บทที่ 966 กวาดล้างสรรพสิ่ง ฟ้าบุพกาลเงียบสงัด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 966 กวาดล้างสรรพสิ่ง ฟ้าบุพกาลเงียบสงัด

บุตรแห่งเจ้านวฟ้าบุพกาล!

ไม่แปลกเลยที่สามารถควบคุมเจตจำนงฟ้าบุพกาลได้!

ตบะระดับฟ้าบุพกาลน่าจะสื่อว่ามีตบะเทียบเท่าฟ้าบุพกาล

ระดับความเกลียดชังสูงขนาดนี้ ดูเหมือนหานเจวี๋ยจะกุมจุดอ่อนเขาได้แล้ว

ดวงจิตนพชาติกลัวสรรพสิ่งจะถูกกวาดล้างจริงๆ!

หานเจวี๋ยยิ้มเยาะในใจ ไม่รีบร้อนจะพูดอะไรอีก รอคอยคำตอบจากดวงจิตนพชาติต่อไป

ดวงจิตนพชาติที่จำแลงร่างขึ้นจากเจตจำนงฟ้าบุพกาลไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ แต่พิจารณาจากระดับความเกลียดชังแล้ว สีหน้าต้องไม่น่ามองแน่นอน

ดวงจิตนพชาติเอ่ยถามเสียงเข้ม “หานเจวี๋ย หากต้องการให้ฟื้นฟูเจตจำนงของสรรพสิ่งก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เจ้าก็ต้องแสดงสิ่งแลกเปลี่ยนเช่นกัน ตอนนั้นบรรพชนเต๋าใช้การควบคุมอนาคตของมรรคาสวรรค์มาเป็นหลักประกัน แล้วหลักประกันของเจ้าเล่า”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลักประกันของข้าคือการไม่สำแดงพลังวิเศษทำลายมรรคา”

ดวงจิตนพชาติโมโหขึ้นมา แต่เพื่อรักษามาดเฉยชาของเจตจำนงฟ้าบุพกาลไว้จึงไม่ได้แสดงออกมา

หานเจวี๋ยรอคอยต่อไป

ผ่านไปนานพักใหญ่

ดวงจิตนพชาติพลันแผ่เจตนาสังหารออกมา พุ่งเป้ามาที่หานเจวี๋ย เอ่ยขึ้นว่า “กล้าข่มขู่เจตจำนงฟ้าบุพกาลย่อมไม่มีจุดจบที่ดี!

“พลังวิเศษทำลายมรรคาอย่างนั้นหรือ นั่นเป็นเพียงพลังวิเศษแห่งมรรคาสวรรค์เท่านั้น ไหนเลยจะสามารถทำลายล้างสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลได้”

เจตจำนงฟ้าบุพกาลงมือในทันใด ชูมือขวาขึ้นมา หานเจวี๋ยรับรู้ได้เพียงว่าความมืดมิดเหลือคณาที่เข้ากลืนกินตน ในสายตานอกจากความมืดมิดแล้วก็มีเพียงเจตจำนงฟ้าบุพกาลเท่านั้น

ทันใดนั้น สัมผัสรับรู้ของร่างแยกหานเจวี๋ยพลันสูญเสียการรับรู้ไป ราวกับทั่วทั้งฟ้าบุพกาลเลือนหายไปเท่านี้ เหลือเพียงเขาและเจตจำนงฟ้าบุพกาลเท่านั้น

เขาก็ไม่อยู่นิ่งเฉยรอคอยความตาย แต่สำแดงตราปฐมยุคประทับนภาออกมา ขณะที่กำลังจะโจมตีออกไป เขาพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงว่าโซ่ตรวนที่มีสายฟ้านับไม่ถ้วนแลบแปลบปลาบอยู่โถมลงมา พันธนาการเขาไว้อย่างรวดเร็ว ผูกล่ามมือเท้า

ตราปฐมยุคประทับนภาพุ่งขึ้นไป กระแทกสายโซ่สลายไปทีละเส้น

เจตจำนงฟ้าบุพกาลปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย ทั้งสองสบตากัน หานเจวี๋ยมองเห็นดวงตาเย็นชาอย่างยิ่ง คล้ายงูและมนุษย์ ทำให้เขาหนาวยะเยือกดั่งอยู่ในห้องแช่เย็น

หานเจวี๋ยสลัดโซ่ตรวนนับไม่ถ้วนบนร่างทิ้ง สำแดงฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรซัดออกไป ทว่ามือขวาพุ่งผ่านกายเนื้อของเจตจำนงฟ้าบุพกาลไป เสมือนโจมตีไม่โดนสิ่งใดเลย

ในเวลานี้เอง พลังอย่างหนึ่งที่ยากจะบรรยายถึงได้ระเบิดออกมาจากร่างหานเจวี๋ย ฉีกกระชากกายเนื้อของเขาออกเป็นชิ้นๆ!

….

