บทที่ 967 อดีตของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 967 อดีตของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยก็มองไม่เห็นเจ้านวฟ้าบุพกาลเช่นกัน แต่มองจากท่าทางตระหนกลนลานของดวงจิตนพชาติแล้ว เขาก็พอจะคาดเดาถึงความเป็นจริงได้

เจ้านวฟ้าบุพกาลมาแล้ว!

หานเจวี๋ยโล่งใจแล้ว

สิ่งที่เขาเลือกเดิมพันคือเจ้านวฟ้าบุพกาลจะตัดสินอย่างยุติธรรม หากสามารถคืนชีพให้สรรพสิ่งได้ด้วยจะดีที่สุด

ในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาใช้ตราปฐมยุคประทับนภารับตัวเหล่าศิษย์ของตนเข้ามา แต่ยังมีอีกสองคนที่อยู่ด้านนอกไม่ได้รับตัวเข้ามา คนแรกคือจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย คนที่สองคือหานชิงเอ๋อร์

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมีผู้สร้างมรรคาหนุนหลังอยู่ กลับเป็นหานชิงเอ๋อร์ที่ค่อนข้างน่าเวทนา

แต่ก็ช่วยไม่ได้

หากฟื้นคืนชีพกลับมา วันหน้าหานเจวี๋ยค่อยชดเชยให้นาง

หานเจวี๋ยคิดว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลจะต้องมีวิธีคืนชีพให้สรรพสิ่งแน่นอน มิเช่นนั้นคงเข้ามาขัดขวางนานแล้ว

ตัวตนเหนือชั้นเช่นนั้น หากฟ้าบุพกาลมีภัยไหนเลยจะไม่ตระหนักได้ล่วงหน้า

เจ้านวฟ้าบุพกาลไม่ได้ขัดขวางหานเจวี๋ย แปลว่าเดิมทีก็ไม่สนอยู่แล้ว

หานเจวี๋ยเริ่มตั้งตาคอย

ดวงจิตนพชาติคร่ำครวญอ้อนวอน ยามที่เขาเอ่ยคำว่าท่านพ่อออกมา เทพมหาทัณฑ์และผู้ทรงพลังที่เร้นกายอยู่ในความมืดล้วนตื่นตะลึง

ท่านพ่อหรือ

นี่คือเจตจำนงฟ้าบุพกาลมิใช่หรือ

เจตจำนงจะมีท่านพ่อได้อย่างไร

พวกเทพมหาทัณฑ์สับสนแล้ว

หรือว่าคนผู้นี้จะไม่ใช่เจตจำนงฟ้าบุพกาล

นอกจากดวงจิตนพชาติแล้ว ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมาวางลงบนศีรษะของดวงจิตนพชาติ

ดวงจิตนพชาติตกใจจนไม่กล้าขยับตัวชั่วขณะ

ตูม!

ดวงจิตนพชาติพลันระเบิดออกไปในทันใด สลายเป็นเถ้าปลิดปลิว

ในเวลานี้เอง เทพมหาทัณฑ์คล้ายจะสัมผัสถึงบางสิ่งได้ หน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่อาจควบคุมได้

เขารับรู้ได้ว่าทั่วทุกมุมในฟ้าบุพกาลเริ่มมีสัญญาณชีพฟื้นคืนมา สิ่งมีชีวิตที่ดับสูญไปเหล่านั้นฟื้นคืนชีพกลับมาอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในอาณาเขตปฐมภพ อริยะมหามรรคนับล้านล้วนฟื้นคืนชีพกลับมา กลิ่นอายรวมตัวกัน ยิ่งใหญ่ปานกลุ่มควัน

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

แจ้งเตือนแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย

[เจ้านวฟ้าบุพกาลต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามในใจว่า ‘หากยอมรับคำขอเข้าฝัน ข้าจะตายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

หานเจวี๋ยสบายใจอย่างสมบูรณ์แล้ว เช่นนี้สิถึงจะสมเป็นเจ้าแห่งฟ้าบุพกาลตัวจริง ไหนเลยจะใจแคบถึงเพียงนั้น!

เขาเลือกยอมรับอย่างเงียบเชียบ

ในแดนความฝัน

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พบว่าตนมาโผล่ในห้วงมิติปราณม่วงกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง กว้างไกลไร้ขอบเขต

ที่นี่คือ…

ปราณอนธการ!

อนธการ!

