บทที่ 936 เขากลับมาแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 936 เขากลับมาแล้ว

บทที่ 936 เขากลับมาแล้ว

กู้เสี่ยวหวานกำมือแน่น กุลีกุจอวางท่อนเหล็กในมือลงที่พื้นและปลดกลอนทั้งสามด้านของหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดหน้าต่างก็ถูกเปิดออก

ฉินเย่จือในชุดเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ด้านข้างหน้าต่าง ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย หากแต่ยังคงดูสง่างาม

ครั้นกู้เสี่ยวหวานเห็นฉินเย่จือ หยาดน้ำตาพลันไหลพรั่งพรูออกมา “พี่เย่จือ”

จากนั้นนางก็โถมตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของฉินเย่จือ

ทั้งสองไม่ได้เจอกันมากกว่าหนึ่งปี พวกเขาจึงไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงของกันและกัน และโผเข้ากอดกันแน่น

“หวานเอ๋อร์…” ฉินเย่จือเรียกชื่อของนาง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นไปหมด ความปรารถนาที่นางรอคอยมาตลอด ในที่สุดนางก็ได้เจอเขาและได้กลิ่นที่คุ้นเคยมาจากร่างกายของเขา กู้เสี่ยวหวานเอาแต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของฉินเย่จือ

ฉินเย่จือสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกไปจากเจ้าของร่างเล็กในอ้อมกอด ในตอนแรกเขารู้สึกปีติยินดี จากนั้นเขาก็ได้แต่โทษตนเอง

ฉินเย่จือจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ “หวานเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”

เขาตกลงกับนางว่า เขาจะกลับมาภายในสามเดือนหรือครึ่งปี แต่เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในราชสำนัก เขาจึงไม่สามารถละทิ้งภารกิจตรงนั้นได้ และใช้เวลาจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาหนึ่งปี

หากไม่ใช่เพราะความคิดถึงต่อกู้เสี่ยวหวานที่ไม่อาจเก็บไว้อีกต่อไป เขาอาจจะยังติดอยู่ในวังหลวง และไม่สามารถแยกตัวเองออกมาได้

พวกเขาโอบกอดกันแน่นอย่างโหยหาย จนกระทั่งอารมณ์ของลูกแมวตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาเริ่มคงที่ จากนั้นเขาก็คลายอ้อมกอดและมองไปที่ลูกแมวตัวน้อยตรงหน้าเขา

ไม่เจอกันหนึ่งปี

ลูกแมวของเขาโตแล้ว

ผมของกู้เสี่ยวหวานนุ่มสลวยสุขภาพดี ยามสัมผัสราวกับได้สัมผัสผ้าไหมชั้นสูง อีกทั้งนางยังสูงขึ้น แต่เนื่องจากความสูงของฉินเย่จือ ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานสูงจึงเพียงหน้าอกของเขาเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่แล้วก็โล่งใจ

เขาแก่กว่าตัวเองเจ็ดปีและกินอาหารบำรุงร่างกายมามากมาย ในอนาคตเมื่อถึงช่วงที่ร่างกายของเขาหยุดโตก็จะถึงคราวที่นางจะเติบโตขึ้น

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เพียงเอื้อมมือไปจับคางเขา

ดูเหมือนว่าในอนาคตต้องกินมากกว่านี้

กู้เสี่ยวหวานเม้มปากแน่นราวกับว่ารู้สึกน้อยใจ ฉินเย่จือยิ้มออกมาหลังจากเห็นมัน “หวานเอ๋อร์เป็นอะไรไป ไม่แปลกใจเลยหรือที่เห็นข้า”

“ไม่แปลกใจเลย แต่ข้าเพียงตกใจ” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความโกรธ

คนผู้นี้เคยลั่นวาจาว่าจะกลับมาเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งปี แต่เขายังปล่อยให้นางรอต่ออีกครึ่งปี

ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ ความคิดถึงทั้งหมดในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ล้นทะลักออกมา

“เจ้าไปที่ไหนมากันแน่ เจ้าตกลงกับข้าว่าจะกลับมาอย่างช้าที่สุดภายในครึ่งปี แต่นี่ผ่านไปแล้วปีหนึ่ง เจ้าถึงเพิ่งจะกลับมา” เมื่อมองไปยังฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แววตาเผยความดื้อรั้นและน้อยใจออกมา

เนื่องจากนางพักผ่อนอยู่ ร่างกายจึงสวมใส่เพียงชุดบาง ๆ หลังจากที่ฉินเย่จือเห็นมัน เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น

เขากอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนแน่น โดยไม่สนใจที่คำพูดของเสี่ยวหวานเลย เด็กหญิงเตรียมจะส่งเสียงร้องโวยวาย จากนั้นก็คิดได้ว่านี่เป็นเวลากลางคืน ดังนั้นจึงรีบปิดปากของตัวเองแน่น