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘ผู้สร้างมรรคาจะสามารถแทรกซึมเข้ามาในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามของข้าได้หรือไม่’

ถึงแม้เขาจะเตรียมการไว้ดีแล้ว แต่พอภัยมาถึงตัวก็ยังต้องถามเอาไว้

[ไม่ได้]

หานเจวี๋ยโล่งอก

สิ่งมีชีวิตในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามล้วนถูกเขาบ่มเพาะเลี้ยงดูขึ้นมา ไม่มีบ่วงกรรมหรือดวงชะตาฟ้าบุพกาลเจือปนเลย สิงหงเสวียนผ่านการชำระล้างสมบูรณ์มาแล้ว หลุดพ้นจากการควบคุมของบ่วงกรรมฟ้าบุพกาลและเจตจำนงฟ้าบุพกาล บ่วงกรรมมรรคาสวรรค์ของชิงหลวนเอ๋อร์เองก็เบาบางยิ่ง อีกทั้งถูกหานเจวี๋ยผนึกไว้ในโลกอนธการไม่ได้อยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

ตอนนี้ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามปราศจากบ่วงกรรมเกี่ยวเนื่องกับฟ้าบุพกาลและมรรคาสวรรค์ ไม่มีทางถูกเจตจำนงฟ้าบุพกาลควบคุม!

ค่ายกลของอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามสามารถป้องกันระดับเทพผู้สร้างได้ด้วยซ้ำ!

หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน แววตาเย็นชา เดินออกมาที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามอย่างรวดเร็ว

เขาเดินมาหยุดเบื้องหน้าปรมาจารย์ฟ้าทลาย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าแยกเสี้ยววิญญาณทิ้งไว้ ข้าจะส่งเจ้าออกไป หลังจากออกไปแล้วให้สำแดงพลังกวาดล้างสรรพสิ่งทันที ข้าต้องการฝังกลบสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลทั้งหมดไปพร้อมกัน!”

ปรมาจารย์แยกเสี้ยววิญญาณออกมาทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย

หานเจวี๋ยโบกแขนเสื้อส่งเขาออกไป

ปรมาจารย์ฟ้าทลายปรากฏตัวขึ้นในห้วงฟ้าบุพกาล ชูสองมือขึ้นสำแดงพลังกวาดล้างสรรพสิ่งทันที!

พลังเวทระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์แปรผันไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพลังทำลายล้างสีทองสายหนึ่งแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเขา ราวกับวงแหวนสีทองที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งกวาดไปทั่วฟ้าบุพกาล!

ดวงจิตนพชาติปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าปรมาจารย์ฟ้าทลาย ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “บังอาจ!”

พอสิ้นเสียงเขา กายเนื้อของปรมาจารย์ฟ้าทลายพลันระเบิดออก เหลืออยู่เพียงส่วนหัว

ปรมาจารย์ฟ้าทลายจ้องมองดวงจิตนพชาติ แววตาเปี่ยมด้วยเจตนาสังหาร ไม่ส่งเสียงเลยสักนิด

แต่แววตานี้กลับทำให้ดวงจิตนพชาติทั้งโมโหและตื่นตะลึงอยู่ในใจ

ดวงจิตนพชาติคิดจะใช้พลังแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลสกัดขวางพลังกวาดล้างสรรพสิ่งไว้ แต่ต้านไว้ไม่อยู่เลย ดูเหมือนพลังของทั้งสองจะแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจสัมผัสกันและกันได้

สรรพสิ่งถูกทำลายล้างอย่างรวดเร็วเหลือเกิน!

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ สรรพสิ่งทั่วฟ้าบุพกาลล้วนถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น!

สิ่งมีชีวิตในโลกต่างๆ สลายเป็นเถ้าธุลีไป แต่สิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆ ล้วนไม่ได้ผลกระทบใดๆ เลย

มิใช่เพียงสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลเท่านั้น สิ่งมีชีวิตในหมื่นโลกาแห่งมรรคาสวรรค์ก็สลายเป็นเถ้าธุลีเช่นกัน

ดวงจิตนพชาติร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “คนบ้า! บ้าไปแล้ว! หานเจวี๋ย! เจ้าต้องตายอย่างไม่ย้อนหวนกลับมาได้อีก!”

เขายกมือขึ้นบีบหัวปรมาจารย์ฟ้าทลายแตกกระตาย เริ่มค้นหากลิ่นอายของหานเจวี๋ยอย่างบ้าคลั่ง

เขามาถึงห้วงจักรวาลดาราอย่างรวดเร็ว

สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในจักรวาลดาราก็วางวายไปทั้งหมดเช่นกัน ส่วนหลิวเป้ย ถูกหานเจวี๋ยเรียกตัวกลับไปที่อาณาเขตเต๋าแห่งสามนานแล้ว

หลิวเป้ยมีฐานะเป็นร่างแยกของตน จึงไม่ได้ถูกเจตจำนงฟ้าบุพกาลเปลี่ยนแปลงความทรงจำ

ดวงจิตนพชาติมาถึงหน้าอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม โจมตีเข้าใส่อย่าบ้าคลั่ง คิดจะบุกเข้าไปในอาณาเขตเต๋า

แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไร อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามก็ไม่สะเทือนเลยสักนิด

ศิษย์ในนามทั้งหมด หลิวเป้ย ปรมาจารย์ฟ้าทลายและสิงหงเสวียนมองดวงจิตนพชาติด้วยความหวาดหวั่น อกสั่นขวัญแขวนอย่างไม่อาจควบคุมได้

หานเจวี๋ยกลับดูสุขุมยิ่ง สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนเลย

“ท่านพี่ เขาจะ…” สิงหงเสวียนถามด้วยความหวาดระแวง

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางทำเรื่องที่ตนขาดความมั่นใจ ข้าเพียงแสร้งทำตัวบ้าคลั่งเท่านั้น”

เขาต้องการเดิมพันถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง!