หานเจวี๋ยหันมองออกไป เห็นเพียงว่ามีเงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งอยู่ไกลออกไป กำลังมองมาทางเขาจากที่ไกลๆ

“ท่านคือผู้ใด”

หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แม้จะทราบอยู่แล้วก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้

น้ำเสียงแหบพร่าแว่วดังขึ้น “หานเจวี๋ย กลับชาติกำเนิดจากอนธการ ล่องลอยอยู่ระหว่างอนธการและฟ้าบุพกาลมานานนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ค้นพบฟ้าบุพกาล จุติลงมายังมรรคาสวรรค์ถูกบรรพชนเต๋าทำนายว่าเป็นตัวแปร”

หานเจวี๋ยมีสีหน้าตกตะลึง

เขาตกตะลึงจริงๆ

คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร เขามาจากอนธการเช่นนั้นหรือ

หานเจวี๋ยคิดมาตลอดว่าดาวโลกในชาติก่อนของตนตั้งอยู่ในแดนเซียนพิภพ เนื่องจากดาวโลกในแดนเซียนพิภพมีพัฒนาการเหมือนโลกในชาติก่อนของเขาไม่มีผิด เพียงแต่ไม่มีเขาเท่านั้น ส่วนญาติพี่น้องเหล่านั้นของเขาก็ตายไปนานแล้ว

ตอนนี้พอฟังจากคำพูดของเจ้านวฟ้าบุพกาลแล้ว หรือว่าดาวโลกที่เขาจากมาจะมิใช่ฟ้าบุพกาลแห่งนี้

“ฟ้าบุพกาลแห่งนี้มีนามว่าฟ้าบุพกาลที่เก้า ก่อนจะปรากฏฟ้าบุพกาลที่เก้า เคยมีฟ้าบุพกาลมาแล้วแปดแห่ง เพียงแต่ล่มสลายพังทลายไประหว่างขั้นตอนวิวัฒนาการ ไม่มีตัวตนอีกต่อไป เจ้ามาจากฟ้าบุพกาลที่แปด หลังจากเจ้าสิ้นใจได้ไม่นาน กฎเกณฑ์แห่งฟ้าบุพกาลที่แปดพังทลายลง พลังแห่งกฎเกณฑ์บังเอิญปกป้องวิญญาณของเจ้าไว้ ช่วยประคับประคองให้เจ้าอยู่รอดในฟ้าบุพกาล หากจะนับอายุกันแล้วเจ้ามีชีวิตอยู่มานานกว่าฟ้าบุพกาลในปัจจุบันเสียอีก” เจ้านวฟ้าบุพกาลเล่าต่อไป

หานเจวี๋ยตระหนกอยู่ในใจ

หรือว่าระบบก็คือพลังกฎเกณฑ์แห่งฟ้าบุพกาลที่แปด

ไม่แปลกเลยที่จะมีสมบัติวิเศษมากมายปานนั้น ไม่แปลกเลยที่จะเคยพบเทพมารอนธการมาก่อน

ตอนฟ้าบุพกาลที่แปดล่มสลาย อนธการยังอยู่ เทพมารอนธการย่อมยังอยู่เช่นกัน

ช้าก่อน!

หรือว่านี่คือเหตุผลที่เจ้านวฟ้าบุพกาลจัดการส่งเจ้าอัษฎาฟ้าบุพกาลมาเกิดใหม่ในมรรคาสวรรค์และกราบเข้าสู่สังกัดของซูฉี

เช่นนี้คือต้องการให้เขาตอบแทนคุณของเจ้าอัษฎาฟ้าบุพกาลกระมัง!

หากว่าหานเจวี๋ยถือกำเนิดในฟ้าบุพกาลที่แปดจริงๆ เช่นนั้นเจ้าอัษฎาฟ้าบุพกาลก็มีพระคุณที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา

ยิ่งคิดความรู้สึกของหานเจวี๋ยก็ยิ่งซับซ้อน

แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว เรื่องที่เขาสนใจที่สุดคือทัศนคติที่เจ้านวฟ้าบุพกาลมีต่อเรื่องในปัจจุบันนี้

ไม่ว่าในอดีตจะมีสายสัมพันธ์เช่นใด หากว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลต้องการพุ่งเป้ามาที่เขา เช่นนั้นก็ต้องแตกหักกันไปข้าง ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตเต๋าแล้วฝึกบำเพ็ญจนถึงที่สุดเสีย!

มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอีกชาติ หานเจวี๋ยจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น คนใกล้ชิดรั้งไว้ได้ก็จะรั้ง หากรั้งไม่ได้เขาก็ไม่มีสละชีวิตเพื่อยื้อกลับมา

ทุกอย่างที่เขาทำลงไปในสายตาคนอื่นล้วนเป็นเรื่องบ้าคลั่งทั้งสิ้น แต่เขารู้ตัวดี เขาทำลงไปเพราะมีความมั่นใจอย่างเต็มที่

เขาก็เป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้และเขาก็ไม่เคยละอายใจเลย

เขามีเมตตา มีใจรักและมีความผูกพันได้ แต่ไม่มีทางครอบงำมรรคจิตที่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปของเขาได้!

เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยต่อไปว่า “อันสิ่งที่เรียกว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาล ความจริงแล้วคือสถานะของดวงจิตนพชาติบุตรแห่งข้า ถึงแม้ข้าจะบุกเบิกฟ้าบุพกาลที่เก้าขึ้น แต่ก็ยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญ ตามปกติแล้วจะยกเรื่องฟ้าบุพกาลให้ดวงจิตนพชาติดูแล เรื่องในครั้งนี้ข้าทำนายดูแล้ว ไม่อาจกล่าวโทษเจ้าได้ โทษได้เพียงว่าเขามีจิตใจคับแคบ ไม่ยินยอมให้คนรุ่นหลังก้าวข้ามหัวไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือกริ่งเกรงตัวแปรประหลาดที่มาจากนอกฟ้าบุพกาล”

ไม่เอาเรื่องอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยปรีดาอยู่ในใจ

“อย่างไรก็ตาม หานเจวี๋ย เป็นความจริงที่ว่าเจ้าทำลายล้างสรรพสิ่งจนสิ้น วันนี้ข้าได้ลงโทษดวงจิตนพชาติจนเขาร่างสิ้นจิตมลายไปแล้ว เหลืออยู่เพียงเสี้ยวเจตจำนงที่เทียบเท่าสิ่งมีชีวิตสามัญ กลับชาติไปกำเนิดในฟ้าบุพกาล หากว่าเจ้าทำลายล้างสรรพสิ่งหรือเป็นภัยคุกคามต่อสรรพสิ่งอีก จุดจบของเจ้าไม่มีทางดีไปกว่าเขา”

น้ำเสียงของเจ้านวฟ้าบุพกาลยังคงแหบพร่าอยู่เช่นนั้น ฟังอารมณ์ใดๆ ไม่ออก แต่ครั้งนี้กลับก่อให้ปราณอนธการรอบข้างกระเพื่อมไหวรุนแรง

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เป็นเพราะอับจนหนทางแล้วจริงๆ ชาตินี้ข้ากระทำเรื่องใดลงไปบ้าง ด้วยตบะของท่านแล้วน่าจะมองเห็นทั้งสิ้น ข้าไม่เคยไปล่วงเกินหาเรื่องตัวตนใดๆ ล้วนเป็นผู้อื่นที่ต้องการสังหารข้าก่อน”

ผู้เฒ่าเร้นกายอยู่ในอาณาเขตเต๋า ดูสิว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร!

เจ้านวฟ้าบุพกาลที่เก้ากล่าวว่า “ข้าย่อมรู้แน่แท้ นี่คือเหตุผลที่ข้ายินดีจะไม่สืบสาวเอาความ สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลได้รับการฟื้นคืนชีพจากข้าแล้ว รวมถึงสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์ด้วย ญาติมิตรของเจ้าก็เช่นกัน เพียงแต่เจ้าต้องจำไว้เรื่องหนึ่ง มรรคาสวรรค์สามารถพัฒนาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของดวงจิตมหามรรคไปตลอดกาล จะแข็งข้อตั้งตัวเป็นเอกเทศไม่ได้ เดิมทีข้าไม่สมควรยอมรับมรรคาสวรรค์เลย แต่เมื่อระลึกถึงว่าชีวิตสรรพสิ่งหาได้ง่ายดายไม่ หากว่าสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ต้องการไขว่คว้าไล่ตามตบะที่สูงยิ่งขึ้นเช่นเดียวเจ้าในตอนนี้ ก็ต้องหักใจยอมสละดวงชะตามรรคาสวรรค์”

หานเจวี๋ยนึกย้อนกลับไปแล้วก็พลันหวาดกลัวขึ้นมา

นี่คือเหตุผลที่เจ้านวฟ้าบุพกาลไม่เคยลงมือกับเขาเลยใช่หรือไม่

ถึงแม้เขาจะช่วยเหลือมรรคาสวรรค์ แต่บนกายเขาไม่มีบ่วงกรรมและดวงชะตามรรคาสวรรค์เลย

ที่ผ่านมาคิดตื้นเขินไปเสียแล้ว

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่เมตตา ขอบังอาจเรียนถามว่าฉายาธรรมของท่านคือนามใด”

เจ้านวฟ้าบุพกาลตอบว่า “ฟ้าบุพกาลที่เก้าคือตัวข้า ข้าก็คือเจ้านวฟ้าบุพกาล”

“ท่านคงเป็นเจตจำนงฟ้าบุพกาลกระมัง”

หานเจวี๋ยแสร้งตื่นตระหนก

เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยไปว่า “อย่าได้เสแสร้งเลย อันที่จริงเจ้าสืบทราบถึงตัวตนที่อยู่เหนือฟ้าบุพกาลมานานแล้ว หากมิใช่เพราะเจ้ามาจากฟ้าบุพกาลที่แปด ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้เติบใหญ่ขึ้นมา”

พอสิ้นเสียงเขาแดนความฝันก็พังทลายลง

เสียงของเจ้านวฟ้าบุพกาลดังขึ้นข้างหูหานเจวี๋ย

“ฝึกบำเพ็ญให้ดี ข้าไม่มีทางสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องในฟ้าบุพกาล ข้าจะตั้งตารอวันที่เจ้าก้าวข้ามฟ้าบุพกาลขึ้นมา”

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น

เจ้านวฟ้าบุพกาลตั้งตารอให้เขาสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาอย่างนั้นหรือ

นี่มันเรื่องอันใดกัน

จู่ๆ เขาก็เดาทางเจ้านวฟ้าบุพกาลไม่ออก แต่พอคิดๆ ไปแล้ว หากว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลไม่ต้องการให้มีผู้สร้างมรรคาปรากฏขึ้น เช่นนั้นผู้สร้างมรรคาคงจะมีเพียงหนึ่งเดียวไปแล้ว

………………………………………………………………