ดวงตาสีดำกลมโตคู่หนึ่งจ้องมองไปที่ฉินเย่จืออย่างตำหนิติเตียน

แมวน้อยตัวนี้ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า ฉินเย่จือระงับความปีติยินดีในใจและความปรารถนาที่จะกอดนาง และวางกู้เสี่ยวหวานลงใต้ผ้าห่มอย่างไม่เต็มใจ

ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ฉินเย่จือก็ทำท่าทางบอกให้นางเงียบลง

กู้เสี่ยวหวานรีบยกมือขึ้นปิดปากเมื่อได้ยินเสียงเร่งรีบของป้าจางดังขึ้นมาจากข้างนอก “เสี่ยวหวาน เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเจ้าร้อง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

ครั้นได้ยินเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอ้… ป้าจาง เมื่อครู่ข้าลุกขึ้นไปดื่มน้ำจึง แล้วลืมใส่รองเท้า จึงหนาวเท้าเล็กน้อย”

เมื่อป้าจางได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจและพูดว่า “เอาล่ะ เมื่อดื่มน้ำแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะปูเสื่อบนพื้นให้ เจ้าจะได้ไม่เย็นเท้าอีก”

กู้เสี่ยวหวานตอบรับว่าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว และบอกให้ป้าจางกลับไปพักผ่อน

ป้าจางไม่ได้กังวลว่าจะมีผู้ร้ายบุกเข้ามา

เพราะหน้าต่างบ้านของกู้เสี่ยวหวานหันหน้าไปทางลานหลังบ้าน ตราบใดที่กู้เสี่ยวหวานปิดหน้าต่างก็จะไม่มีใครสามารถเปิดหน้าต่างด้านนอกได้ นอกจากนี้ยังมีภูเขาสูงชันด้านหลังบ้านเกรงว่าจะไม่มีใครกล้าปีนมาที่นี่

ด้านหน้าเป็นห้องโถงหลักซึ่งใช้รับแขก ตราบใดที่ประตูยังลงกลอนไว้ก็ไม่มีผู้ใดบุกรุกเข้ามาได้

ประตูและหน้าต่างทั่วทั้งบ้านจะถูกลงกลอนไว้ในยามค่ำคืน และคนนอกไม่สามารถเข้ามาได้

เมื่อได้ยินเสียงของป้าจางค่อย ๆ หายไป กู้เสี่ยวหวานก็กะพริบตาปริบ ๆ มองไปที่ฉินเย่จือ นางมีคำถามมากมายอยากจะถามออกมา แต่เมื่อถึงเวลาก็รู้สึกว่าคำพูดนับพันอัดแน่นอยู่ในลำคอ รู้สึกว่าลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก

นางทำได้เพียงนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง และมองไปที่ฉินเย่จือที่กำลังส่งยิ้มให้

มันดึกมากแล้ว เกรงว่าอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะรุ่งสาง

กู้เสี่ยวหวานเดาว่าการที่ฉินเย่จือมาที่นี่ในตอนกลางคืน เขาคงไม่ได้ดื่มน้ำร้อนหรือกินอาหารเลย และคงไม่ได้นอนพักผ่อนด้วยซ้ำ

ถ้อยคำอยากตำหนิเมื่อครู่ในขณะนี้ได้กลายเป็นเพียงความรู้สึกเป็นห่วง

นางเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทุกข์ “พี่เย่จือ เจ้าหิวหรือไม่?”

ฉินเย่จือส่ายหน้า เอาแต่จ้องหน้ากู้เสี่ยวหวานตาไม่กะพริบ “ข้าไม่หิว”

เขาไม่หิวจริง ๆ เพื่อที่จะได้กลับมาโดยเร็วที่สุด เขาจึงกินอาหารแห้งที่พกมาตลอดทาง ครั้นรู้สึกเหนื่อยก็แวะพักผ่อนที่วัดร้าง เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งก็รีบเดินทางต่อโดยไม่หยุดพัก จากเมืองหลวงมายังเมืองหลิวเจียมีระยะทางหลายพันลี้ หากไม่กลัวว่าม้าจะเหนื่อย เขาก็อยากจะรีบกลับมาโดยไม่พักผ่อน

โชคดีที่กลับมาทันวันส่งท้ายปีเก่า

มุมปากของฉินเย่จือยกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น ทำให้บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นตามไปด้วย

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป นางยื่นมือออกมาจากใต้ผ้านวมและสัมผัสลงใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของฉินเย่จือ

“เดินทางมาหลายวัน เจ้าเหนื่อยหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเป็นทุกข์

ดวงตาของฉินเย่จือมีสีเข้ม ใต้ตาปรากฏรอยเขียวคล้ำ และมีเส้นเลือดแดงก่ำแผ่ซานเต็มดวงตา อีกทั้งผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง

ฉินเย่จือยิ้มพลางยื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง บางทีใบหน้าของเขาอาจแตกแห้งเล็กน้อยหลังจากโดนสายลมหนาวพัดกระทบผิวหน้าเป็นเวลานาน

——————————————-