เจ้านวฟ้าบุพกาล!

หากว่าเขาวางเดิมพันผิดไป อย่างมากก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามฝึกบำเพ็ญจนกว่าจะบรรลุระดับเทพผู้สร้างแล้วค่อยออกไป พอถึงเวลานั้นห้าผู้สร้างมรรคาก็ไม่พอให้เขาบดขยี้ในมือเดียวด้วยซ้ำ!

พลังวิเศษของดวงจิตนพชาติส่งเสียงดังลั่นสะท้านสะเทือนอย่างยิ่ง ก้องสะท้อนไปทั่วฟ้าบุพกาล แต่ฟ้าบุพกาลปราศจากสิ่งมีชีวิตแล้ว แม้แต่ดวงจิตมหามรรคก็ตายตกไปจนสิ้น

เทพมหาทัณฑ์ปรากฏตัวขึ้น มองไปยังดวงจิตนพชาติ สีหน้าตื่นตะลึง

‘นี่คือตัวอันใดกัน’

เทพมหาทัณฑ์พึมพำอยู่ในใจ

ในเวลานี้ เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าหลายสาย ล้วนไม่อ่อนด้อยไปกว่าเขาเลย และไม่เคยเข้าร่วมศึกปราบปรามหานเจวี๋ยเช่นกัน

‘ที่แท้ฟ้าบุพกาลซุกซ่อนผู้ทรงพลังเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้…’

เทพมหาทัณฑ์คิดอยู่ในใจ

เขาเงยหน้ามองขึ้นไป สังเกตเห็นว่ามหามรรคสามพันวิถีเริ่มหดตัวแล้ว

เมื่อสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลดับสูญลง พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็เริ่มอ่อนแอลง ห้วงฟ้าบุพกาลก็เริ่มพังทลาย

เช่นนี้คือกำลังจะหวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของฟ้าบุพกาล!

ดวงจิตนพชาติไม่แยแสเทพมหาทัณฑ์รวมถึงมดปลวกทั้งหลายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเหล่านั้น เขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในใจตื่นตระหนกสุดขีด

‘เป็นไปได้อย่างไร! เหตุใดข้าถึงบุกเข้าไปไม่ได้

‘พลังของผู้สร้างมรรคาอย่างนั้นหรือ

‘อริยะสวรรค์เกรียงไกร…ตัวแปร…หรือว่า…’

ดวงจิตนพชาติตระหนกลนลานขึ้นเรื่อยๆ ในใจปรากฏความสิ้นหวังขึ้นมา

เขาเดิมพันพลาดไปแล้ว เขาคิดว่าหานเจวี๋ยเพียงดึงดันไม่ยอมแพ้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหานเจวี๋ยจะกวาดล้างสรรพสิ่งได้จริงๆ!

ความเร็วในการโจมตีของดวงจิตนพชาติช้าลงเรื่อยๆ ไม่นานนักเขาก็หยุดโจมตี

เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทรุดตัวคุกเข่าท่ามกลางห้วงอวกาศ ในมุมมองของเทพมหาทัณฑ์แล้ว ดูราวกับเขากำลังคุกเข่าคารวะอาณาเขตเต๋าของหานเจวี๋ยอยู่!

‘นี่มัน…’

เทพมหาทัณฑ์ตื่นตะลึง อำนาจศักดิ์สิทธิ์ฟ้าบุพกาลก็ยอมก้มหัวให้นายท่านเช่นนั้นหรือ

ทว่าความจริงมิใช่เช่นนี้

ยามนี้เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าดวงจิตนพชาติ แข็งแกร่งจนตัวตนระดับเทพมหาทัณฑ์ก็ไม่อาจสอดส่องมองเห็นได้

ดวงจิตนพชาติมองเงาร่างเลือนรางที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยเสียงสั่นๆ ว่า “ท่านพ่อ…ข้าผิดไปแล้วขอรับ…”

เจ้านวฟ้าบุพกาล!

เมื่อสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลถูกทำลายล้าง เจ้านวฟ้าบุพกาลจึงถูกปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้นมา!

ดวงจิตนพชาติไม่ได้รับการตอบรับจากผู้เป็นบิดาก็ยิ่งกระวนกระวาย เริ่มอ้อนวอนยอมรับความผิดไม่หยุดหย่อน

………………………………………………………………