า

แม้จะยังไม่ได้ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ทว่า ผู้คนรับรู้สัญญาณแล้วว่าท้องฟ้ากำลังจะสว่างขึ้น

แอ่งน้ำทุกแอ่งในเมืองลั่วหงสะท้อนภาพก้อนเมฆที่กำลังลอยหายไปจากท้องฟ้าและแสงสีทองที่ค่อยๆ ปรากฏออกมา แสงสีทองส่องกระทบลงบนรองเท้าหนังของเหล่าทหารสลับกับกีบเท้าของม้าศึก

ทหารบางส่วนได้รับคำสั่งให้ออกค้นหาทหารของราชวงศ์เก่าที่หนีออกไปจากเมืองไม่ทัน

ทหารบางส่วนได้รับคำสั่งให้ออกสำรวจบ้านเรือนของชาวบ้าน ดูว่ายังพอพักอาศัยได้หรือไม่ บ้านเรือนที่ถูกเผาหมดทั้งหลังถูกจดบันทึกตามคำสั่งของหลินคังเล่อเพื่อเตรียมสร้างบ้านหลังใหม่ให้ชาวบ้านได้พักอาศัย

เมื่อลูกน้องของหลินคังเล่อสำรวจความปลอดภัยในเมืองลั่วหงเสร็จแล้วจึงไปรายงานหลินคังเล่อ หลินคังเล่อตัดสินใจไม่ได้ว่าควรปล่อยให้ชาวบ้านที่รีบร้อนอยากเข้าไปสำรวจบ้านของตัวเองเข้าไปในเมืองเลยหรือไม่ เขาจึงรีบวิ่งกลับไปขอความเห็นจากไป๋ชิงเหยียนที่กระโจม

เสิ่นเทียนจือยืนเฝ้าอยู่นอกกระโจจมทั้งคืน ทว่า ด้านในกระโจมกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย เสิ่นเทียนจือเป็นกังวลมาก

หลินคังเค่อก้าวไปด้านหน้าทำความเคารพเสิ่นเทียนจือที่หนวดเคราเริ่มรุงรัง เขามองไปทางกระโจมที่พักแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามเสิ่นเทียนจือเสียงเบา “ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้างขอรับ”

“ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่า น่าจะไม่เป็นอันใด” เสิ่นเทียนจือนึกถึงอดีตรัชทายาทแคว้นต้าจิ้นขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามหลินคังเล่อ “อดีตรัชทายาทแห่งแคว้นต้าจิ้นเป็นเช่นไรบ้าง ตายแล้วหรือไม่”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าของหลินคังเล่อส่อแววหงุดหงิดเล็กน้อย “ยังไม่ตายขอรับ เหตุใดถึงดวงแข็งเช่นนี้กัน เสียเลือดมากถึงเพียงนั้นยังรอดชีวิตมาได้ ข้ากำชับหมอทหารว่าไม่ต้องพยายายามมากเกินไปนัก แค่รักษาไปตามอาการก็พอ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังรอดชีวิต ทว่า ต่อจากนี้คงต้องพึ่งยาไปตลอดชีวิตแล้ว!”

“อย่างนั้นหรือ…” น้ำเสียงของเสิ่นเทียนจือแฝงไปด้วยความรู้สึกเสียดาย หากอดีตรัชทายาทเสียชีวิตลง ฉินซ่างจื้อที่ไป๋ชิงเหยียนอยากได้มาใช้งานมาโดยตลอดจะได้หันมาจงรักภักดีต่อไป๋ชิงเหยียนอย่างชอบธรรม เสิ่นเทียนจื้อเม้มปากแน่น จากนั้นถามต่อ “แล้วฉินซ่างจื้อเล่า เขาไม่อยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ”

หลินคังเล่อโบกมือ “ไม่รู้ว่าอดีตรัชทายาทให้ฉินซ่างจื้อผู้นั้นกินสิ่งใดเข้าไป เขาถึงได้ดูแลอดีตรัชทายาทราวกับพ่อดูแลลูกก็ไม่ปาน ข้าว่าเราคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉินซ่างจื้อไม่มีทางหันมาสวามิภักดิ์กับฝ่าบาทหรอกขอรับ หากรู้เช่นนี้ข้าคงไม่พากลับมาแล้ว ข้าควรปลิดชีพของเขาเสียตั้งแต่แรกจะได้สิ้นเรื่อง!”

ที่หลินคังเค่อพาอดีตรัชทายาทกลับมาด้วยเมื่อวานเป็นเพราะเห็นแก่หน้าฉินซ่างจื้อเท่านั้น…

เมื่อวานตอนที่ไป๋ชิงเหยียนเข้าไปในเมืองลั่วหง หญิงสาวนัดฉินซ่างจื้อออกมาพบและกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นกับเขา หญิงสาวคงต้องการให้ฉินซ่างจื้อมาทำงานรับใช้นาง ทว่า นึกไม่นึกเลยว่าอดีตรัชทายาทโดนแทงเข้าที่หน้าอกเช่นนี้จะยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อีก

“องค์หญิงใหญ่คงไม่รอดแล้ว…” หลินคังเล่อถอนหายใจพลางกำดาบที่เอวแน่น “อีกไม่นานก็จะถึงวันพระราชพิธีแล้ว ฝ่าบาทควรรีบเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว เราจะปล่อยพระศพขององค์หญิงใหญ่ไว้เช่นนี้ไม่ได้ อีกอย่างฝ่าบาทต้องรีบเสด็จกลับไปเตรียมตัว เดี๋ยวท่านเข้าไปทูลฝ่าบาทว่าข้าจะนำทหารอยู่ช่วยเหลือชาวบ้านที่นี่ ส่วนท่านนำทหารคุ้มกันฝ่าบาทกลับเมืองหลวงดีหรือไม่”

เสิ่นเทียนจือหันไปมองหลินคังเล่อนิ่งๆ คนผู้นี้ช่างรู้จักแบ่งหน้าที่ยิ่งนัก องค์หญิงใหญ่คือย่าที่เลี้ยงดูไป๋ชิงเหยียนมาตั้งแต่เล็ก หญิงสาวผูกพันกับองค์หญิงใหญ่มาก ตอนนี้องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์ลงแล้ว ไป๋ชิงเหยียนกำลังเสียใจ หลินคังเล่อให้เขาเข้าไปกล่าวเรื่องเหล่านี้กับไป๋ชิงเหยียนอย่างนั้นหรือ

[1]ยามเฉิน เวลาระหว่าง 07.00-09.00 นาฬิกา